เตรียมพบกับ Creativity Inc. ฉบับภาษาไทย (เดานะ)

Creativity, Inc.

คิดว่าอีกไม่นานจะมีหนังสือ Creativity Inc. ที่เขียนโดย Ed Catmull (หน้าตาตามภาพประกอบนะฮะ) ฉบับแปลภาษาไทยออกมาให้ได้อ่านกัน

ที่เดาอย่างนี้เพราะเมื่อกี๊นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟที่นึง เห็นหญิงสาวพร้อมปากกาในมือกำลังนั่งเปิดหนังสือเล่มนี้ฉบับ hardcover พลิกไปพลิกมาเทียบกับกระดาษ A4 หนาเป็นปึกที่วางอยู่ตรงหน้า หน้าตานี่เอาจริงเอาจังมาก

อาการนี้บอกได้เลยว่า ถ้าไม่ใช่กำลังแปล ก็คงกำลัง edit อยู่ ไม่รู้ว่าสำนักพิมพ์ไหนซื้อลิขสิทธิ์มา ใครที่รออ่านเล่มนี้อยู่อดใจรอสักพักนะฮะ…

หมายเหตุ รูปประกอบนี่เป็นหนังสือของผมเองนะ ไม่ใช่ของหญิงสาวคนที่กล่าวถึง ขออภัยที่ไม่มีภาพประกอบ ไม่กล้าถ่าย กลัวโดนหาว่าโรคจิต หน้ายิ่งให้อยู่ 5555

แกะกล่องใช้งาน ที่บดกาแฟ Hario Ceramic จากญี่ปุ่น

Hario Ceramic Coffee Grinder

เมื่อเดือนที่แล้วมีเพื่อนรุ่นน้องที่รู้จักคุ้นเคยกันดีโพสต์ขึ้น facebook ประกาศขายที่บดกาแฟ ผมเองเป็นคนกินกาแฟอยู่บ้าง (ขอใช้คำว่า กิน นะฮะ ใช้ ดื่ม แล้วมันไม่เข้าปาก) ก็เคยได้ยินได้ผ่านตามาว่า จะชงกาแฟให้รสดีนอกจากเรื่องเมล็ดกาแฟ การคั่ว การชงอะไรแล้ว การบดแล้วชงเลยก็มีส่วน ประมาณว่า กลิ่นและรสชาติยังเข้มข้นสมบูรณ์เต็มที่อะไรงี้

ก็เลยถามน้องเค้าไปว่า มันปรับบดหยาบบดละเอียดได้มั้ยวะ คุณภาพมันโอเคมั้ย? อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่พึงกระทำนะเด็ก ๆ น้อง ๆ หนู ๆ การที่ไปถามคนขายว่าของที่เขาเอามาขายมันดีมั้ยเนี่ย ใครมันจะบ้าตอบว่า ของไม่ดีพี่ อย่าซื้อเลย ใช่มั้ยฮะ แต่พอดีว่าน้องคนนี้คุ้นเคยกันอย่างที่บอกไง เชื่อใจกันได้ ก็เลยถามกันตรง ๆ น้องมันก็ว่า ดีพี่ ปรับหยาบละเอียดได้พี่ เป็นเซรามิกด้วยพี่ ปกติเราก็หาข้อมูลจากเน็ตประกอบอยู่บ้าง ดูรีวิวบ้าง อะไรบ้าง เพราะยังไม่รู้ว่าเป็นเซรามิกแล้วมันยังไงวะ แต่วันนั้นงานยุ่ง ๆ แล้วเชื่อใจกัน ราคาก็ซื้อได้ ก็เลยปิดดีล บอก เออ พี่เอา แล้วพอดีจะมีนัดคุยงานกันอยู่แล้วก็นัดมาส่งมอบวันนั้น ไม่ต้องใช้บริการไปรษณีย์ไทยให้ลำบากพี่ ๆ บุรุษไปรษณีย์เค้า

พอได้มาหน้าตากล่องก็ตามภาพด้านบนนะฮะ ก่อนแกะกล่องคิดในใจว่า นี่กูหาเรื่องวุ่นวายให้ตัวเองหรือเปล่าเนี่ย ชงกินธรรมดาก็น่าจะพอแล้วมั้ย แต่ก็เอาวะ ซื้อมาแล้ว แกะกล่องมาดู ชิ_หาย มีอะไรหลายชิ้นไปหมด กูจะประกอบได้มั้ย คู่มือมีมั้ยวะ รื้อ ๆ ดู เจอคู่มือ ดูเผิน ๆ ภาษาญี่ปุ่นนี่เด้งมาแต่ไกลเลย พอดูดี ๆ เออ มีภาษาอังกฤษด้วย น่าจะรอด

Hario Ceramic Coffee Grinder

กางคู่มือออกดู (หน้าตาเป็นตามภาพ) มีบอกวิธีประกอบ วิธีใช้งาน ข้อควรระวัง การปรับบดหยาบบดละเอียด ไปจนถึงว่าการชงด้วยวิธีไหนควรใช้หยาบละเอียดแค่ไหนด้วย นับว่าเป็นคู่มือที่ดีงามมาก แต่ถ้าจะชมทุกอย่างเดี๋ยวจะว่าอวย ชวนให้สงสัยว่ารับเงินมาหรือเปล่า ต้องมีเรื่องติกันบ้าง มันจะเป็นคู่มือที่ดีกว่านี้ถ้ามีภาษาไทยนะฮะ 5555

Hario Ceramic Coffee Grinder

พอประกอบเสร็จ เอ๊ะ ทำไมมีญี่ปุ่นทำเกินด้วยวะ ไม่เป็นไร ช่างมัน เดี๋ยวค่อยมาดู ด้วยความเห่อ มันต้องลองเลยอย่าไปเสียเวลา เอากาแฟที่ซื้อน้องเค้ามาด้วยกันนั่นแหละ จะชงแบบเฟรนช์ เพรส มันต้องบดแค่ไหน อย่าให้ละเอียดมากใช่มั้ย เดี๋ยวผงมันลอดออกมาได้ งั้นปรับให้หยาบหน่อย

Hario Ceramic Coffee Grinderประกอบเสร็จหน้าตาเป็นแบบนี้

Hario Ceramic Coffee Grinderดูจากด้านบนเป็นแบบนี้

กาแฟแก้วแรกที่ได้สุดยอดเลยครับ น้ำตาแทบไหล บดมาหยาบไป ชงออกมาแล้วหยั่งกะน้ำล้างแก้วกาแฟที่เขาประชดกัน เราก็ เอ๊ะ เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เอามาชงดริปต่อ ด้วยความไม่แน่ใจ โอ้โห แก้วเดียวไม่พอ เจอน้ำล้างแก้วไปสอง หายโง่เลยทีนี้ ตั้งค่าให้บดละเอียดสุดเอาชัวร์ไว้ก่อน ลองชงใหม่ เอออออออ มันต้องอย่างนี้ กูนี่โง่เอง

Hario Ceramic Coffee Grinderเมล็ดกาแฟรอบด

Hario Ceramic Coffee Grinderอันนี้หายโง่แล้ว ปรับให้บดละเอียดแล้วนะฮะ

หลังจากที่ชงได้สบายใจแล้วว่าไม่เสียเงินฟรี ทีนี้ก็มานั่งดูรายละเอียดในคู่มือนะฮะว่ามีอะไรอีกบ้าง อย่างแรกเลย คู่มือบอกว่า แกะออกมาล้างได้ไม่ต้องกลัวจะเป็นสนิม เพราะตัวบดทำด้วยเซรามิก เราก็ อ๋อ มิน่า ทำไมถึงต้องบอกตั้งแต่บนกล่องว่า ฉันเป็นที่บดเซรามิกนะจ๊ะ

แล้วก็มาดูชิ้นส่วนที่ญี่ปุ่นทำเกิน ไหนบอกว่าเป็นชาติพัฒนาแล้ว กะอีแค่ที่บดกาแฟยังมีใส่ชิ้นส่วนมาเกินด้วย พอมานั่งดูดี ๆ นี่ต้องถอนความคิด (เพราะยังไม่ได้พูด) เขาคิดมาละเอียดรอบคอบมากนะฮะ ชิ้นแรกคือ ยางรองขวด ใส่เพื่อกันลื่น พอใส่เข้าไปปั๊บ นี่หนึบเลย ช่วยไม่ให้เลื่อนไหลตกโต๊ะได้ง่าย ๆ

Hario Ceramic Coffee Grinder

ชิ้นต่อมาเป็นฝาปิดขวด ชิ้นนี้มีไว้ตอนที่บดกาแฟแล้วใช้ไม่หมด ยังมีเหลืออยู่ เราก็เอาฝาชิ้นที่เป็นตัวบดออกแล้วเอาฝาชิ้นนี้มาปิดแทน กันอากาศกับความชื้นเข้าได้ เอ๊ะ นี่ใช้ได้นะ

Hario Ceramic Coffee Grinder

ชิ้นสุดท้าย อันนี้ดูทีแรกก็ เอ๊ะ มึงจะทำมาทำไมเนี่ย แต่พอดูการใช้งานแล้วก็ เออ เขาก็คิดมาดีนะ มันเป็นฝาเอาไว้ปิดชิ้นส่วนที่เป็นตัวบดอีกที กันไม่ให้ฝุ่นหรืออะไรตกลงไปในระหว่างที่ไม่ได้ใช้งานงี้

Hario Ceramic Coffee Grinder

จากที่ใช้งานมาประมาณเกือบเดือนต้องบอกว่า โอเคนะครับ ใช้งานได้ดี ไม่มีปัญหาอะไร พอใจมากครับ

Hario Ceramic Coffee Grinder

รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 หลังวิ่งรวม ๓๗๐ กิโลฯ

nike_free_4_flyknit_2015_350kmNike Free 4.0 Flyknit 2015

ตามที่ได้เคยเล่าไปก่อนหน้านี้นะครับว่า ผมซื้อรองเท้าวิ่งรุ่นนี้มาใช้ Nike Free 4.0 Flyknit 2015 และก็ได้เขียนรีวิวแบบบ้าน ๆ เอาไว้หลังจากที่ได้ทดลองใช้วิ่งมาสองสามครั้ง [อ่านได้ที่นี่ครับ รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 (แบบบ้าน ๆ)]เวลาผ่านล่วงเลยมาจนตอนนี้ใช้วิ่งไปแล้วรวมระยะ ๓๗๐ กิโลเมตร สภาพรองเท้าจะเป็นยังไงบ้าง? และความเห็นต่อรองเท้ารุ่นนี้จะเป็นยังไง?

หมายเหตุเอาไว้ก่อนว่า ความรู้เรื่องรองเท้าและการวิ่งของผมมีจำกัดมาก ก่อนหน้านี้รู้เท่าไหร่ ตอนนี้รู้เท่าเดิม 5555 เพราะฉะนั้นการรีวิวครั้งนี้ก็จะไม่ได้พูดถึงรายละเอียดลงลึกอะไร แต่จะมาเล่าความรู้สึกของการใช้งานให้ฟัง เรียกว่า เป็นการรีวิวแบบบ้าน ๆ ครั้งที่สอง นะครับ

Nike Free 4.0 Flyknit 2015 after 370 Km runนี่ข้างซ้าย

Nike Free 4.0 Flyknit 2015 after 350 Km runส่วนนี่ข้างขวา

ดูสภาพรวม ๆ ก่อน จะเห็นว่ารองเท้ายังอยู่ในสภาพดี โดยเฉพาะตัวอัปเปอร์ที่เป็น flyknit ไม่มีขาดหรือหลุดลุ่ยให้เห็น หลังจากที่ซื้อมาแล้ว เอามาวิ่งแล้วถึงได้มาเจอข้อมูลว่า ไอ้ลายเส้น ๆ เป็นก้างปลาที่เห็นอยู่นั่นน่ะ ไม่ได้ทำมาแค่ให้ดูสวย ๆ อย่างเดียวนะ มันทำมาเพื่อช่วยซัปพอร์ตเท้าในตอนที่วิ่งด้วยนะเอ้อ

ความรู้สึกขณะใส่วิ่งคู่นี้ขอบอกว่าชอบมาก flyknit มันดีอย่างที่ nike มันโม้จริง ๆ นะ ยืดหยุ่นได้ดี ไม่บีบเท้า วิ่งแล้วไม่เป็นแผล (เอ๊ะ หรือว่ายังวิ่งระยะไม่ไกลพอ อันนี้ติดค้างไว้ก่อน ถ้าวิ่งระยะเกินสิบกิโลฯ เมื่อไหร่ มาดูกันอีกที) แถมระบายอากาศได้ดี ไม่รู้สึกเรื่องเหงื่อมากวนใจ ทั้งที่วิ่งแบบไม่ใส่ถุงเท้า เออ พูดถึงเรื่องนี้ ตอนที่ดูข้อมูลก็เห็น nike คุยว่า รองเท้ารุ่นนี้นะเนื่องจากวัสดุเป็น flyknit อย่างที่ว่า จุดเด่นก็คือ มันจะกระชับเท้า กระชับประมาณว่า พอวิ่งไปนี่แทบลืมไปเลยว่าใส่รองเท้าอยู่ (นี่มึงโม้รึเปล่า?) แล้วก็สามารถใส่วิ่งได้โดยที่ไม่ต้องใส่ถุงเท้า เพราะตัวรองเท้ามันเป็นวัสดุที่ถัก (หรือทอวะ?) ขึ้นมาชิ้นเดียวเลย มีรอยเย็บอยู่แค่ที่เดียว ไม่ระคายเคืองทีนแน่นอน ประมาณนั้น

ตอนที่ซื้อมาทีแรกก็ไม่แน่ใจไง กูเอาเคยชินไว้ก่อน ใส่ถุงเท้าวิ่งตามปกติ พอวิ่งได้สักพักก็อยากลองของ ไหนดูซิ ที่มึงโม้ไว้มันจะจริงมั้ย เลยลองไม่ใส่ถุงเท้าดู เฮ้ย ได้จริงเว้ย!! ไม่รู้สึกสักนิด ไม่มีเศษด้าย หรือเศษอะไรจากการผลิตที่เก็บงานไม่เนี้ยบมาทำให้ไม่สบายเท้าเลย (ยกเว้นเรื่องนึง เดี๋ยวเล่าต่อไป) ก็เลยวิ่งแบบไม่ใส่ถุงเท้าดูพักใหญ่ ๆ แล้วเพื่อความแน่ใจว่า เอ๊ะ นี่กูไม่ได้คิดเข้าข้าง nike ไปเองใช่มั้ย ก็ลองกลับมาใส่ถุงเท้าวิ่ง พบว่า ไม่เวิร์กครับ กลายเป็นอึดอัด ไม่ถนัดซะงั้น สรุปว่า กลับมาเป็นนักวิ่งไร้ถุงเท้ามาจนถึงวันนี้

ถ้าพูดถึงความรู้สึกต่อ flyknit หลังจากที่ใช้มาสามร้อยกว่ากิโลฯ นี่ ต้องบอกว่า น่าจะเป็นวัสดุตัวอัปเปอร์ที่ชอบที่สุดตั้งแต่เริ่มวิ่งมา (จะบอกว่าดีที่สุดก็ไม่ได้นะ เพราะรสนิยมใครรสนิยมมัน เอาเป็นว่าใช้คำว่า ชอบที่สุด ละกัน) เมื่อตอนปลายปีไปลองใส่ primeknit ของ adidas (แต่ยังไม่ได้ลองใส่วิ่งจริงนะฮะ แค่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในร้านให้ชาวบ้านรำคาญเล่น) รู้สึกว่ามันไม่ยืดหยุ่นเท่านะ แล้วดูเหมือนจะระบายอากาศได้ไม่เท่า flyknit ดูมันแน่น ๆ หนา ๆ เกินไปนิดนึง

nike_free_4_flyknit_2015_outsole_leftพื้นรองเท้าข้างซ้าย หลังใช้วิ่งมาแล้ว ๓๗๐ กิโลเมตร

nike_free_4_flyknit_2015_outsole_rightพื้นรองเท้าข้างขวา หลังใช้วิ่งมาแล้ว ๓๗๐ กิโลเมตร

มาดูพื้นรองเท้ากันบ้าง พื้นรองเท้าเป็นวัสดุอะไรก็ไม่รู้ ใครอยากรู้ไปเสิร์ชเอานะ 5555 แต่ที่ให้ดูคือ จะเห็นว่ามีร่องรอยสึกจากการใช้งานไปแล้ว เท่าที่ดูก็ยังไม่เยอะนะ น่าจะใช้ได้อีกสักพัก (นี่พยายามหักห้ามใจอยู่ เมื่อตอนปลายปีแต่ละร้านแต่ละแบรนด์เอามาจัดโปรฯ ลดราคากันกระหน่ำมาก แถมรัฐบาลท่านยังช่วยให้เอาใบเสร็จไปลดภาษีได้อีก เล่นเอาเกือบตบะแตก) แต่ดูรอยสึกแล้วที่ดีใจเป็นการส่วนตัวคือ มันไปสึกบริเวณกลางเท้ามากกว่าตรงส้น แสดงว่าที่พยายามฝึกวิ่งให้เอากลางเท้าลงพื้น (midfoot strike) มันได้ผลเว้ย ตอนคู่ที่แล้วรอยสึกตรงส้นยังเยอะกว่าตรงกลางเท้า พอมาใช้คู่นี้เลยพยายามฝึกเอากลางเท้าลงพื้นมากขึ้น ถ้าดูแบบนี้ก็น่าจะได้ผลนะ อ้อ ผมวิ่งบนถนนคอนกรีต (อ่านว่า คอน-กรีด ไม่ใช่ คอ-นก-รีด นะ) อย่างเดียวนะครับ ไม่ได้ไปสมบุกสมบันวิ่งเทรลที่ไหน

nike_free_4_flyknit_2015_label_1ตัว label ของแผ่นรองเท้ามันโผล่มาแบบนี้ทั้งสองข้าง

ทีนี้มาถึงเรื่องที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่า มีประเด็นตะหงิด ๆ อยู่นิดนึง อันนี้ไม่เข้าใจ nike เหมือนกันว่า อุตส่าห์คิด flyknit มาให้ใส่สบาย วิ่งโดยไม่ต้องใส่ถุงเท้าได้แล้ว แต่ทำไมมันดันทำตัว label ของแผ่นรองเท้าให้ยื่นขึ้นมาแบบนี้ (ดูรูปด้านบนนะฮะ) กลายเป็นว่า ตัวรองเท้าน่ะไม่มีปัญหา จะมีปัญหาก็อี label นี่แหละ ที่มากวนใจ แต่ก็ยังดีที่ปัญหานี้แก้ไม่ยาก พับมันลงไปอยู่ด้านล่างแล้ววางแผ่นรองเท้าเข้าไปในรองเท้าขยับ ๆ นิดนึงก็เรียบร้อย แบบรูปด้านล่าง

nike_free_4_flyknit_2015_label_2ไม่ได้ตัด label ออกนะ แต่ยัดมันลงไปด้านล่างแทน

ภาพสุดท้ายนี่ให้ดูสภาพของแผ่นรองเท้านะครับ เป็นวัสดุอะไรไม่รู้ ช่างมันเถอะ ไม่ได้เอาไปสอบที่ไหน แต่ให้ดูสภาพที่ผ่านการใช้งานแบบไม่ใส่ถุงเท้ามา รอยเปื้อนมีประมาณนี้ นี่ยังไม่ได้หาข้อมูลว่าจะซักหรือล้างทำความสะอาดได้มั้ย แต่คิดว่าน่าจะได้นะฮะ

nike_free_4_flyknit_2015_sockliner

สรุป หลังจากใช้มาแล้วไม่ผิดหวังเลยที่ซื้อมา ชอบตัว flyknit มาก เรียกว่า ถ้ามีรุ่นไหนที่มีวัสดุให้เลือกสองแบบ flyknit กับอย่างอื่น ขอเลือก flyknit ก่อนเลย เพิ่มเงินก็โอเคนะ ชอบรองเท้าวิ่งรุ่นนี้มาก มากขนาดไหน? ขนาดที่ว่า ไปหาซื้อมาสำรองไว้อีกคู่นะ แต่ไม่มีขายแล้ว เพราะมันเปลี่ยนเป็นรุ่น free rn ไปแล้ว เมื่อตอนปลายปีที่ร้านโน้นร้านนี้เอามาเซลส์ก็พยายามดูว่ายังมีรุ่นนี้อยู่มั้ย สรุปไม่มี นี่เดี๋ยวถ้าถึงเวลาต้องซื้อคู่ใหม่ ต้องมานั่งหาข้อมูลกันอีกทีว่าจะเอาคู่ไหนดี

สัญญาณวิกฤติมนุษย์เงินเดือน ภาค ๒

BusinessweekTH_Dec_07

เมื่อเก้าปีที่แล้วนิตยสาร BusinessWeek ไทยแลนด์ ทำเรื่องของมนุษย์เงินเดือนเป็น cover story ฉบับธันวาคม ๒๕๕๐ ด้วยประเด็น สัญญาณวิกฤติมนุษย์เงินเดือน เรื่องนี้ทีมงานเก็บข้อมูล สัมภาษณ์กันนานเป็นเดือนเลย ที่มาของเรื่องจากปกเล่มนี้มาจากการที่ทีมงานได้มีโอกาสคุยกับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งไทย ทั้งที่เป็นองค์กรไทยและต่างชาติ ผู้บริหารหลายคนคุยเปิดใจนอกรอบกับทีมงานว่า เขามีปัญหาด้านแรงงานไทยที่มีไม่พอกับความต้องการขยายตัวทางธุรกิจในเวลานั้น

พูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ แรงงานไทยที่มีคุณภาพมีไม่พอกับความต้องการ คุณภาพที่ว่านี่เอาแค่สามประเด็นหลักนะ มีอะไรมั่ง นี่เลย ทักษะด้านภาษาอังกฤษ ความชำนาญเชิงลึกในวิชาชีพ และทัศนคติที่เอื้อต่อการเติบโตในการทำงาน

ผู้บริหารที่เล่ามานี่แก้ปัญหาด้วยวิธีเดียวกันเกือบจะเป๊ะ ๆ เลยก็คือ จ้างพนักงานต่างชาติ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วก็อยากจะจ้างแรงงานไทยแต่จนใจที่หาไม่ได้

ที่เล่ามายืดยาวนี่เพื่อจะบอกว่า เมื่อเก้าปีที่แล้วแรงงานที่เป็นมนุษย์เงินเดือนของไทยเริ่มถูกแรงงานต่างชาติมาแย่งงานไปหนนึงแล้วนะ และตอนนี้เริ่มมีความรู้สึกเหมือนกับว่า กำลังมีสัญญาณวิกฤติมนุษย์เงินเดือนรอบสอง แต่คราวนี้คนที่มาแย่งงานแรงงานไทยไม่ใช่แรงงานต่างชาติ แต่เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะสามตัวนี้ ออนไลน์ โมบายล์ และที่สำคัญที่สุดคือ เอไอ (Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์)

ถ้าจะดูตัวอย่าง ไม่ต้องมองไปที่ไหนไกล เอาใกล้ตัวก่อนเลย ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ปีที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ นิตยสารเจอ Winter is coming เข้าไปหลายเล่ม ที่ยังอยู่ก็ไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว สาเหตุหลักก็เพราะคนอ่านเปลี่ยนพฤติกรรมไปอ่านข่าวอ่านบทความจากโลกออนไลน์แทน พอคนไม่อ่าน โฆษณาก็ไม่เข้า มันจะไปเหลืออะไร

เขยิบออกไปอีกนิด ธุรกิจธนาคาร เมื่อก่อนจะฝากจะถอนต้องไปที่สาขา หลายแบงก์มีสโลแกน จะฝากจะถอนเอาหมอนมาด้วย ลูกค้ารอไปสิ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้ว ใช้ออนไลน์แบงกิ้ง โมบายล์แบงกิ้ง สบาย พอเป็นหยั่งงี้มองไปวันข้างหน้าก็พอเห็นแนวโน้มว่าคนคงจะเข้าสาขาน้อยลง ถ้าติดตามข่าวกันบ้างอาจจะเห็นผ่านตามามั่งแล้วว่าบางธนาคารประกาศจะทยอยยุบสาขาลงแล้ว ซึ่งก็คิดต่อได้ไม่ยากว่าพนักงานจะเป็นยังไง

สองเคสที่ว่ามายังดูไม่ค่อยเท่าไหร่ เทคโนโลยีที่น่าจะส่งผลต่อแรงงานมากที่สุดน่าจะเป็น เอไอ นี่แหละ เอาง่าย ๆ ก่อนเลยที่เห็นได้ชัดมากตอนนี้คือ รถยนต์ไร้คนขับ ที่กำลังฮือฮาตื่นเต้นกันทั่วโลก (แต่เมืองไทยคงอีกพักใหญ่ ๆ นะ รอยุคไทยแลนด์ ๑๐.๐ นั่นแหละ) ถ้าอีกหน่อยรถยนต์ไร้คนขับพัฒนามาถึงจุดที่ใช้งานได้จริงในระดับแมส ก็ไม่ต้องมีคนขับแท๊กซี่แล้วใช่มะ กดแอปเรียกรถมารับ ส่งถึงที่หมาย วิ่งไปรับคนอื่นต่อ ไม่ต้องทนฟังคนขับบ่นเรื่องการจราจร เรื่องค่าเช่ารถ ไม่ต้องฟังเพลงที่เราไม่ชอบ แล้วก็ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่องการเมืองด้วย ใครจะไม่อยากใช้

ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว จะซื้อรถทำไมให้สิ้นเปลือง คนซื้อรถน้อยลง ยอดขายรถน้อยลง บริษัทรถจะทำไงล่ะ?

เอาเคสจริงดีกว่า บริษัทประกันที่ญี่ปุ่นชื่อว่า Fukoku Mutual Life Insurance ประเดิมปีใหม่ด้วยการเอาระบบ IBM Watson Explorer มาใช้ในการพิจารณาการเคลมประกันของลูกค้า ลงทุนติดตั้งระบบไป ๑.๗ ล้านเหรียญ มีค่าเมนเทนแนนซ์อีกปีละแสนกว่าเหรียญ แต่ลดพนักงานที่เป็นคนตัวเป็น ๆ ไปได้ ๓๔ คน รวมเบ็ดเสร็จหักลบค่าระบบกับเงินเดือนพนักงานแค่ไม่ถึงสองปีก็คุ้มทุนแล้ว ข่าวบอกว่า นอกจาก Fukoku แล้วยังมีบริษัทประกันอีกสามแห่งที่กำลังทดสอบระบบเอไอเพื่อจะเอามาใช้งานด้วย

นี่แค่ตัวอย่างนะฮะ แล้วก็คงมีงานอีกหลายประเภทที่เอไอสามารถเข้ามาทำงานแทนที่มนุษย์ได้ อยู่ที่ว่าจะเป็นงานอะไรและเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

ระหว่างนี้มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ คงต้องมานั่งคิดกันแล้วล่ะว่า จะทำยังไงให้เหนือกว่าเอไอให้ได้นะฮะ…

สรุปชีวิตปี ๒๕๕๙

วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙

เรื่องราวชีวิตปีนี้มีอะไรมั่ง?

๑. ในหลวงร.๙ สวรรคต

๒. กลับมาวิ่งอีกครั้งหลังจากหยุดไปปีกว่า ตั้งแต่ที่พดด้วงไม่สบาย ตอนนี้วิ่งมาหกเดือนยังวิ่งได้ระยะไม่เท่าเดิมที่เคยวิ่ง แต่ไม่รีบ ค่อย ๆ เพิ่ม ปีหน้าน่าจะได้แล้ว

สิ่งที่ได้จากการวิ่งประจำคือ สุขภาพโอเค อันนี้วัดจากผลการตรวจร่างกายประจำปี ชีพจร ความดัน ไขมันดี ไขมันเลว คลอเรสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ แล้วก็อะไรอีกหลายอย่างทั้งหลายทั้งปวงโอเคหมด (ขอสารภาพว่าค่าผลการตรวจทั้งหมดนี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ได้มาก็ส่งให้คุณภรรยาดู แล้วคุณภรรยาสรุปให้อีกที  นี่ไง ที่บอกว่าเราคอยให้นโยบายกับดูภาพรวมก็พอ เรื่องปลีกย่อยอย่าไปทำเอง put the right woman to the right job นะ)

๓. ปักหมุดแรกของแผนชีวิตหลังเกษียณอย่างเป็นทางการ สบายใจล่ะกู

๔. โครงสร้างทีมงานลงตัว หลังจากที่ปีก่อนทดลองมาปีนึง ปีนี้เดินหน้าเอาจริง ได้ผลอย่างที่คิดไว้ มีต้องปรับต้องจูนบ้างก็ว่ากันไป เป็นเรื่องปกติ ขออีกสองปีทีมนี้จะสุดยอด

๕. ปีนี้เหนื่อยกับการหาคนมากถึงมากที่สุด เดิมก็ต้องหาอยู่แล้วเพราะคนไม่เคยมีพอกับงาน แต่ปีนี้หนักหน่อยเพราะคนออกตั้งแต่ต้นปีถึงปลายปีรวมแล้ว ๑๘ คน ปีนี้เลยต้องสัมภาษณ์คนเยอะมาก แต่ก็ได้อะไรกลับมาเยอะอยู่

๖. ปีนี้มานั่งศึกษาเรื่อง digital content กับ content marketing เยอะ เพราะต้องวางก้าวต่อไปของแผนกที่ต้องต่อยอดจากสิ่งพิมพ์ล่ะ (ถ้าใครอยู่สายดิจิทัลได้มาอ่านก็อย่าด่าว่าเชยเลยนะ นี่มาสายสิ่งพิมพ์)

๗. ปลายปีได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่ให้ดูงานอีกตัวนึง ต้องปั้นทีมงาน สางปัญหา แล้ววาง strategy ที่จะเดิน สนุกดี แล้วด้วยเหตุนี้ก็เลยมีโอกาสได้ไปเข้าร่วมงาน dscoop asia ที่สิงคโปร์ ไปฟังคนในวงการดิจิทัลมาเล่ามาให้ข้อมูลเรื่องการสร้างแบรนด์ การทำมาร์เก็ตติ้ง เปิดกะโหลกดีมาก

๘. สิ่งที่น่าผิดหวังของปีนี้คือ อ่านหนังสือน้อยลง ปีที่แล้วอ่านไป ๑๕ เล่ม ปีนี้อ่านจบไปแค่ ๔ เล่ม (นี่กำลังอ่านเล่มที่ห้า แต่จบไม่ทันแน่นอน) สาเหตุนึงที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะสองข้อที่แล้วนี่แหละ พอไปดู digital content หนักเข้าแล้วเหมือนสมาธิสั้นลง ตอนอ่านหนังสือเหมือนไม่มีสมาธิ อ่านแล้วไม่เข้าหัว ตอนหลังต้องเพลา ๆ ลดการใช้จอลงแล้วโฟกัสมากขึ้น พอเริ่มทำได้ก็มาเจองานใหม่พอดี ต้องใช้เวลาไปกับการคิดเยอะ หยิบอะไรมาอ่านก็ไม่เข้าหัวอยู่ดีก็เลยไม่อ่านแม่มล่ะ นี่เริ่มซา ๆ แล้วถึงหยิบเล่มใหม่มาอ่านได้

๙. ไม่ได้นับจำนวนชัด ๆ  แต่มีความรู้สึกเหมือนปีนี้เขียนบล็อกน้อยลง คิดเยอะ เตรียมประเด็นไว้เยอะ แต่ไม่ได้เขียน อันนี้ไม่ดี ปีหน้าอย่าทำ

๑๐. Winter is coming, finally ความรู้สึกปนเปกันนะเรื่องนี้ เห็นใจเพื่อนร่วมวงการที่ได้รับผลกระทบทุกคน แล้วก็ดีใจที่แม่มมาซักที จะได้หายคาใจว่าในที่สุดที่คิดไว้ก็เป็นจริง คิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว ยอมเปลี่ยนสายมาทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำ (โชคดีที่นายให้โอกาส) แล้วยังต้องแข็งใจตอบปฏิเสธงานที่เฮดฮันเตอร์ติดต่อมาสองครั้งสองหน แกว่งเหมือนกันแต่เชื่อว่าสุดท้าย Winter แม่มต้องมาแน่ ๆ ปีนี้ก็มาแล้ว สบายใจล่ะว่าการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ยังใช้ได้

จบล่ะ เดี๋ยวนั่งคิดต่อว่าปีหน้าอยากทำอะไรนะฮะ…

รีวิวหนังสือ : อย่าหลอกกัน (Fool Me Once) – ใครหลอกใคร?

foolmeonce

หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานล่าสุดของ Harlan Coben ที่มีการแปลออกมาเป็นภาษาไทย โดยคุณมณฑารัตน์ ทรงเผ่า เจ้าเก่าที่แปลงานของคุณพี่ Coben มาแล้วหลายเล่ม ถ้าใครเป็นแฟนประจำก็น่าจะคุ้นเคยกันดีทั้งสไตล์คนเขียนและสำนวนคนแปล

ที่ว่าน่าจะคุ้นเคยสไตล์ของคนเขียนก็คือ อยู่ดี ๆ ตัวเอกของเรื่องมักจะมีเหตุการณ์อะไรซักอย่างหรือสองอย่างมาทำให้เสียศูนย์ โดยที่มักจะเป็นการเสียชีวิตของคนใกล้ตัว หรือบางทีเป็นเรื่องของคนใกล้ตัวที่เสียชีวิตไปสักพักแล้วแต่กลับมีอะไรมาทำให้เกิดสงสัยทำนองว่า เอ๊ะ หรือยังไม่ตาย (วะ)

จากนั้นก็เป็นช่วงตามสืบ ตามไขปริศนา ซึ่งสุดท้ายจะพาไปหาต้นเรื่องที่เป็นฆาตกรหรือจอมบงการ ที่มักจะมีปมอยู่กับเหตุการณ์อะไรซักอย่างในอดีต และที่เป็นทีเด็ดของเรื่องแนวนี้คือ ฆาตกรที่ว่าต้องเซอร์ไพรส์ คาดไม่ถึง เฉลยออกมาแล้วคนอ่านต้องร้อง ว้าว!!

ทีนี้ความยากของคนเขียนก็คือเมื่อคนอ่านรู้อยู่เต็มอกว่า มึงต้องเซอร์ไพรส์กูแน่ ก็พยายามดักทางเดาตัวฆาตกร ส่วนคนเขียนก็ต้องพยายามวางพล็อตวางปมยังไงก็ได้ให้คนอ่านเดาไม่ได้ เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกันอยู่อย่างนี้จนกว่าจะเบื่อกันไปข้างนึง

เล่มนี้ก็เหมือนกันนะฮะ

ตัวเอกของเรื่องเป็นหญิงสาว อดีตนักบินเฮลิคอปเตอร์โจมตีของกองทัพสหรัฐฯ ประสบเหตุโดนปล้นในสวนสาธารณะขณะที่อยู่กับสามีและสามีโดนยิงตาย โดยที่ก่อนหน้านี้พี่สาวก็เพิ่งโดนฆ่าในช่วงที่เธอประจำการอยู่ที่ตะวันออกกลาง

ฟังแค่นี้ก็เศร้าแทนแล้ว แต่ยัง ยังไม่พอ พี่ Coben ยังซ้ำเข้าไปอีกเมื่อจู่ ๆ สามีที่เธอเพิ่งไปงานศพมาไม่นานกลับมาโผล่ให้เห็นในกล้องวงจรปิดว่ามาเล่นกับลูกสาวตัวน้อยอยู่ในบ้าน แถมตำรวจยังมาบอกอีกว่า ผลการตรวจสอบกระสุนพบว่า ปืนที่ใช้ฆ่าสามีเธอเป็นกระบอกเดียวกับที่ฆ่าพี่สาวเธอ

ตัวเอกของเรื่องก็เลยต้องตามสืบให้รู้ว่าใครกันที่เป็นฆาตกร ซึ่งแน่นอนว่า ระหว่างนี้คนอ่านก็จะโดนถล่มด้วยข้อมูลที่ท่วมท้น ถูกดึงไปทางโน้นที ทางนี้ที ไปเจอเรื่องในอดีตของคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง แถมด้วยความสงสัยว่า ตกลงสามีมันตายรึยัง? พร้อมกับเดาตัวฆาตกรไปเรื่อย ๆ ว่า ไอ้นี่แน่ อีกสักพักก็ เอ๊ะ หรือไอ้นี่ อีกเดี๋ยวก็ หรือจะเป็นคนนี้ (วะ)

จนกระทั่งเฉลย แล้วเราก็ร้องว่า เหยดดดดดดดดดดด กูนึกไม่ถึง

มิน่า ถึงได้มีข้อความขึ้นบนปกว่า คุณไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนลงมือ

ถ้าเป็นแฟนของ Coben ก็อ่านเถอะครับ แต่ถ้าใครยังไม่เคยอ่านงานของ Coben ก็อยากให้ลองอ่านดู เผื่อจะชอบนะฮะ

ขอให้มีความสุขกับการอ่านครับ ❤

อย่าหลอกกัน (Fool Me Once)
ผู้เขียน : Harlan Coben
ผู้แปล : มณฑารัตน์ ทรงเผ่า
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
ราคา : ๒๘๕ บาท

fool me once

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไปแล้วบ้าง

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๙ : Flash Boys
หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๙ : facebook โลกอันซ้อนกันอยู่
หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๙ : The Blind Side

ติดตาม What We Read Blog อีกหนึ่งช่องทางได้ที่ https://www.facebook.com/whatwereadblog/

วิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็ว

houseชีวิตคนทำงานพอทำงานมาได้สักพัก เริ่มเก็บเงิน มีครอบครัว (บางคนก็ยังโสดนะ) ก็มองหาที่อยู่ของตัวเอง ซึ่งถ้าไม่มีเงินถุงเงินถังมาก่อน แทบจะร้อยละร้อยจะต้องกู้แบงก์ทั้งนั้น

หลังจากผ่านช่วงแห่งความปิติยินดีที่กู้แบงก์ผ่าน และได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านแสนสุขพร้อมกับหนี้ก้อนโตในชีวิตแล้ว ทีนี้แหละความจริงอันเจ็บปวดก็เริ่มตามมา เมื่อพบว่ารายได้ในแต่ละเดือนจะถูกตัดก้อนใหญ่ออกมาจ่ายเป็นค่างวดบ้าน ซึ่งบางทีมันมากกว่าค่ากินค่าอยู่ของเราซะอีก

หลายคนคงจะเคยนั่งมองยอดผ่อนบ้านแล้วนึกเคลิ้มไปว่า ถ้าไม่ต้องจ่ายค่าบ้านแล้วนะ เราจะมีเงินไปทำอะไรได้อีกเยอะ จะไปเที่ยวญี่ปุ่นแม่มทุกปีก็ได้ จะออกรถใหม่มาแทนคันเก่าที่เดี๋ยวซ่อมเดี๋ยวซ่อมก็ได้ จะกินอาหารนอกบ้านร้านใหม่ร้านไหนเขาว่าดีมิชลินกี่ดาวทุกวันหยุดแม่มยังได้ คิดไปคิดมากำลังเคลิ้มได้ที่แต่พอมานึกถึงระยะเวลาผ่อนที่เหลืออยู่ บางคนกู้ ๑๕ ปี ก็หมดเร็วหน่อย บางคน ๒๐ ปี หลายคนจัดเต็ม ๓๐ ปี ถ้าตอนนี้อายุ ๓๐ กว่าจะผ่อนหมด ๖๐ เกษียณพอดี ชิ_หาย จะผ่อนหมดมั้ยหรือต้องส่งให้ลูกมันผ่อนต่อ อย่ากระนั้นเลย เรามาหาวิธีผ่อนบ้านยังไงให้หมดเร็วกันดีกว่า

หมายเหตุ บอกไว้ก่อนว่า ๑. วิธีที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเพียงแค่วิธีเดียวในหลาย ๆ วิธี แล้วแต่ว่าใครจะเลือกใช้วิธีไหน หรือจะปรับยังไงให้เข้ากับสไตล์ของตัวเองก็ได้
๒. วิธีที่จะเล่าต่อไปนี้ใช้ได้จริง เพราะใช้กับตัวเองมาแล้ว ไม่ได้มาเล่าให้ดูหล่อ ๆ สวย ๆ แต่ทำจริงไม่ได้
๓. วิธีที่จะเล่านี้เป็นหลักการ ไม่มีตารางเอ็กเซล ไม่มีสูตรคำนวณเป๊ะ เป๊ะ และไม่ต้องถามมา เพราะตอบไม่ได้ ทำไม่ได้เหมือนกัน พี่เป็นพวกมวยวัด โอเคนะ

เอาล่ะ อยากผ่อนบ้านหมดเร็วต้องทำไงบ้าง?

ประการแรก ต้องตั้งใจจริง

เดี๋ยว เดี๋ยว อย่าเพิ่งด่า นี่พูดจริงเลย ข้อนี้สำคัญมาก มากถึงขนาดเอามาเป็นข้อแรก ทำไมถึงสำคัญ? ก็เพราะเรื่องผ่อนบ้านนี่มันใช้เวลาหลายปี ให้เร็วยังไงก็ยังหลายปี ถ้าไม่ตั้งใจจริงอาจจะล้มเลิก เกิดอาการ #ทิ้งไว้กลางทาง ซะเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นเตือนไว้ก่อนเลยว่า ต้องตั้งใจจริง

นึกถึงวันที่ชีวิตปลอดหนี้ debt free life เอาไว้นะ

ข้อถัดมา ดูว่าดอกเบี้ยที่แบงก์คิดเราอยู่ตอนนี้น่ะ มันเท่าไหร่?

หลายคนไม่ทันคิด นึกว่าส่วนต่างของดอกเบี้ยแค่สลึงนึง ห้าสิบตังค์จะเท่าไหร่กันเชียว อ๊ะ อ๊ะ เงินต้นล้านสองล้าน บางคนก็หลายล้าน ส่วนต่างสลึงนึงก็หลายตังค์อยู่นะ เพราะฉะนั้น อย่ากระไรเลย ลองเอาใบสลิปมาดูซิโดนดอกเบี้ยอยู่เท่าไหร่ แล้วลองดูของแบงก์อื่นซิ เขาคิดอยู่เท่าไหร่ ถ้าต่างกันเยอะก็ควรจะรีไฟแนนซ์ (แปลว่า เปลี่ยนเจ้าหนี้) เปลี่ยนแบงก์ซะ ไม่ต้องเกรงใจแบงก์ ไม่ต้องเกรงใจพนักงานแบงก์ ไม่ต้องมีลอยัลตี้ นี่มันเงินเรา เขาไม่เกี่ยว

นี่เล่าจากประสบการณ์ตรง ช่วงต้มยำกุ้งพี่ผ่อนบ้านอยู่กับธนาคารแห่งนึง ขณะที่ลูกหนี้คนอื่นเขาชักดาบกันโครม ๆ พี่นี่เป็นลูกหนี้ชั้นดี กัดฟันจ่ายเต็ม จ่ายตรงเวลา โดนดอกไป ๑๖% เงินงวดแต่ละเดือนหักดอกเบี้ยแล้วเหลือหักต้นแค่ไม่กี่ร้อย ปรากฎว่า แบงก์เรียกลูกหนี้ที่ชักดาบมาเจรจา บอกจะลดดอกเบี้ยให้ อ้าว เฮ้ย แล้วพี่ล่ะ ไม่มีเจรจา ไม่มีลดใด ๆ ทั้งสิ้น พี่ได้แต่กัดฟันกรอด ๆ พอถึงเวลาก็รีไฟแนนซ์สิจ๊ะ จะอยู่ทำป๊ะอะไร

(หมายเหตุ ๑. ปกติแบงก์จะทำสัญญามัดมือชกเอาไว้ ห้ามไม่ให้ลูกหนี้รีไฟแนนซ์ก่อนสามปี เพราะฉะนั้นลองดูในสัญญาเงินกู้ของเรานะฮะว่ามีระบุเอาไว้มั้ย ถ้ามีและยังไม่ถึงสามปีก็รอก่อน ไปทำข้ออื่นก่อน
๒. โดยทั่วไปแบงก์ที่เราจะรีไฟแนนซ์ไปมักจะคิดค่าธรรมเนียมโน่นนิดนี่หน่อย ให้ลองเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายดูว่าคุ้มกับดอกเบี้ยที่ลดลงมั้ย ถ้าไม่คุ้มก็รอไปรีไฟแนนซ์ตอนเขามีแคมเปญก็ได้นะฮะ)

ข้อที่สาม โปะสิจ๊ะ จะรออะไร

ข้อนี้เป็นข้อที่ทำยากที่สุด เพราะโดยทั่วไปแล้วถ้าเดือนไหนเรามีเงินเหลือเราก็จะนั่งคิดว่าจะเอาไปทำอะไรดีใช่มะ เชื่อเถอะร้อยละน้อยมากไม่มีใครคิดจะเอาเงินไปโปะหนี้บ้านหรอก มีแต่จะออกแอปเปิ้ลวอทช์รุ่นใหม่ หรือไปทริปดูเหมยขาบทางเหนือดีกว่า นี่แหละคือที่มาของข้อแรก ที่บอกว่าต้องตั้งใจจริง เพราะมันต้องอดทน อดกลั้นและอดออม ครบสูตร

ปกติแล้วแบงก์จะแจ้งยอดมาว่า ค่างวดที่เราต้องจ่ายน่ะเดือนละเท่าไหร่ เอามาซะดี ๆ งี้ ทีนี้ถ้าเราอยากให้หนี้หมดเร็วมันก็ง่าย ๆ จ่ายให้มากกว่าที่แบงก์บอก เช่น แบงก์บอกจ่ายเดือนละหมื่น เดือนไหนเรามีเงินเหลือก็โปะไปเลยหมื่นสองสวย ๆ (ส่วนเรื่องที่ว่าจะเอาที่ไหนมาโปะ เอาไว้ว่ากันคราวหน้านะ) ยอดสองพันที่เพิ่มไปมันก็จะไปหักยอดหนี้ให้หมดเร็วขึ้น อย่าดูถูกว่า แอร๊ยยยยยย เงินพันสองพันจะไปช่วยอะไรได้ เอาไปกินอาหารญี่ปุ่นแล้วถ่ายรูปอัปเฟซไอจีดีกว่า จากประสบการณ์พี่ เงินพันสองพันนี่แหละช่วยได้ ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ใช้เดือนชนเดือน จะเอาเงินหมื่นเงินแสนจากที่ไหนมาโปะ ถ้าเดือนละพันสองพัน สิบเดือนก็หมื่นสองหมื่นแล้วเห็นมะ ช่วงไหนโบนัสออก (สาธุ ขอให้ปีนี้มีโบนัสด้วยเถิดดดดดด) ก็จัดเต็มโปะทั้งก้อนไปเลย

ฟังอย่างนี้แล้วอยากจะกำเงินไปโปะเลยใช่มะ แต่เดี๋ยวก่อน!!! ลองเอาสัญญาเงินกู้มาดูนิดนึง ตอนกู้เคยดูกันมั่งมั้ยว่าแบงก์ใส่เงื่อนไขอะไรเข้ามาบ้าง อย่าคิดว่าแบงก์จะรักเรา ประโยคที่ว่า นายแบงก์ก็คือ คนที่เอาร่มให้เรายามแดดออก และเรียกเอาร่มคืนในยามฝนตกน่ะไม่ได้มากันง่าย ๆ เพราะบางแบงก์จะใส่เงื่อนไขว่า ถ้าหากเดือนไหนเราจะเอาเงินไปจ่ายค่างวดมากกว่าที่แบงก์กำหนด แบงก์ขอคิดค่าธรรมเนียมจากเงินส่วนที่เกินมาด้วย

เงื่อนไขนี้แปลว่าอะไร แปลว่า ถ้าแบงก์บอกให้เราจ่ายค่างวดเดือนละหมื่น เดือนไหนเราทะลึ่งไปจ่ายหมื่นสอง แบงก์ขอคิดค่าธรรมเนียมจากเงินสองพันที่เกินมาด้วย จะกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไปจ้า

อ่านแล้วถ้าคิดว่า เฮ้ย พี่พูดเป็นเล่น แบงก์ที่ไหนจะเขี้ยวขนาดนี้ พี่บอกเลยว่า มีจริง หลายปีก่อนตอนน้องสาวซื้อคอนโดฯ ไปใช้แบงก์ที่มีประวัติเรื่องนี้ ขนาดย้ำแล้วย้ำอีกว่าขอไม่ให้มีค่าธรรมเนียมส่วนนี้ ในสัญญายังใส่มาเลย พอทวงถามก็ทำมึน แต่พอยืนยันว่าไม่ยอม ถึงได้ทำใบแนบท้ายสัญญามาให้ เรื่องถึงได้จบ

เพราะฉะนั้นอยู่ว่าง ๆ ลองเอาสัญญาเงินกู้มานั่งดูบ้างก็ดีว่ามีอะไรอยู่ในนั้นมั่ง บางเรื่องที่เคยบอกพนักงานไป มันอาจยังมาโผล่ในสัญญาก็ได้นะ ทำเป็นเล่นไป

ถ้าเจอเงื่อนไขนี้ก็ลองไปคุยกับแบงก์ดูว่า ขอเอาเงื่อนไขนี้ออกได้มั้ย ถ้าแบงก์ไม่ยอมก็ดูว่า ผ่อนมาเกินสามปีรึยัง รีไฟแนนซ์เปลี่ยนแบงก์ได้มั้ย แล้วก็ทำใจได้มั้ยถ้าจะเอาเงินไปโปะแล้วต้องเสียค่าโง่ที่ว่า ถ้าทำใจไม่ได้ก็เอาเงินที่จะโปะน่ะไปฝากเก็บไว้ก่อน รอให้รีไฟแนนซ์แล้วค่อยโปะทีเดียว

ข้อที่สี่ อย่าตกหลุมพรางของแบงก์

เวลาเราจ่ายค่างวดอยู่เนี่ยเราก็มักจะคิดว่า ถ้าจ่ายแต่ละเดือนน้อยลงกว่านี้ก็จะดี ชีวิตจะได้ไม่กระเบียดกระเสียรขนาดนี้ใช่มะ แล้วบางทีเหมือนแบงก์จะรู้ใจว่าเราคิดอะไร จะเสนอมาให้ว่า เนื่องจากท่านเป็นลูกค้าชั้นดีของธนาคารเรา เราจึงยินดีมอบเงื่อนไขพิเศษสุดนี้ให้กับท่าน นั่นคือ เราจะลดเงินค่างวดที่ท่านจะจ่ายลง จากเดือนละหมื่นเหลือแปดพันกว่าอะไรก็ว่าไป

อา นี่มันฟ้าประทาน ไหนใครว่าแบงก์หน้าเลือด ดูสิ มีแต่สิ่งดี ๆ มาเสนอให้ ใช่มะ

อยากบอกว่า ถ้าไม่ลำบาก ไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ อย่าไปเอา จ่ายมันเต็มเท่าเดิมไปนั่นแหละ ถ้าเรารับเงื่อนไขนี้จะทำให้ระยะเวลาในการผ่อนยาวออกไปอีก แต่ถ้าเรายังจ่ายในยอดเดิมมันจะช่วยลดเวลาลงได้เป็นปีเลยนะเอ้อ

จบแล้ว ง่าย ๆ แค่สี่ข้อนี้ ถ้าทำได้ (นี่ทำมาแล้ว) รับรองว่า ยอดหนี้ลดฮวบ ๆ ผ่อนบ้านหมดเร็วแน่นอนฮะ…

วิกฤติสื่อสิ่งพิมพ์ : ความเห็นจากคนทำ PR

เมื่อวานเจอน้องที่ทำงานพีอาร์เอเจนซี่คนนึงโดยบังเอิญ หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเรียบร้อยก็ถามน้องเขาว่า ช่วงนี้สื่อสิ่งพิมพ์ปิดตัวกันไปหลายเล่มกระทบการทำงานมั่งมั้ย?

น้องตอบว่า ยังไม่กระทบ เพราะยังเหลืออีกหลายเล่ม แต่ปีหน้าก็ไม่รู้นะ เพราะเห็นนักข่าวที่รู้จักในบางเล่มก็เริ่มมีโพสต์ fb ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีกันบ้างแล้ว ถามน้องต่อว่า แล้วช่วงหลังนี้ลูกค้ายังสนใจสื่อสิ่งพิมพ์กันอยู่อีกเหรอ ไม่ได้ไปสื่อดิจิทัลหมดแล้วเหรอ?

น้องตอบเร็วเลยว่า ม่ายยยยย ลูกค้ายังอยากลงสิ่งพิมพ์อยู่ เราฟังก็ เฮ้ย แปลก ทำไมอ่ะ น้องขยายความว่า เพราะสื่อสิ่งพิมพ์ลูกค้าสามารถวัดมูลค่าได้ ว่าที่ได้ลงน่ะตีเป็นมูลค่าสื่อเท่าไหร่ การลงสื่อดิจิทัลลูกค้าวัดเป็นมูลค่าไม่ได้

แล้วน้องก็เสริมว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ยังอยากลงสิ่งพิมพ์ แต่ก็จะเอาดิจิทัลเป็นของแถมด้วย ยกเว้นรายที่เป็นรุ่นลูกเข้ามาทำแล้ว แบบนั้นจะเริ่มมองสื่อดิจิทัลเป็นตัวเลือกแรกมากขึ้น

ก็เล่าสู่กันฟังนะฮะ อาจจะตรงหรือไม่ตรงกับข้อมูลที่คนอื่นมีอยู่ก็ขอให้คิดว่าเป็นเพราะกลุ่มลูกค้าอาจจะต่างกัน ที่จริงมีประเด็นอื่นที่คุยกันมากกว่านี้ แต่เป็นข้อมูลภายในของวงการสื่อที่คิดว่ายังไม่น่าจะเล่าตอนนี้ เพราะยังไม่พร้อมจะโดนสหบาทารอบทิศนะ…

บล็อกระทึก…

เมื่อวานเกิดเหตุการณ์อยู่ ๆ ยอดคนเข้าบล็อกก็พุ่งพรวดผิดปกติเป็นครั้งที่สองในรอบไม่กี่สัปดาห์ แล้วทราฟฟิกที่เข้ามาก็มาที่โพสต์เดียวเลย แถมยังมาจากหลายประเทศทั่วโลก ทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา กระจายกันไปไม่มีรูปแบบ พาให้หนาว ๆ ร้อน ๆ ด้วยความกังวลว่า บล็อกเรื่อยเปื่อยที่เขียนถึงนิตยสารเล่มนึง (ซึ่งก็ปิดตัวไปแล้ว) ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มีคนเข้ามาเยอะผิดปกติอย่างนี้

ทั้งสองเหตุการณ์นี้มีจุดร่วมเหมือนกันคือ ยอด referrer กว่า ๙๐% มาจาก facebook ตอนที่เกิดเหตุครั้งแรกก็พยายามกดลิ้งก์ referrer กลับไปเพื่อจะดูว่าใครกันหนอที่เอาไปแชร์ แต่ก็ดูไม่ได้ เพราะกดไปแล้วมันวิ่งกลับไปที่หน้า feed ของตัวเอง

มารอบนี้ทีแรกก็ยังมืดแปดด้าน แล้วก็เพิ่งเกิดพุทธิปัญญาขึ้นมาเมื่อคืนตอนก่อนนอนว่า ทำไมมึงโง่อย่างนี้ กดลิ้งก์กลับไปไม่ได้ก็เสิร์ชใน facebook ดูสิเว้ย!! ใช้คีย์เวิร์ดที่มีอยู่ในบล็อกโพสต์นั่นแหละหาเอา (นี่แหละหนาที่เขาบอกว่า คนเราต้องโง่มาก่อนฉลาด)

หลังจากนั่งอิ่มเอมใจในสติปัญญาของตัวเองสักพักแล้ว ก็ลองเอาคำในโพสต์นั้นแหละมาเป็นคีย์เวิร์ดเสิร์ชดูเลย คำแรกก็โป๊ะเลยจ้า

มีคนแชร์โพสต์อันที่ว่านี้จากในบล็อกเข้าไปในกลุ่ม facebook กลุ่มนึงที่มีสมาชิกอยู่สี่พันกว่าคน ลองไล่ดูเนื้อหาส่วนใหญ่ที่โพสต์ในกลุ่มนี้ก็พอเห็นแนวความคิดและทัศนคติร่วมบางอย่าง ซึ่งบังเอิญว่าคำพาดหัวของโพสต์นี้ไปเข้าทางเขาพอดี

นอกจากคนในกลุ่ม facebook นี้จะกดลิ้งก์เข้ามาดูแล้ว หลายคนก็ยังปรารถนาดีกดแชร์เพื่อเผื่อแผ่ไปให้เฟรนด์ที่มีอยู่ได้รับรู้ด้วย ก็เลยยิ่งลามออกนอกกลุ่มไปอีก กระทั่งตอนนี้ (ค่ำวันที่ ๗) ยอดคนเข้าบล็อกก็ยังมีต่อเนื่องอยู่ แต่ไม่แรงเท่าเมื่อวานแล้ว

เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้แล

ถามว่า เหตุการณ์นี้ทำให้ได้รู้อะไรบ้าง? อันนี้ถามตัวเองนะฮะ เพราะคนอื่นน่าจะรู้กันทั่วอยู่แล้ว ผมมันพวกอนาล็อก เพิ่งจะรู้

๑. facebook ยังคงเป็น traffic driver เบอร์หนึ่งในโลกออนไลน์

ของคนอื่นเป็นไงไม่รู้นะ เมื่อสิบกว่าปีก่อนเคยทำบล็อกเกี่ยวกับ personal finance มีคนอ่านคนเดียวเหมือนกัน คือเขียนเองอ่านเอง แล้วอยู่ ๆ ยอดก็พุ่งพรวดแบบนี้เลย ปรากฎว่า มีคนอ่านแล้วเอาลิ้งก์ไปโพสต์ใน pantip คนเข้า pantip แล้วก็คลิกมาอ่าน ยอดทะลักมากแต่ก็ยังได้ยอดไม่เท่าครั้งนี้เลยนะ เดี๋ยวนี้เป็นไงบ้างไม่รู้ อันนี้ต้องถามผู้เชี่ยวชาญ pantip แหละ ผมไม่ได้เล่น pantip ไม่สามารถบอกได้

๒. การแชร์หรือเผยแพร่ content เข้าไปในแหล่งชุมนุมของกลุ่มเป้าหมาย แล้วเป็น content ที่โดนใจหรือตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายนั้น ๆ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็เถอะจะได้ผลตอบรับดีมากกกกกกก (กอ ไก่ เจ็ดล้านตัว) ดีจนหนาวเลย (เพราะอันนี้ไม่ได้เป็นคนแชร์)

๓. การพาดหัว (หรือหัวเรื่อง / headline) ถ้าตั้งได้ดีจะมีชัย (ซึ่งไม่ได้แปลว่าถุงยาง) ไปกว่าครึ่ง

ควรตั้งให้คนอ่านเข้าใจได้เร็ว ตัดสินใจได้เลยว่าจะคลิกเข้าไปอ่านดีมั้ย ไม่ใช่เจอพาดหัวแล้ว เออ พาดหัวแม่มคมว่ะ แต่ต้องเอากลับไปคิดสามวันว่าคนเขียนมันหมายถึงอะไรวะ แบบนั้นใช้กับสิ่งพิมพ์อาจจะได้ แต่ออนไลน์นี่ไม่น่ารอด เพราะกรณีของผมนี่คิดว่าคนที่คลิกมาอ่านโพสต์ตัดสินใจจากพาดหัวอย่างเดียวเลย บังเอิญว่าคำมันโดนนะฮะ

๔. เสิร์ชของ facebook ดีขึ้นเยอะ จำได้ว่าก่อนหน้านี้เคยจะเสิร์ชหาอะไรใน facebook แล้วขัดใจมาก หาอะไรไม่ค่อยเจอ ไม่รู้มันโง่หรือเราโง่ แต่ครั้งนี้ดีขึ้นมากนะ

ชักจะยาวล่ะ พอแค่นี้เถอะ ถ้าใครมีความเห็นยังไงก็เชิญนะฮะ…

คนสิ่งพิมพ์ในยุควิกฤติสื่อสิ่งพิมพ์

ช่วงสี่ปีกว่าที่ผ่านมามีโอกาสได้จดหมายสมัครงานกับได้สัมภาษณ์คนมาสมัครงานเยอะอยู่เหมือนกัน พอจะเห็นเป็นแพตเทิร์นอยู่บ้างนะฮะ นั่นคือ

ตามปกติแล้วถ้าใกล้ช่วงที่เด็กจะจบจะมีใบสมัครเข้ามาแบบกระหน่ำมาก หลากหลายสถาบัน สมัครในตำแหน่งทั้งที่ตรงสาขาและไม่ตรงสาขาที่เรียนมา ประมาณว่ากูเอาไว้ก่อน เผื่อเขาเรียก (สัมภาษณ์) ซึ่งโดยปกติไม่ค่อยได้เรียก ยกเว้นใครที่ดูน่าสนใจจริง ๆ (ที่ว่าน่าสนใจนี่คือ เรียนมาตรงกับตำแหน่งที่สมัคร หรือทำกิจกรรมหรือมีผลงานระหว่างเรียนที่ดูแล้วเข้าเค้านะฮะ ไม่ใช่หน้าตาน่าสนใจ)

เรื่องเด็กจบใหม่นี่ขอยกยอดเอาไว้เล่าคราวหน้าอีกที เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่เป็นอาจารย์บ้างนะฮะ

ส่วนที่นอกเหนือจากเด็กจบใหม่ที่เป็นคนทำงานแล้วก็จะมีสมัครงานเข้ามาเรื่อย ๆ ตลอดทั้งปี แต่จะมีมากหน่อยก็ช่วงไตรมาสสี่ อันนี้เข้าใจได้ คงกะว่ากว่าจะเรียกสัมภาษณ์ คุยรอบแรกรอบสอง โน่นนี่นั่นก็พอดีปลายปี รับโบนัสแล้ว (ถ้ามี) ก็ออกมาเริ่มงานใหม่

ในกรณีของคนทำงานแล้ว มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ ปีนี้คนที่สมัครงานเข้ามามีอายุมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (แม่มแปลว่าอะไรไม่รู้ แต่เห็นเวลาเขาเขียนแล้วดูจริงจัง น่าเชื่อถือ ดูมีความรู้อ่ะ เอามั่ง) จากเดิมคนสมัครงานอายุจะอยู่ราว ๆ ยี่สิบกว่า ๆ ถึงสามสิบต้น ๆ ไม่ค่อยมีเกิน ๓๕ พวกนี้นาน ๆ ถึงจะหลุดมาทีและส่วนมากที่มาก็เพราะมีคนรู้จักแนะนำมา

แต่ปีนี้มีสมัครกันเข้ามาเยอะมาก สามสิบปลาย สี่สิบกว่า สี่สิบปลาย จนถึงห้าสิบก็ยังมี จากที่ได้สอบถามตอนสัมภาษณ์สามารถสรุปได้ว่า ปรากฎการณ์นี้เป็นผลมาจากภาวะวิกฤติของแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์นะฮะ หลายคนยังทำงานอยู่แต่พอจะดูออกว่าสถานการณ์ออฟฟิศไม่ค่อยดี ก็หางานเผื่อไว้ก่อน เกิดปุบปับมีอะไรขึ้นมาจะได้ไม่เคว้ง บางคนก็เพิ่งออกจากงาน ไม่ว่าจะเป็นเพราะหนังสือปิดตัว (ปีนี้หลายเล่มแล้วนะ) หรือสมัครใจเข้าโครงการ early retire หรือไม่ได้สมัครใจแต่ถูกจิ้มออก

สิ่งที่เกิดขึ้นตามที่เล่ามานี่น่าสะท้อนใจอยู่เหมือนกัน เพราะหลายคนที่ได้สัมภาษณ์ช่วงหลังนี่ทำงานที่ออฟฟิศปัจจุบันหรือล่าสุดมาสิบกว่าปีเลยนะ บางคนทำมา ๑๙ ปี แต่จำใจต้องเข้าโครงการ early retire บางคนทำมาสิบกว่าปีแต่ออฟฟิศทำท่าจะไปไม่รอด ก็จำเป็นต้องหางานใหม่

สถานการณ์แบบนี้คงจะมีไปอีกสักพัก จนกว่าจะเขย่ากันเสร็จเรียบร้อยว่าใครจะอยู่ใครจะไป ขอให้เพื่อนร่วมวงการทุกคนโชคดีนะครับ