มาครับ คนกำลังฟิต จบจาก The Fifth Risk ก็หาเล่มใหม่มาอ่านต่อกันเลย คราวนี้อยากได้นิยายมาสลับฉากกันบ้าง เลือกไปเลือกมาได้เล่มนี้ครับ
ความลับสุสานฉินซี โดย Steve Berry
หนังสือเล่มนี้สรุปคร่าว ๆ ให้เห็นภาพ ให้นึกถึงอินเดียนา โจนส์ ในยุคปัจจุบัน ที่ไม่ใช้แส้แต่ใช้นามสกุล
ไม่ใช่! มึงอย่ามาตลก!! ใช้ปืนเว้ย พระเอกไม่ใช่คนจีน ไม่ต้องใช้แซ่
แล้วพ่อเทพบุตรก็ไปตามหาวัตถุโบราณ โบราณสถานที่โน่นที่นี่ ซึ่งบางทีก็ไม่ได้อยากไป แต่สถานการณ์มันพาไป
ผสมเข้ากับเจมส์ บอนด์ ที่เป็นสายลับ มีอเมริกา มีรัสเซีย มีจีน ปฏิบัติการข้ามประเทศ ข้ามทวีป บินไปบินมา เดี๋ยวอยู่เดนมาร์ก อีกแป๊บมาอยู่เบลเยียม มาโผล่ฮาลองเบย์ เวียดนาม แล้วไปลุยร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำในจีน ขนาดนั้น 5555
ยัง ยังไม่พอ เหยาะความเป็นโรเบิร์ต แลงดอน ของพี่แดน บราวน์ เข้าไปอีกหน่อย ให้เรื่องมันคลุมเครือ ๆ เอาไว้ ให้คนอ่านสงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ไต่ขอบระหว่างความจริงกับจินตนาการหรือการตีความของคนเขียนเอง
แล้วเติมองค์กรลับอายุหลายร้อยปีที่ไม่มีใครเคยรู้ว่าแม่งมีอยู่ในโลกใบนี้ แม่งลับจริง ๆ นะ 😆
เอาทุกอย่างปั่นรวมกัน แล้วโรยหน้าด้วยความอลังการของสุสานฉินซีเข้าไปอีกที
ประมาณนี้นะครับ ถ้าใครชอบเรื่องแนวนี้น่าจะชอบเลย และถ้าอ่านแล้วชอบก็จะบอกว่าพี่ Steve Berry เขียนเอาไว้หลายเล่ม โดยที่ใช้ตัวละครหลักชุดเดียวกัน แต่ไปผจญภัยในสถานที่ต่างกัน ทุกเรื่องอิงประวัติศาสตร์หรือบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ทั้งนั้นเลย นโปเลียนงี้ อเล็กซานเดอร์มหาราชงี้
อ่านสนุก ลุกนั่งสบาย คนตายเพียบครับพี่น้องครับ ❤️📚
Category: Review of all things
รีวิวหนังสือ The Fifth Risk
มาครับ อ่านจบแล้วมาเล่าสู่กันฟัง
ครั้งนี้เป็นหนังสือ The Fifth Risk ของเฮีย Michael Lewis คนเขียน The Liar’s Poker The Blind Side The Big Short และอื่น ๆ อีกหลายเล่มนะครับ
หนังสือเล่มนี้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือเอาจริง ๆ ก็คือ ไม่ได้เกิดขึ้น หลังจากที่ Donald Trump ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี ๒๐๑๖ ดูเนื้อหาเผิน ๆ เป็นเรื่องการเมืองสหรัฐฯ และการบริหารราชการของสหรัฐฯ
ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่พี่ไม่สนใจ ไม่เคยสนใจและไม่เคยคิดจะอ่านเลย (ลำพังการเมืองบ้านกูก็เหนื่อยใจอยู่แล้วมั้ย ขอถอนหายใจแป๊บ) แต่ที่ซื้อเล่มนี้และยังลัดกองดองที่มีอยู่หลายร้อยเล่มหยิบมาอ่านก่อนก็เพราะคนเขียนอย่างเดียวเลย
จากประสบการณ์ที่อ่านงานของ Lewis มา ต้องบอกว่าเฮียแกสายตาคม มองสาวนี่มีสะท้าน
ไม่ใช่! มึงอย่ามาตลก!!
เอาใหม่นะ เฮียแกสายตาคม แกเลือกประเด็นที่ดูเหมือนธรรมดา ไม่มีอะไร ไม่น่าสนใจ ไม่น่าหยิบมาเขียน หรือหนักไปกว่านั้นก็คือ แม่งแค่ฟังก็น่าเบื่อแล้ว เขียนออกมาใครจะอ่าน แต่นั่นแหละคือทีเด็ดของเฮีย เรื่องที่ดูเหมือนไม่มีอะไรอย่างที่ว่า พอผ่านปลายปากกาเฮีย (จริง ๆ น่าจะเป็นคีย์บอร์ดนะ) ออกมาแม่งกลับน่าสนใจ น่าอ่าน แถมยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของประเด็นที่หยิบมาเล่าได้อีกด้วย
เฮีย Lewis เคยเล่าในการเสวนาครั้งนึงว่า นักเขียนเนี่ยเวลาไปไหนมาไหน ไปเจอใคร มักจะถูกซักว่ากำลังเขียนเรื่องอะไรอยู่ ถ้าปฏิเสธไม่ได้ก็จะบอกไปสั้น ๆ ซึ่งถ้าฟังแล้วดูน่าสนใจก็จะโดนซักให้เล่าต่ออีกและหลายคนจะไม่อยากเล่า เพราะพอเล่าไปแล้วมันเหมือนพลังในการเล่ามันถูกระบายออก เวลาไปนั่งเขียนงานก็จะไม่สามารถระเบิดฟอร์มขึ้นสุดยอดขึ้นมาได้ เพราะมันถูกระบายออกไปแล้ว เหมือนเอากระสุนจริงไปยิงสนามซ้อมหมดแล้ว ประมาณนั้น
แต่เฮีย Lewis บอกว่าแกไม่มีปัญหานี้เลย จะไปปาร์ตี้หรือดินเนอร์ที่ไหน เจอคนถามว่ากำลังเขียนเรื่องอะไร แกก็ตอบตามตรง เป็นเรื่องนักคณิตศาสตร์ที่เอาหลักสถิติมาบริหารทีมเบสบอล (Moneyball)
หรือเป็นเรื่องเด็กผิวดำยากจนที่ได้ทุนเรียนจากการเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล (The Blind Side) ซึ่งพอฟังแล้วคนในวงสนทนาก็จะอึ้ง แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น 555555
The Fifth Risk นี่ก็เหมือนกัน เฮีย Lewis เปิดขึ้นมาด้วยเหตุการณ์ที่ควรจะเกิดแต่ไม่เกิดขึ้นในสามกระทรวงหลักของสหรัฐฯ หลังจากที่ Trump ชนะการเลือกตั้ง นั่นก็คือการ (ไม่) ส่งทีมงานเข้ามาศึกษาและรับช่วงงานต่อจากรัฐบาล Obama ที่กำลังจะพ้นวาระไป
สามกระทรวงที่ว่าก็มี กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตร และกระทรวงพาณิชย์
จากจุดตั้งต้นตรงนี้ก็จะเป็นฝีมือและสไตล์ของเฮียเขาล่ะที่จะค่อย ๆ ขยายประเด็นให้เห็นภาพในระดับ macro (ที่ไม่ใช่ห้างค้าส่ง) ยิ่งขึ้น
เฮีย Lewis พาคนอ่านไปให้เห็นถึงบทบาท หน้าที่และความสำคัญของทั้งสามกระทรวง โดยเฉพาะในส่วนของความเสี่ยง (risk) ที่จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวอเมริกัน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะรู้ตัวหรือไม่ก็แล้วแต่ (แล้วแต่อะไรเหรอ แล้วแต่มึงเลยยยยยยยยย)
และนั่นคือที่มาของชื่อหนังสือ ส่วนว่าจะมี risk อะไรบ้างนั้น อันนี้ต้องตามไปอ่านกันเองนะฮะ 😊
ในขณะที่เล่าประเด็นนี้ เราก็จะได้พบกับข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ไม่มีชื่อเสียงและไม่เคยได้รับเครดิตใด ๆ จากงานที่ทำ ทั้ง ๆ ที่งานเหล่านั้นอาจส่งผลถึงความเป็นความตายของชีวิตคนจำนวนมาก
ในขณะเดียวกันก็จะได้เห็นด้านมืดของระบอบการเมืองที่ถูกทุนเข้าครอบงำ หรือเป็นไปในลักษณะผลประโยชน์ต่างตอบแทน (แบบถูกกฎหมาย)
เอ๊ะ เรื่องพวกนี้คุ้น ๆ มั้ย?
ตอนแรกที่หยิบเล่มนี้มาอ่านก็นึกว่าจะเป็นเรื่องการเมืองสหรัฐฯ และรัฐบาลสหรัฐฯ แต่พออ่านไป ๆ ภาพในหัวมันดันมีคลื่นแทรกกลายเป็นการเมืองและรัฐบาลประเทศนึงแทรกมาตลอดเวลา
ทำไมนะ
นี่ยังดีนะที่เนื้อหาในหนังสือเขียนถึงช่วงปี ๒๐๑๖ – ๒๐๑๗ ถ้าขยับมาอีกนิดเป็นช่วงโควิดนะมึงเอ๊ยยยยยยยยยย
พี่นี่ไม่นึกถึงหน้า Trump เลยล่ะ… เลิฟ เลิฟนะฮะ ❤️
ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในรถของ Xiaomi
จากปัญหาฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ ที่มาแรงมากเมื่อช่วงต้นปีก็เลยทำหน้าที่พ่อบ้านใจกล้ากดสั่งเครื่องฟอกอากาศในรถของ Xiaomi ไปหนึ่งตัวด้วยความหวังว่าจะช่วยลดความเสี่ยงให้แม่พดด้วง (ซึ่งเป็นคนใช้รถเป็นหลัก) ในระหว่างขับรถไปไหนมาไหนได้บ้าง
เครื่องฟอกอากาศตัวนี้สั่งซื้อมาจากแอป JD Central ประสบการณ์สั่งซื้อไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ ขอยังไม่เล่าละกัน แต่ตอนนี้ดูทรงแล้วไม่น่าจะใช้ซ้ำ สั้น ๆ แค่นี้ละกันนะ
จากกล่องที่ได้รับมา แกะออกมาประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ตามรูปข้างบนเลย
อ่ะ มาดูทีละชิ้นกัน ไอ้อันดำ ๆ ยาว ๆ นั่น ก็คือ ตัวเครื่องฟอกอากาศ (ได้ยิน ดำ ๆ ยาว ๆ แล้วโปรดอย่าคิดลึก)
แถวล่างขวาสุด เป็นที่สุดคู่มือ (ซึ่งเปิดคู่มือออกมาแล้วเป็นภาษาจีนล้วน เยสเข้!!)
ถัดเข้ามาเป็นกล่องใส่สายไฟเพื่อเสียบจากที่จุดบุหรี่ในรถไปที่ตัวเครื่อง
ถัดมาเป็นแผ่นคล้ายหนัง (ไม่รู้ว่าวัสดุเป็นอะไร) ด้านนึงมีโลโก้ MJ ซึ่งไม่ได้ย่อมาจาก Michael Jordan แต่เป็น MiJia ที่เป็นแบรนด์ย่อยสำหรับสินค้าในกลุ่ม smart home ของ xiaomi พลิกอีแผ่นนี่ไปด้านหลังจะเป็นช่องให้ร้อยสายได้มาพร้อมกระดุมแป๊ะ (จะเก็ตกะกุมั้ยเนี่ย 5555) แกะมาเจอก็งง ใช้ทำอะไรวะอีแผ่นนี้?
สุดท้ายคือ พลาสติกโค้ง ๆ แข็ง ๆ มีสายร้อยติดอยู่พร้อมตัวล็อก
หลังจากที่แกะทุกอย่างเรียบร้อย เปิดดูคู่มือ (ภาษาจีน) และใช้บริการ google lens เพื่อแปลจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ก็จัดการประกอบตัวเครื่องกับพลาสติกตัวสุดท้ายนี่เข้าด้วยกัน ก่อนจะไปติดตั้งในรถ ซึ่งพอลองวางตำแหน่งโน้นตำแหน่งนี้ดูแล้ว จุดที่ลงตัวที่สุด (สำหรับเรา) ก็คือ ด้านหลังที่พิงศีรษะที่นั่งด้านหลังฝั่งคนขับ (งงมั้ยวะ พูดง่าย ๆ หลังที่พิงหัวของที่นั่งหลังคนขับอ่ะ)
พอรัดสายล็อกตัวเครื่องติดกับที่พิงศีรษะเรียบร้อยก็เอาอีแผ่นคล้ายหนังที่ได้มา (ซึ่งทีแรกไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรนั่นแหละ) มาปิดทับอีกทีเพื่อซ่อนสายให้เรียบร้อย ช่วยให้รถดูดีมีระดับขึ้นมาเลยทีเดียว แหม่…
จากนั้นก็เดินสายไฟที่ให้มาต่อจากตัวเครื่องฟอกอากาศไปที่ที่จุดบุหรี่ ตรงนี้ถ้าใครยังไม่ได้เสียบอะไรไว้กับที่จุดบุหรี่ก็ง่ายหน่อย แต่ของเรานี่ใช้ต่อกล้องเอาไว้แล้วก็เลยต้องไปซื้อตัวเพิ่มช่องที่จุดบุหรี่มาอีกอัน
ไอ้ตัวเพิ่มช่องจุดบุหรี่นี่ก่อนจะซื้อก็งงชิหาย ทีแรกกะจะกดซื้อออนไลน์ให้ส่งมา พอเปิดดูในเว็บกับตามแอปขายของ แม่มมีตั้งแต่หลักสิบยันหลักพัน แล้วไม่มีอะไรบอกเลยว่า ที่ราคาต่างกันขนาดนั้นเพราะอะไร เลยตัดสินใจไปแวะร้านขายอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ไว้ใจได้ที่เคยใช้บริการกันมา ถามน้องมันจนพอรู้เรื่อง แล้วซื้อมาอันนึง ตามรูป
ติดตั้งเรียบร้อย ลองเปิดสวิตช์รถ เออ เครื่องทำงานแล้ว โอเค ก็จัดการซ่อนสายไฟไม่ให้รกหูรกตาแม่พดด้วง ทีนี้มาจัดการเรื่องแอปต่อ เปิด app store โหลดแอปชื่อว่า Mi Home (ตามภาพ) หรือใครขี้เกียจเสิร์ชจะยิง QR code จากคู่มือก็ได้นะ มันวิ่งไปได้เลย
กด install เรียบร้อย ตอนเลือก location ไม่มีประเทศไทย ก็ใส่ Singapore ตามที่แอปมันแนะนำไป ยังไม่มี account ของ Mi ก็สมัครซะ เสร็จแล้วทีนี้ก็ทำการลิ้งก์เครื่องฟอกอากาศเข้ากับแอปในมือถือเรา ตรงนี้มีทริกนิดหน่อย คือ เปิดแอปขึ้นมาเปลี่ยน region เป็น Mainland China ก่อนที่จะกด add device เพราะถ้าไม่เปลี่ยนเป็นจีน แอปมันจะหาไม่เจอ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน วิธีนี้ก็เจอจากในเน็ตที่มีคนมาตอบเอาไว้
ลิ้งก์แอปได้แล้วก็ลองกดใช้งานดู ลองกดให้ทำงานแบบ auto เปลี่ยนเป็น manual กดเร่งกดเบาพัดลมได้ ปิดเป็น standby ก็โอเคใช้ได้เรียบร้อย จากในรูปเปิดขึ้นมาตอนแรกค่าอากาศจะเป็น Common ซึ่งมีขยายความบอกว่า ค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ ๕๐ – ๑๐๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร พอเปิดไปได้แป๊บนึงก็เปลี่ยนเป็น Good ซึ่งในข้อความบอกว่า ค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ระหว่าง ๐ – ๕๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แสดงว่า เครื่องสามารถใช้งานได้ผลอยู่ (ถ้ามันไม่โกหกนะ 5555) รู้สึกคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาเลยทีเดียว
นอกจากบอกค่าอากาศได้แล้ว แอปนี้ยังบอกค่าอื่น ๆ ได้อีก เช่น เราใช้เครื่องฟอกอากาศนี้มาเป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว ระดับของไส้กรองอากาศอยู่ที่กี่เปอร์เซ็นต์ (ตอนนี้อยู่ที่ ๑๐๐ และจะลดลงตามการใช้งานจนเหลือ ๐ ซึ่งก็ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนไส้กรองได้ – ถ้ามันไม่โกหกอีกแล้ว 5555) อะไรพวกนี้นะฮะ
สรุปสั้น ๆ จากที่ได้รับตัวเครื่องจนมาถึงขั้นตอนนี้ ติดตั้งไม่ยาก ลงแอปแล้วลิ้งก์กับตัวเครื่องมีขั้นตอนนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ยากอะไร การเปิด-ปิดใช้งานไม่มีอะไรซับซ้อน ส่วนผลการใช้งานคงต้องใช้ดูสักพักก่อนครับ
ประสบการณ์งานวิ่ง Kumarathon : Together We Run 2017
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาคุณแม่พดด้วงไปลงงานวิ่ง Kumarathon : Together We Run 2017 ที่สวนหลวงร.๙ มาครับ ผมทำหน้าที่สารถีขับรถ ซึ่งเป็นการขับรถข้ามเมืองจากฝั่งธนไปสวนหลวงร.๙ เป็นครั้งแรก งานนี้จัดให้เพื่อแม่พดด้วงโดยเฉพาะเลย (#โพสต์สร้างภาพ 5555)
แม่พดด้วงเล่าว่าเห็นประกาศงานวิ่งงานนี้มาจากเพจ Kumamon Thailand เมื่อราว ๆ ประมาณปลายเดือนตุลาคม (หรือต้นพฤศจิกายนนี่แหละ) ตอนแรกที่เห็นก็สนใจแต่ไม่ได้สมัคร เพราะมันไกลบ้าน ก็เลยตัดใจไป
ทีนี้ปรากฎว่า หลังจากที่เปิดให้สมัครกันแล้วเกิดมีคนสละสิทธิ์ ไม่โอนเงินค่าสมัครเข้ามา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนที่สมัครนั่นมือลั่น หรืออยู่ในอารมณ์ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม (สำนวนเก่าบอกวัยมาก) เฮ้ย งานวิ่งเว้ย สมัครไว้ก่อนเว้ย!! อะไรแบบนี้หรือเปล่า (สองอาการที่ว่ามานี้ลองไปถามนักวิ่งดูเถอะ เชื่อว่าเป็นกันเยอะ 5555) ทางผู้จัดงานก็เลยมีการเปิดรับสมัครทดแทน
คราวนี้แม่พดด้วงไม่พลาด เพราะความมุ้งมิ้งตะมุตะมิของ race kit ที่ทางเพจเอามาโชว์นี่ต้องบอกว่า เห็นแล้วรอดยาก แล้วงานนี้เป็นงานที่ให้ของเพียบมาก โดยเปิดให้คนสมัครเลือกได้ว่าจะอยู่ Team Kumamon (สีดำ) หรือ Team Sister (สีเหลือง) ซึ่งทั้งสองทีมมีทั้งเสื้อวิ่ง (แบรนด์ Mizuno) สายรัดข้อมือ กระเป๋าผ้า รวมไปถึงฟิกเกอร์ แถมยังเปิดขายตัวติดบิ๊บลายคุมะมงสำหรับคนที่สนใจ ซึ่งแน่นอนว่า แม่พดด้วงโดนไปหนึ่งชุด
ส่วนหนึ่งของ race kit ชุดนี้เป็น Team Sister สีเหลืองครับ
เช้าวันเสาร์เราตื่นตั้งแต่ยังไม่ตีสี่ เตรียมตัวเสร็จ เช็กของให้เรียบร้อยว่าไม่ลืมอะไร โดยเฉพาะบิ๊บ (ใครลืมบิ๊บวันงานนี่เหมือนไปถึงสนามบินแล้วลืมพาสปอร์ตยังไงยังงั้นนะฮะ) ออกจากบ้านตอนตีสี่ครึ่ง ขับรถข้ามเมืองไปสวนหลวงร.๙ โดยพึ่งคุณพี่ Google Map ไปตลอดทาง (กราบบบบบบ)
ส่วนหนึ่งของ race kit ตัวติดบิ๊บกลม ๆ สี่อันนั่นต้องซื้อต่างหากนะครับ
ไปถึงที่จอดรถตอนตีห้านิด ๆ กำลังจะเลี้ยวเข้าที่จอดรถที่ทางผู้จัดงานเตรียมไว้ ปรากฎว่า มันเต็มที่คันก่อนหน้าเราพอดี เราเป็นคันแรกที่โดนกั้น (ให้มันได้ยังงี้!!) กำลังคิดว่าแล้วกูจะไปจอดที่ไหนดีวะ ขับออกมาไม่ถึงสิบเมตรมีที่จอดรถหน้าอาคารพาณิชย์ที่ยังว่าง ๆ อยู่ ก็เอาวะ ขอตรงนี้ละกัน ซึ่งพอเราเข้าไปจอดก็มีคันอื่นตามหลังเข้ามาจอดอีกร่วมยี่สิบคันจนเต็มและทั้งหมดเป็นรถของคนที่มางานวิ่งวันนี้ 5555
เดินข้ามถนนเข้าไปในงานบนเวทีมีพิธีกรหญิงชายดำเนินรายการอยู่ บอกกำหนดการว่าตอนตีห้าสี่สิบห้าจะมีการวอร์มกัน คุณภรรยาก็ไปเตรียมตัว กินขนมปังรองท้อง ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย
พอได้เวลาก็มีการวอร์มนำโดยคุมะมง!!! อันนี้เสียดาย ถ่ายวิดีโอเก็บไว้ไม่ทัน เพราะคุมะมงนำวอร์มด้วยเพลง ชูมือขึ้นแล้วหมุน ๆ ซึ่งบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่นับพันคนต่างก็พร้อมใจทำท่าตามคุมะมงกันอย่างพร้อมเพรียง เป็นที่สนุกสนานเฮฮาน่าชมยิ่งนัก
วอร์มเสร็จมีพิธีการอีกเล็กน้อย ถ่ายร่งถ่ายรูปคุมะมงกับสปอนเซอร์รายใหญ่ก่อนจะปล่อยตัวตอนหกโมงตรง งานนี้ปล่อยตัวทีเดียวเลยเพราะวิ่งระยะเดียว คือ ๕.๖ กิโลเมตร
งานนี้แปลกอยู่อย่าง ปล่อยตัวแล้ว นักวิ่งก็ทยอยวิ่งกันออกไปแล้ว ยังมีนักวิ่งอีกหลายสิบคน หรือเกือบร้อยที่แต่งตัวชุดวิ่งกันมาแล้ว แต่ไม่วิ่งเว้ย มาเดินถ่ายรูปกับแบ็กดรอปคุมะมงที่คนจัดวางเตรียมเอาไว้หลายจุด นี่เหมือนรู้นิสัยนักวิ่งสายเซลฟี่บ้านเราเลยนะ ทำการบ้านมาดีมาก 5555 แต่ก็มีหลายคนที่พอถ่ายรูปหนำใจแล้วค่อยออกวิ่งตามไป เรียกว่างานนี้มาวิ่งเอาสนุก วิ่งขำ ๆ ไม่จริงจังเอาเป็นเอาตายนะ
พอแม่พดด้วงออกวิ่งแล้วทีนี้เราก็ว่าง ก็เดินดูนักวิ่งสาว ๆ เฮ้ย!! บูธสปอนเซอร์ ทีแรกนึกว่า mizuno จะมาตั้งบูธขายรองเท้า ยังคิดอยู่เลยว่า วันนี้กูโดนอีกคู่แน่ ๆ ปรากฎว่า mizuno ไม่มา ก็เลยรอดไป ไม่เสียเงินนะฮะ
เดินไปเดินมาไปเจอบูธ uber eats กำลังยืนดู ๆ อยู่มีน้องหน้าใสมาชวนให้โหลดแอป ลงทะเบียนแล้วมีของแจก แถมได้โค้ดใช้ฟรีอีกห้าครั้ง อ่ะ อย่างนี้น่าสนใจ ลงไว้ก่อน เผื่อช่วงหยุดปีใหม่ขี้เกียจออกจากบ้านจะได้นอนไม่แห้งตายคารัง
เดินดูอยู่สักพักเห็นมีนักวิ่งคนแรกเข้าเส้นชัยมาแล้ว ก็เลยเดินไปยืนรออยู่หน้าเส้นชัย ระหว่างที่รอก็ถ่ายรูปเหรียญรางวัลเขาไปพลาง ๆ แล้วได้เห็นว่าพอนักวิ่งเข้าเส้นชัยมาเจ้าหน้าที่จะให้เหรียญแล้วกาเครื่องหมายบนบิ๊บเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า คนนี้รับเหรียญไปแล้วนะ มั่วไม่ได้แน่นอน
ดูนักวิ่งที่เข้าเส้นชัยมาก็แปลกใจนิดนึง ทีแรกคิดว่างานวิ่งที่มุ้งมิ้งแบบนี้คนมาวิ่งน่าจะเป็นผู้หญิงสาว ๆ เป็นส่วนใหญ่ (เหมือนคุณแม่พดด้วง 5555) ที่ไหนได้ นอกจากสาว ๆ แล้วยังมีสาวใหญ่ มีหนุ่ม ๆ ทั้งที่เป็นหนุ่มแมน ๆ ถึก ๆ และหนุ่มที่ไม่แมน เรียกว่ามากันครบทุกเพศทุกวัยนะฮะ
สักพักใหญ่ ๆ แม่พดด้วงก็วิ่งเข้าเส้นชัยมา เราก็ไปยืนเสนอหน้าถ่ายรูปตอนวิ่งเข้าเส้นเก็บไว้เป็นที่ระทึก 5555 รับเหรียญเรียบร้อยก็ไปยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อจะได้ไม่เจ็บ แล้วแวะไปรับอาหาร งานนี้มีแมคโดนัลส์ มีมาม่า เข้าคิวรับกันได้ตามใจชอบ ระหว่างที่กินเบอร์เกอร์เราก็นั่งตอบคำถามชิงรางวัล รางวัลใหญ่เป็นตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นสองที่นั่ง ปรากฎว่า ตอบผิดเกินจำนวนที่จะได้เข้าไปลุ้นรางวัล ช่วงนั้นคุมะมงวิ่งเข้าเส้นชัยมาแล้วกำลังจะเข้าไปพักในรถตู้ที่จอดอยู่บริเวณที่เรานั่งอยู่พอดี เลยได้เจอระยะประชิด ทั้งตัวคุมะมงและสาวญี่ปุ่นที่เป็นพี่เลี้ยงคุมะมง ฮ่า…
พอพักหายเหนื่อยแล้วเราก็กลับ ไม่ได้อยู่ร่วมงานต่อ เพราะเราต้องขับรถข้ามเมืองกลับบ้านโดยที่ไม่ชินทาง (อาศัยพี่ Google Map เช่นเดิม กราบบบบบบอีกที) ก็เลยไม่อยากให้สายนัก เดี๋ยวจะเจอรถติดเกินความจำเป็น ตอนที่เดินออกมาเห็นรถนักวิ่งที่จอดอยู่ริมถนนเจออุบัติเหตุ ไม่รู้ใครมาเฉี่ยวหรือชน กำลังเคลียร์กับประกันอยู่ คงเซ็งน่าดู
สิ่งที่ประทับใจมากของงานนี้คือ การบริหารจัดการ เรียกได้ว่าเป็นมืออาชีพมาก ถึงเราจะมีประสบการณ์ลงงานวิ่งมาน้อยมาก แต่เรื่องแบบนี้มันดูออก รู้สึกได้ เริ่มจากก่อนวันงานมีการให้ข้อมูลสม่ำเสมอ ส่ง race kit ให้ถึงมือก่อนวันงานนานพอสมควร แผนผังการวิ่งชัดเจน ให้ข้อมูลที่จอดรถชัดเจน ปล่อยตัวตรงเวลา แม่พดด้วงบอกว่ามีเจ้าหน้าที่คอยบอกเส้นทางวิ่งทุกทางแยก วิ่ง ๆ อยู่ไม่มีหลงแน่นอน ส่วนเรื่องการฝากของ อันนี้ไม่รู้เพราะเราไม่ได้ฝาก
ถ้าให้สรุปสั้น ๆ ต้องบอกว่า เป็นงานวิ่งที่จัดได้ดีมาก ทีมงานพร้อม เหรียญสวยดึงดูดใจ ถึงจะวิ่งระยะแค่ฟันรันแต่ก็ประทับใจ แม่พดด้วงบอกว่า ปีหน้ามาอีกแน่นอน…
รีวิวรองเท้าวิ่ง Pan Predator Marathon
เรื่องมันเริ่มตรงที่เปิดดู facebook แล้วมีโพสต์ของเพจวิ่งเพจนึงโผล่ขึ้นมา เป็นโพสต์เกี่ยวกับงานวิ่ง แต่ที่แปลกออกไปก็คือ รูปที่โพสต์มีแต่รูปรองเท้าล้วน ๆ เต็มที่ก็สูงขึ้นมาถึงแค่หน้าแข้ง ไม่เห็นหน้าคนใส่ว่าสวยหล่อแค่ไหน แต่บอกว่า ทุกยี่ห้อที่รุ่นที่โพสต์มาวิ่งจบระยะฟูลมาราธอนมาแล้ว
เราก็ไถดูไปเรื่อย ๆ ยี่ห้อดัง ๆ ที่คนนิยมมีมาครบ ทั้ง nike adidas asics on saucony ฯลฯ สารพัดรุ่น แล้วก็มาเจอคู่นึง ดูแล้วไม่คุ้นเลย ก็เลยกดไปดูคอมเมนต์จะดูว่ายี่ห้ออะไร
แล้วก็เซอร์ไพรส์ที่เป็นยี่ห้อ Pan
ที่ว่าเซอร์ไพรส์ก็เพราะเมื่อสองสามปีก่อนอ่านเจอข่าวผ่านตาว่า Pan ปิดโรงงาน ตอนนั้นเข้าใจว่าเลิกทำยี่ห้อนี้ไปเลย ไม่มีอีกแล้ว ตอนนั้นยังเสียดายอยู่เลย เพราะรองเท้าแบดมินตันของ Pan นี่เจ๋งมาก แล้วก็ไม่เคยได้ข่าวคราวอีก ไม่เคยเดินดูตามห้างด้วย ก็นึกว่าเลิกไปแล้วจริง ๆ
หลังจากนั้นก็ลองเสิร์ชดูว่า รุ่น Predator Marathon นี่มันมีดียังไงบ้าง แต่เจอน้อยมาก แทบไม่มีรีวิวเลย แต่ไปเจอข้อมูลว่า มีนักวิ่งเคนยาใส่รองเท้ารุ่นนี้วิ่งชนะฟูลมาราธอนในงาน Bangkok Marathon เมื่อปี ๒๐๑๕
เฮ้ยยยยยยยย หยั่งงี้มันก็ไม่ธรรมดาดิ ไม่ใช่แค่พาวิ่งจบระยะฟูลธรรมดา แต่คว้าแชมป์มาแล้วด้วย
ข้อมูลที่เจอเพิ่มบอกว่า น้ำหนัก ๒๑๕ กรัม ตอนนั้นอ่านแล้วคิดในว่า แม่งโม้หรือเปล่า น้ำหนักแค่นี้นี่ถือว่าโคตรเบาเลยนะ แล้วอีกเรื่องที่เพิ่มความน่าสนใจให้สูงขึ้นไปอีกคือ ราคา
คู่ละสองพันนิด ๆ เอง!!!
ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจว่า เอาวะ ไปลองใส่ดู ถ้าไม่เลวร้ายก็ซื้อมาลองดู ขำ ๆ ถ้าไม่เวิร์กก็ไม่เสียดายมาก แต่ถ้าเวิร์กนี่มีเฮเลยนะ
ไปเจอที่ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า มีสีเหลืองที่อยากได้ด้วย จริง ๆ ตอนนั้นมีรุ่นใหม่ออกมาแล้ว ชื่อว่า Pan Predator Ace แต่ว่าไม่รู้ไง ก็เลยลองแต่รุ่นนี้ แล้วอีกอย่างชอบสีของรุ่นนี้ด้วย รุ่น Ace มันสีทูโทน มันไม่โดน
ความรู้สึกแรกที่ลองคือ มันเบาจริงว่ะ เบาแบบเบาเลย วัสดุที่ทำตัว upper จะโปร่ง ๆ หน่อย ตัวพื้น outsole เป็นยางสีดำ ไม่รู้ทนแค่ไหน แต่ก็หนาประมาณนึงนะ ลองสวมดูแล้ววิ่งเหยาะ ๆ กลับไปกลับมาอยู่ในซูเปอร์สปอร์ตหลายรอบ เฮ้ย ก็โอเคนะ ไม่ได้เด้งแบบเด้งมาก แล้วก็ไม่ได้นุ่มจนยวบ กลาง ๆ ทั่วไป ตอนนั้นซูเปอร์สปอร์ตมีเซลพอดี ได้ลด ๒๐% เหลือ ๑,๘๐๐ กว่า ๆ ก็เลยจัดสีเหลืองสดใสกลับมาหนึ่งคู่
Pan Predator Marathon ใส่มาในกล่องหน้าตาอย่างนี้แหละ
ช่วงสองสามวันแรกยังไม่มีโอกาสได้ใส่วิ่ง ก็เอาไปใส่เดินออกกำลังกายตอนเย็นเป็นเพื่อนคุณภรรยาไปก่อน ตอนนั้นเริ่มคิดแล้วว่า จะเวิร์กมั้ยวะ? เพราะรู้สึกว่าตอนที่เดินอยู่ตรง heel cup (ภาษาไทยเรียกอะไรไม่รู้ ขออภัยนะฮะ) มันจะดันเท้าไปข้างหน้า แล้วทำให้ปลายเท้าไปชนหน้ารองเท้า ทีแรกนึกว่าเป็นเพราะยังไม่ชิน แต่ลองเดินอยู่สองสามวันก็เป็นทุกวัน ถ้าดูที่รูปแรกข้างบนจะเห็นว่าตัวส้นมันเอียงมาข้างหน้านิดนึง คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุนี้แหละ
แกะกล่องออกมาใหม่ ๆ หมาด ๆ สีมันจะสดใสหน่อย
แล้วก็มาถึงวันที่ใส่วิ่งจริง ต้องบอกก่อนว่า คู่ก่อนหน้านี้ใส่ nike free flyknit ๔.๐ ปี ๒๐๑๕ (อ่าน รีวิว nike free flyknit ๔.๐ ปี ๒๐๑๕ และ รีวิวตอนวิ่งครบ ๓๗๐ โล) แล้วก็ไม่ใส่ถุงเท้า เพราะมันสบายมาก ตอนที่เอา Pan ไปลองก็ไม่ใส่ถุงเท้าเหมือนเดิม จะลองดูว่าจะโอเคมั้ย
outsole เป็นลวดลายแบบนี้ ยางยังใหม่กริ๊บอยู่เลย
ผลก็คือ โอเคมาก ด้านในรองเท้าไม่มีร่องรอยหรือวัสดุจากการผลิตมาขีดข่วนเท้าเรา (หรือว่าเป็นเพราะเท้าเรามันด้านจนไม่รู้สึกไปแล้ววะ?) ไม่มีปัญหาเรื่องเหงื่อ เพราะหน้าผ้าโปร่ง แม่งโปร่งมากจนแทบมองทะลุได้ ซึ่งก็ช่วยเรื่องการระบายอากาศ (แต่ปกติเราเป็นคนไม่มีปัญหาเรื่องเหงื่อที่เท้าเวลาวิ่งอยู่แล้วนะ)
พอมาใส่วิ่งแล้วความรู้สึกที่ว่า heel cup มันดันเท้าไปข้างหน้าก็ไม่เป็นแล้วนะ คงเป็นเพราะลักษณะการลงเท้าของการเดินกับการวิ่งมันไม่เหมือนกัน ส่วนเรื่องการรับแรงกระแทกก็ปกติทั่วไป เท่าที่ใส่วิ่งมา (ยังไม่เคยใส่วิ่งเกินระยะสิบกิโลฯ) ประมาณกิโลฯ ที่เจ็ดนี่จะเริ่มรู้สึกที่ฝ่าเท้าหน่อย ๆ อันนี้ต้องบอกก่อนว่าอาจเป็นเพราะเราเองยังซ้อมไม่ถึงก็ได้ เพราะเห็นในกลุ่มวิ่งใน fb มีหลายคนมาบอกว่าเอาไปลงงานวิ่งจบฮาล์ฟจบฟูลกันมาแล้ว
ทีแรกตั้งใจจะเขียนรีวิวนี้ตั้งแต่ที่ใส่วิ่งใหม่ ๆ แต่ด้วยความสงสัยว่า ยาง outsole ของรุ่นนี้ทนแค่ไหน ก็เลยรอจนใช้สักระยะนึงก่อน นี่ใส่วิ่งมา ๓๐๐ กิโลฯ แล้ว คิดว่าน่าจะพอเห็นภาพได้ ลักษณะการใช้งานจะวิ่งบนถนนในหมู่บ้านที่เป็นคอนกรีตอย่างเดียว ไม่เคยใส่ไปวิ่งที่อื่น การสึกหรอของ outsole ก็ตามภาพประกอบนะฮะ สำหรับผมถือว่าใช้ได้ ส่วนความหม่นหมองของสีเหลืองที่เคยสดใสอันนี้ก็ตามสภาพ ไม่เคยซัก ไม่เคยทำความสะอาดอะไรครับ
อัปเดต : ดูสภาพรองเท้าคู่นี้หลังใช้งานมา ๗๔๒ โล ได้ที่โพสต์นี้ครับ สภาพรองเท้าวิ่ง Pan Predator Marathon ระยะ ๗๔๒ โล
สภาพส้นเท้าข้างขวาหลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ
สภาพพื้น หน้าเท้าข้างขวาหลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ
สภาพส้นเท้าข้างซ้ายหลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ
สภาพพื้น หน้าเท้าข้างซ้ายหลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ จะเห็นว่าสึกไปนิดนึง
สภาพข้างขวาหลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ มันก็จะเยิน ๆ หน่อย
สภาพข้างขวา (ด้านใน) หลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ
ช่วงหลัง ๆ เห็นคนมาโพสต์มาคอมเมนต์ถึงรองเท้ารุ่นนี้กันเยอะ ทำให้รู้ว่ามีคนใช้กันอยู่ไม่น้อยเลย ถ้า Pan ทำการตลาดดี ๆ ก็น่าจะไปได้อีกไกล นี่ล่าสุดเห็นมีออกรุ่นพิเศษ Bangkok Marathon 2017 เป็นลิมิเต็ด เอดิชั่น มีแค่ ๒๑๗ คู่ ก็ขายได้หมดนะ
ถ้าจะสรุปข้อดีข้อด้อยของ Pan Predator Marathon จากที่ใส่วิ่งมากว่า ๓๐๐ กิโลฯ ขอบอกว่า ข้อดีคือ
- เบา
- หน้ากว้าง ไม่บีบเท้า
- วัสดุที่ทำตัวรองเท้าโปร่ง ระบายอากาศดี
- พื้นยาง outsole ทนใช้ได้
- ข้อสุดท้ายที่เด่นมากคือ ราคา เป็นมิตรกับกระเป๋าตังค์มวลมหาชนมาก 5555
ส่วนข้อด้อย จริง ๆ จะเรียกข้อด้อยก็ไม่ตรงเสียทีเดียว เอาเป็นว่า สิ่งที่ไม่ถูกใจดีกว่า
- ลิ้นรองเท้าหนาไปนิดนึง เวลาผูกเชือกแน่น ๆ แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ถ้าบางลงสักนิดจะดีมาก
- ข้อนี้ไม่เจอเอง แต่เห็นในเพจวิ่งมีคนมาคอมเมนต์หลายคน คือ เชือกผูกแล้วไม่ค่อยแน่น แต่พอผูกสองทบแล้วก็ไม่มีปัญหา
ใครที่หารองเท้าวิ่งคู่ใหม่อยู่อยากให้ไปลอง ชอบไม่ชอบก็ค่อยว่ากัน ลองดูนะครับ
หมายเหตุ เห็นมีคนคอมเมนต์กันว่า Pan Predator Marathon นี่หน้าตายังกะพี่น้องฝาแฝดกับ asics tarther japan กันเลย ก็เลยหารูปมาให้ดูเทียบกับรูปด้านบน (ขอบคุณรูปจากร้าน monster run นะครับ) เหมือนไม่เหมือนยังไงสรุปกันเอาเอง ฮ่า…
หมายเหตุสอง ต้องบอกก่อนว่าถึงคุณภาพมันจะคุ้มเกินราคา แต่มันก็เท่าที่รองเท้าราคาสองพันกว่าจะทำได้นะ ไม่อยากให้คาดหวังเกินจริง เอาไปเทียบกับพวก nike zoom fly ที่มีแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์อยู่ข้างใน หรือ ultraboost ที่โฟมเด้ง ๆ หรือรองเท้าของขาแรงอย่าง newton เพราะถ้าได้ขนาดนั้นพวกรองเท้าที่ราคาห้าพันหกพันอัปมันจะอยู่ยังไง ใช่มะ…
หมายเหตุสาม (ทำไมเยอะจังวะ?) เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายนที่ผ่านมา นักวิ่งชาวเคนยาสวมรองเท้า Pan Predator Ace (แต่ไม่ใช่รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ที่ว่านะครับ) เข้าที่หนึ่งในงานวิ่ง Bangkok Marathon 2017 ด้วยเวลา ๒:๒๘ ชั่วโมง ครับ #แม่งวิ่งหรือบินวะ
แกะกล่องใช้งาน ที่บดกาแฟ Hario Ceramic จากญี่ปุ่น
เมื่อเดือนที่แล้วมีเพื่อนรุ่นน้องที่รู้จักคุ้นเคยกันดีโพสต์ขึ้น facebook ประกาศขายที่บดกาแฟ ผมเองเป็นคนกินกาแฟอยู่บ้าง (ขอใช้คำว่า กิน นะฮะ ใช้ ดื่ม แล้วมันไม่เข้าปาก) ก็เคยได้ยินได้ผ่านตามาว่า จะชงกาแฟให้รสดีนอกจากเรื่องเมล็ดกาแฟ การคั่ว การชงอะไรแล้ว การบดแล้วชงเลยก็มีส่วน ประมาณว่า กลิ่นและรสชาติยังเข้มข้นสมบูรณ์เต็มที่อะไรงี้
ก็เลยถามน้องเค้าไปว่า มันปรับบดหยาบบดละเอียดได้มั้ยวะ คุณภาพมันโอเคมั้ย? อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่พึงกระทำนะเด็ก ๆ น้อง ๆ หนู ๆ การที่ไปถามคนขายว่าของที่เขาเอามาขายมันดีมั้ยเนี่ย ใครมันจะบ้าตอบว่า ของไม่ดีพี่ อย่าซื้อเลย ใช่มั้ยฮะ แต่พอดีว่าน้องคนนี้คุ้นเคยกันอย่างที่บอกไง เชื่อใจกันได้ ก็เลยถามกันตรง ๆ น้องมันก็ว่า ดีพี่ ปรับหยาบละเอียดได้พี่ เป็นเซรามิกด้วยพี่ ปกติเราก็หาข้อมูลจากเน็ตประกอบอยู่บ้าง ดูรีวิวบ้าง อะไรบ้าง เพราะยังไม่รู้ว่าเป็นเซรามิกแล้วมันยังไงวะ แต่วันนั้นงานยุ่ง ๆ แล้วเชื่อใจกัน ราคาก็ซื้อได้ ก็เลยปิดดีล บอก เออ พี่เอา แล้วพอดีจะมีนัดคุยงานกันอยู่แล้วก็นัดมาส่งมอบวันนั้น ไม่ต้องใช้บริการไปรษณีย์ไทยให้ลำบากพี่ ๆ บุรุษไปรษณีย์เค้า
พอได้มาหน้าตากล่องก็ตามภาพด้านบนนะฮะ ก่อนแกะกล่องคิดในใจว่า นี่กูหาเรื่องวุ่นวายให้ตัวเองหรือเปล่าเนี่ย ชงกินธรรมดาก็น่าจะพอแล้วมั้ย แต่ก็เอาวะ ซื้อมาแล้ว แกะกล่องมาดู ชิ_หาย มีอะไรหลายชิ้นไปหมด กูจะประกอบได้มั้ย คู่มือมีมั้ยวะ รื้อ ๆ ดู เจอคู่มือ ดูเผิน ๆ ภาษาญี่ปุ่นนี่เด้งมาแต่ไกลเลย พอดูดี ๆ เออ มีภาษาอังกฤษด้วย น่าจะรอด
กางคู่มือออกดู (หน้าตาเป็นตามภาพ) มีบอกวิธีประกอบ วิธีใช้งาน ข้อควรระวัง การปรับบดหยาบบดละเอียด ไปจนถึงว่าการชงด้วยวิธีไหนควรใช้หยาบละเอียดแค่ไหนด้วย นับว่าเป็นคู่มือที่ดีงามมาก แต่ถ้าจะชมทุกอย่างเดี๋ยวจะว่าอวย ชวนให้สงสัยว่ารับเงินมาหรือเปล่า ต้องมีเรื่องติกันบ้าง มันจะเป็นคู่มือที่ดีกว่านี้ถ้ามีภาษาไทยนะฮะ 5555
พอประกอบเสร็จ เอ๊ะ ทำไมมีญี่ปุ่นทำเกินด้วยวะ ไม่เป็นไร ช่างมัน เดี๋ยวค่อยมาดู ด้วยความเห่อ มันต้องลองเลยอย่าไปเสียเวลา เอากาแฟที่ซื้อน้องเค้ามาด้วยกันนั่นแหละ จะชงแบบเฟรนช์ เพรส มันต้องบดแค่ไหน อย่าให้ละเอียดมากใช่มั้ย เดี๋ยวผงมันลอดออกมาได้ งั้นปรับให้หยาบหน่อย
กาแฟแก้วแรกที่ได้สุดยอดเลยครับ น้ำตาแทบไหล บดมาหยาบไป ชงออกมาแล้วหยั่งกะน้ำล้างแก้วกาแฟที่เขาประชดกัน เราก็ เอ๊ะ เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เอามาชงดริปต่อ ด้วยความไม่แน่ใจ โอ้โห แก้วเดียวไม่พอ เจอน้ำล้างแก้วไปสอง หายโง่เลยทีนี้ ตั้งค่าให้บดละเอียดสุดเอาชัวร์ไว้ก่อน ลองชงใหม่ เอออออออ มันต้องอย่างนี้ กูนี่โง่เอง
อันนี้หายโง่แล้ว ปรับให้บดละเอียดแล้วนะฮะ
หลังจากที่ชงได้สบายใจแล้วว่าไม่เสียเงินฟรี ทีนี้ก็มานั่งดูรายละเอียดในคู่มือนะฮะว่ามีอะไรอีกบ้าง อย่างแรกเลย คู่มือบอกว่า แกะออกมาล้างได้ไม่ต้องกลัวจะเป็นสนิม เพราะตัวบดทำด้วยเซรามิก เราก็ อ๋อ มิน่า ทำไมถึงต้องบอกตั้งแต่บนกล่องว่า ฉันเป็นที่บดเซรามิกนะจ๊ะ
แล้วก็มาดูชิ้นส่วนที่ญี่ปุ่นทำเกิน ไหนบอกว่าเป็นชาติพัฒนาแล้ว กะอีแค่ที่บดกาแฟยังมีใส่ชิ้นส่วนมาเกินด้วย พอมานั่งดูดี ๆ นี่ต้องถอนความคิด (เพราะยังไม่ได้พูด) เขาคิดมาละเอียดรอบคอบมากนะฮะ ชิ้นแรกคือ ยางรองขวด ใส่เพื่อกันลื่น พอใส่เข้าไปปั๊บ นี่หนึบเลย ช่วยไม่ให้เลื่อนไหลตกโต๊ะได้ง่าย ๆ
ชิ้นต่อมาเป็นฝาปิดขวด ชิ้นนี้มีไว้ตอนที่บดกาแฟแล้วใช้ไม่หมด ยังมีเหลืออยู่ เราก็เอาฝาชิ้นที่เป็นตัวบดออกแล้วเอาฝาชิ้นนี้มาปิดแทน กันอากาศกับความชื้นเข้าได้ เอ๊ะ นี่ใช้ได้นะ
ชิ้นสุดท้าย อันนี้ดูทีแรกก็ เอ๊ะ มึงจะทำมาทำไมเนี่ย แต่พอดูการใช้งานแล้วก็ เออ เขาก็คิดมาดีนะ มันเป็นฝาเอาไว้ปิดชิ้นส่วนที่เป็นตัวบดอีกที กันไม่ให้ฝุ่นหรืออะไรตกลงไปในระหว่างที่ไม่ได้ใช้งานงี้
จากที่ใช้งานมาประมาณเกือบเดือนต้องบอกว่า โอเคนะครับ ใช้งานได้ดี ไม่มีปัญหาอะไร พอใจมากครับ
รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 หลังวิ่งรวม ๓๗๐ กิโลฯ
ตามที่ได้เคยเล่าไปก่อนหน้านี้นะครับว่า ผมซื้อรองเท้าวิ่งรุ่นนี้มาใช้ Nike Free 4.0 Flyknit 2015 และก็ได้เขียนรีวิวแบบบ้าน ๆ เอาไว้หลังจากที่ได้ทดลองใช้วิ่งมาสองสามครั้ง [อ่านได้ที่นี่ครับ รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 (แบบบ้าน ๆ)]เวลาผ่านล่วงเลยมาจนตอนนี้ใช้วิ่งไปแล้วรวมระยะ ๓๗๐ กิโลเมตร สภาพรองเท้าจะเป็นยังไงบ้าง? และความเห็นต่อรองเท้ารุ่นนี้จะเป็นยังไง?
หมายเหตุเอาไว้ก่อนว่า ความรู้เรื่องรองเท้าและการวิ่งของผมมีจำกัดมาก ก่อนหน้านี้รู้เท่าไหร่ ตอนนี้รู้เท่าเดิม 5555 เพราะฉะนั้นการรีวิวครั้งนี้ก็จะไม่ได้พูดถึงรายละเอียดลงลึกอะไร แต่จะมาเล่าความรู้สึกของการใช้งานให้ฟัง เรียกว่า เป็นการรีวิวแบบบ้าน ๆ ครั้งที่สอง นะครับ
ดูสภาพรวม ๆ ก่อน จะเห็นว่ารองเท้ายังอยู่ในสภาพดี โดยเฉพาะตัวอัปเปอร์ที่เป็น flyknit ไม่มีขาดหรือหลุดลุ่ยให้เห็น หลังจากที่ซื้อมาแล้ว เอามาวิ่งแล้วถึงได้มาเจอข้อมูลว่า ไอ้ลายเส้น ๆ เป็นก้างปลาที่เห็นอยู่นั่นน่ะ ไม่ได้ทำมาแค่ให้ดูสวย ๆ อย่างเดียวนะ มันทำมาเพื่อช่วยซัปพอร์ตเท้าในตอนที่วิ่งด้วยนะเอ้อ
ความรู้สึกขณะใส่วิ่งคู่นี้ขอบอกว่าชอบมาก flyknit มันดีอย่างที่ nike มันโม้จริง ๆ นะ ยืดหยุ่นได้ดี ไม่บีบเท้า วิ่งแล้วไม่เป็นแผล (เอ๊ะ หรือว่ายังวิ่งระยะไม่ไกลพอ อันนี้ติดค้างไว้ก่อน ถ้าวิ่งระยะเกินสิบกิโลฯ เมื่อไหร่ มาดูกันอีกที) แถมระบายอากาศได้ดี ไม่รู้สึกเรื่องเหงื่อมากวนใจ ทั้งที่วิ่งแบบไม่ใส่ถุงเท้า เออ พูดถึงเรื่องนี้ ตอนที่ดูข้อมูลก็เห็น nike คุยว่า รองเท้ารุ่นนี้นะเนื่องจากวัสดุเป็น flyknit อย่างที่ว่า จุดเด่นก็คือ มันจะกระชับเท้า กระชับประมาณว่า พอวิ่งไปนี่แทบลืมไปเลยว่าใส่รองเท้าอยู่ (นี่มึงโม้รึเปล่า?) แล้วก็สามารถใส่วิ่งได้โดยที่ไม่ต้องใส่ถุงเท้า เพราะตัวรองเท้ามันเป็นวัสดุที่ถัก (หรือทอวะ?) ขึ้นมาชิ้นเดียวเลย มีรอยเย็บอยู่แค่ที่เดียว ไม่ระคายเคืองทีนแน่นอน ประมาณนั้น
ตอนที่ซื้อมาทีแรกก็ไม่แน่ใจไง กูเอาเคยชินไว้ก่อน ใส่ถุงเท้าวิ่งตามปกติ พอวิ่งได้สักพักก็อยากลองของ ไหนดูซิ ที่มึงโม้ไว้มันจะจริงมั้ย เลยลองไม่ใส่ถุงเท้าดู เฮ้ย ได้จริงเว้ย!! ไม่รู้สึกสักนิด ไม่มีเศษด้าย หรือเศษอะไรจากการผลิตที่เก็บงานไม่เนี้ยบมาทำให้ไม่สบายเท้าเลย (ยกเว้นเรื่องนึง เดี๋ยวเล่าต่อไป) ก็เลยวิ่งแบบไม่ใส่ถุงเท้าดูพักใหญ่ ๆ แล้วเพื่อความแน่ใจว่า เอ๊ะ นี่กูไม่ได้คิดเข้าข้าง nike ไปเองใช่มั้ย ก็ลองกลับมาใส่ถุงเท้าวิ่ง พบว่า ไม่เวิร์กครับ กลายเป็นอึดอัด ไม่ถนัดซะงั้น สรุปว่า กลับมาเป็นนักวิ่งไร้ถุงเท้ามาจนถึงวันนี้
ถ้าพูดถึงความรู้สึกต่อ flyknit หลังจากที่ใช้มาสามร้อยกว่ากิโลฯ นี่ ต้องบอกว่า น่าจะเป็นวัสดุตัวอัปเปอร์ที่ชอบที่สุดตั้งแต่เริ่มวิ่งมา (จะบอกว่าดีที่สุดก็ไม่ได้นะ เพราะรสนิยมใครรสนิยมมัน เอาเป็นว่าใช้คำว่า ชอบที่สุด ละกัน) เมื่อตอนปลายปีไปลองใส่ primeknit ของ adidas (แต่ยังไม่ได้ลองใส่วิ่งจริงนะฮะ แค่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในร้านให้ชาวบ้านรำคาญเล่น) รู้สึกว่ามันไม่ยืดหยุ่นเท่านะ แล้วดูเหมือนจะระบายอากาศได้ไม่เท่า flyknit ดูมันแน่น ๆ หนา ๆ เกินไปนิดนึง
พื้นรองเท้าข้างซ้าย หลังใช้วิ่งมาแล้ว ๓๗๐ กิโลเมตร
พื้นรองเท้าข้างขวา หลังใช้วิ่งมาแล้ว ๓๗๐ กิโลเมตร
มาดูพื้นรองเท้ากันบ้าง พื้นรองเท้าเป็นวัสดุอะไรก็ไม่รู้ ใครอยากรู้ไปเสิร์ชเอานะ 5555 แต่ที่ให้ดูคือ จะเห็นว่ามีร่องรอยสึกจากการใช้งานไปแล้ว เท่าที่ดูก็ยังไม่เยอะนะ น่าจะใช้ได้อีกสักพัก (นี่พยายามหักห้ามใจอยู่ เมื่อตอนปลายปีแต่ละร้านแต่ละแบรนด์เอามาจัดโปรฯ ลดราคากันกระหน่ำมาก แถมรัฐบาลท่านยังช่วยให้เอาใบเสร็จไปลดภาษีได้อีก เล่นเอาเกือบตบะแตก) แต่ดูรอยสึกแล้วที่ดีใจเป็นการส่วนตัวคือ มันไปสึกบริเวณกลางเท้ามากกว่าตรงส้น แสดงว่าที่พยายามฝึกวิ่งให้เอากลางเท้าลงพื้น (midfoot strike) มันได้ผลเว้ย ตอนคู่ที่แล้วรอยสึกตรงส้นยังเยอะกว่าตรงกลางเท้า พอมาใช้คู่นี้เลยพยายามฝึกเอากลางเท้าลงพื้นมากขึ้น ถ้าดูแบบนี้ก็น่าจะได้ผลนะ อ้อ ผมวิ่งบนถนนคอนกรีต (อ่านว่า คอน-กรีด ไม่ใช่ คอ-นก-รีด นะ) อย่างเดียวนะครับ ไม่ได้ไปสมบุกสมบันวิ่งเทรลที่ไหน
ตัว label ของแผ่นรองเท้ามันโผล่มาแบบนี้ทั้งสองข้าง
ทีนี้มาถึงเรื่องที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่า มีประเด็นตะหงิด ๆ อยู่นิดนึง อันนี้ไม่เข้าใจ nike เหมือนกันว่า อุตส่าห์คิด flyknit มาให้ใส่สบาย วิ่งโดยไม่ต้องใส่ถุงเท้าได้แล้ว แต่ทำไมมันดันทำตัว label ของแผ่นรองเท้าให้ยื่นขึ้นมาแบบนี้ (ดูรูปด้านบนนะฮะ) กลายเป็นว่า ตัวรองเท้าน่ะไม่มีปัญหา จะมีปัญหาก็อี label นี่แหละ ที่มากวนใจ แต่ก็ยังดีที่ปัญหานี้แก้ไม่ยาก พับมันลงไปอยู่ด้านล่างแล้ววางแผ่นรองเท้าเข้าไปในรองเท้าขยับ ๆ นิดนึงก็เรียบร้อย แบบรูปด้านล่าง
ไม่ได้ตัด label ออกนะ แต่ยัดมันลงไปด้านล่างแทน
ภาพสุดท้ายนี่ให้ดูสภาพของแผ่นรองเท้านะครับ เป็นวัสดุอะไรไม่รู้ ช่างมันเถอะ ไม่ได้เอาไปสอบที่ไหน แต่ให้ดูสภาพที่ผ่านการใช้งานแบบไม่ใส่ถุงเท้ามา รอยเปื้อนมีประมาณนี้ นี่ยังไม่ได้หาข้อมูลว่าจะซักหรือล้างทำความสะอาดได้มั้ย แต่คิดว่าน่าจะได้นะฮะ
สรุป หลังจากใช้มาแล้วไม่ผิดหวังเลยที่ซื้อมา ชอบตัว flyknit มาก เรียกว่า ถ้ามีรุ่นไหนที่มีวัสดุให้เลือกสองแบบ flyknit กับอย่างอื่น ขอเลือก flyknit ก่อนเลย เพิ่มเงินก็โอเคนะ ชอบรองเท้าวิ่งรุ่นนี้มาก มากขนาดไหน? ขนาดที่ว่า ไปหาซื้อมาสำรองไว้อีกคู่นะ แต่ไม่มีขายแล้ว เพราะมันเปลี่ยนเป็นรุ่น free rn ไปแล้ว เมื่อตอนปลายปีที่ร้านโน้นร้านนี้เอามาเซลส์ก็พยายามดูว่ายังมีรุ่นนี้อยู่มั้ย สรุปไม่มี นี่เดี๋ยวถ้าถึงเวลาต้องซื้อคู่ใหม่ ต้องมานั่งหาข้อมูลกันอีกทีว่าจะเอาคู่ไหนดี
รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 (แบบบ้าน ๆ)
ตามที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเพิ่งซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่เป็น nike free 4.0 flyknit 2015 มา (อ่านได้จากโพสต์นี้นะ มาวิ่งกันเถอะ) หลังจากใช้วิ่งมาแล้วสามครั้ง วันนี้จะมาเล่าให้ฟังเผื่อเป็นข้อมูลประกอบสำหรับคนที่สนใจนะฮะ
ออกตัวก่อนว่า ที่จั่วหัวว่าเป็นรีวิว จริง ๆ คงไม่ใช่ เพราะไม่ได้เชี่ยวในเรื่องอะไรเลย รองเท้าวิ่งนี่ก็เหมือนกัน หลักการและเหตุผลรองรับทางวิทยาศาสตร์อะไรก็ไม่มี เอาเป็นว่ามาเล่าให้ฟังว่าใช้แล้วรู้สึกยังไงจะตรงกว่า
(update: อ่านรีวิวหลังจากใช้วิ่งมา ๓๗๐ กิโลเมตร ได้ที่นี่ครับ รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 หลังวิ่งรวม ๓๗๐ กิโลฯ)
เอาตรงที่มาก่อน nike ออกแบบรองเท้ารุ่น free มาเพื่อจับกลุ่มนักวิ่งที่อยากได้ฟีลในการวิ่งแบบเท้าเปล่า (barefoot) ซึ่งเป็นกระแสที่มาแรงมากเมื่อสักห้าหกปีก่อน กระแสที่ว่านี้เริ่มมาจากหนังสือเล่มเดียวเลย คือ Born to Run เขียนโดยคุณพี่ Christopher McDougall (ชื่อหนังสือเต็ม ๆ ยาวกว่านี้ ถ้าใครสนใจลองเสิร์ชดูนะฮะ ใส่ชื่อหนังสือกับชื่อคนเขียนไปแค่นี้ เจอแน่นอน) คอนเซ็ปต์ไอเดียของหนังสือเล่มนี้ก็คือ จริง ๆ แล้ว มนุษย์เราเกิดมาเพื่อวิ่งเท้าเปล่า หรือมีรองเท้าบาง ๆ รองฝ่าเท้าก็พอแล้ว
แต่พออุตสาหกรรมรองเท้าวิ่งยุคใหม่เริ่มถือกำเนิดขึ้น (อันนี้เขาบอกว่าประมาณปี ๒๕๑๕) ก็เริ่มมีการพัฒนาพื้นรองเท้าให้รองรับแรงกระแทกโน่นนี่นั่น มีการหนุนพื้นให้หนาขึ้น แต่กลายเป็นว่ามีนักวิ่งจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง คุณพี่แมกดูกัลล์ก็เป็นหนึ่งในนั้นและเมื่อศึกษามากเข้าก็ลงความเห็นว่า เป็นเพราะรองเท้าวิ่งนี่เอง ที่มันฝืนธรรมชาติของเท้าและการวิ่งตามธรรมชาติของคน
พอเป็นอย่างนี้ก็เลยเกิดเป็นกระแส (หรือบางคนก็เรียกว่าเป็นลัทธิ) หันมาใช้รองเท้าที่พื้นไม่หนามาก วัสดุไม่เยอะ นัยว่าเพื่อให้เท้าเป็นอิสระและเป็นธรรมชาติมากที่สุด (ถ้าไปเจอในบางเว็บว่า minimalist shoes เขาหมายถึงรองเท้าแบบนี้นี่แหละ) หรือบางคนแม่มก็เอ็กซ์ตรีมสุดขั้ว วิ่งตีนเปล่ากันเลยก็มี อันนี้ว่ากันตามถนัด แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนออกมาเตือน ๆ ว่า รองเท้าแบบนี้อาจทำให้เท้าบาดเจ็บได้ เพราะการห่อหุ้มและปกป้องเท้ามีน้อย เพราะฉะนั้นใครที่จะมาทางนี้จึงควรที่จะค่อย ๆ ปรับ ไม่ใช่พรวดพราดเปลี่ยนมาเลย
ทาง nike เองก็เตือนเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเหมือนกัน โดยในกล่องรองเท้ารุ่นนี้เมื่อเปิดฝาออกมาจะเจอสติกเกอร์คำเตือนแปะเอาไว้ที่ฝากล่องด้านใน (ขอไม่แปลนะฮะ)
ลงให้ดูทั้ง ๓ ภาษา ใครถนัดภาษาไหนเชิญตามสะดวก
รุ่นนี้ตัววัสดุด้านบนของรองเท้าทำจากเส้นใยที่ถักขึ้นรูปขึ้นมา (คือ flyknit) เท่าที่ดูคิดว่าน่าจะเป็นชิ้นเดียวเลย น้ำหนักเบา กระชับเท้า นุ่มและระบายได้ดี (nike บอกว่ารุ่นนี้จะวิ่งแบบไม่ใส่ถุงเท้าก็ได้นะ) เท่าที่ลองดึง ๆ ดู จะยืดหยุ่นได้นิดหน่อย ยกเว้นบริเวณสีดำที่เป็นรู ๆ ตรงหน้าเท้า ตรงนั้นจะยืดได้เยอะกว่าบริเวณอื่น
ดูกันชัด ๆ กับวัสดุที่เรียกว่า flyknit ยืดได้นิดหน่อย ยกเว้นส่วนที่สีดำนั่นยืดได้เยอะกว่า
รุ่นนี้ถ้าเทียบกับคู่เดิม (new balance minimus road 10V2) ช่วงหน้าเท้าจะแคบกว่าคู่เดิม ก่อนใส่ก็กังวลนิด ๆ ว่าจะอึดอัดมั้ย พอใส่จริงรู้สึกกระชับดี แล้วก็ไม่อึดอัดนะ อันนี้คิดว่าเป็นผลมาจากอี flyknit นี่แหละที่ยืดหยุ่นได้นิดนึง อีกเรื่องที่แปลกใจก็คือ ของคู่เดิมใส่เบอร์ ๑๑ US แต่คู่นี้แค่เบอร์ ๑๐.๕ เพราะฉะนั้นใครที่สนใจก่อนซื้ออาจจะต้องลองกันให้ดีก่อน ไม่งั้นไซส์อาจไม่พอดี
คู่นี้ตอนที่ลองมีสิ่งที่ไม่ชินนิดหน่อย (ตอนนี้ก็ยังไม่ชิน) คือ รู้สึกว่าบริเวณช่วงกลางฝ่าเท้ามีอะไรมาหนุนอยู่นิดนึง ที่รู้สึกอย่างนี้ก็เพราะพื้นรองเท้าคู่เดิมมันบางมาก เหมือนไม่ค่อยมีอะไรหนุนฝ่าเท้าเท่าไหร่ คู่นี้จะมีมากกว่า
ทีนี้ก็มาถึงตอนวิ่งจริง ซื้อมาวันเสาร์ ใส่วิ่งครั้งแรกเช้าวันอาทิตย์ วิ่งกิโลฯ แรกเวลาออกมาตกใจเลย ๕.๒๖ นาที นี่ไม่รู้ว่าเพราะหยุดวิ่งมาหลายวัน กลับมาวิ่งเลยกะจังหวะไม่ถูก หรือเพราะเห่อรองเท้าใหม่เลยกดซะ หรือว่าเป็นผลมาจากตัวรองเท้าเอง แต่ทำเวลาเท่านี้ไม่ได้มาตั้งนานแล้ว ตอนเกือบสองปีก่อนที่ยังวิ่งเยอะ ๆ ยังได้เฉลี่ยอยู่ระหว่าง ๕.๓๕ ถึง ๕.๕๐ อยู่เลย แต่เอาล่ะ ได้เวลาเท่านี้ก็เป็นสัญญาณที่ดี พอวิ่งกิโลฯ ต่อมาก็เลยชะลอ ๆ หน่อย เพราะต้องคอยปรับท่าวิ่งเรื่องการลงเท้าด้วย
ต่อมาวันจันทร์ วิ่งเป็นครั้งที่สอง เวลากิโลฯ แรกออกมา เหยดดดดดดด ๕.๒๓ นาที อันนี้เริ่มคิดแล้ว เอ๊ะ เพราะกูยังไม่ชินรองเท้า เลยปรับจังหวะไม่ถูกหรือเปล่าวะ กิโลฯ ต่อมาก็เหมือนเมื่อวาน คือ ชะลอลง มาใส่ใจกับจังหวะการลงเท้ามากขึ้น เพราะยังไม่ค่อยชินดี
พักวันนึง วิ่งครั้งที่สามวันพุธ คราวนี้ถึงกับต้องร้อง เจ๊ดเข้!!! แม่มเกินไปละ เวลาออกมา ๕.๑๐ นาที เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย พี่ไม่เชื่อ แค่เปลี่ยนรองเท้า เวลาพี่ขยับขนาดนี้เลยเหรอ เรื่องนี้เล่าสู่กันฟังไว้ก่อน แต่ยังไม่ขอสรุป เดี๋ยวขอเก็บข้อมูลระยะยาวสักนิด รอให้ชินรองเท้าก่อน ได้ผลยังไงจะมาอัปเดตกันอีกที
แผ่นรองเท้าด้านใน (ถอดออกได้) เขียนไว้ชัดเจนว่าเป็น Barefoot Ride นะฮะ
สำหรับเรื่องความรู้สึกของการใช้งาน รู้สึกได้ชัดว่าเท้ามีอะไรรองรับมากขึ้น (เมื่อเทียบกับคู่เดิม) การปรับท่าวิ่งให้เอากลางเท้าลงรู้สึกว่าทำได้ง่ายกว่าคู่เดิม คู่นี้ถ้าดูข้อมูลน้ำหนักจะมากกว่าคู่เดิมนิดนึงแต่ตอนใช้งานจริงก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แล้วก็มีสิ่งที่ยังไม่ชินอย่างที่บอกไปแล้วคือ รู้สึกมีอะไรหนุนตรงช่วงกลางฝ่าเท้าอยู่ บอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี เอาเป็นว่าไม่ชินนะฮะ…
หมายเหตุ : แจ้งเอาไว้นิดนึงเผื่อใครสงสัย รองเท้าคู่นี้ซื้อเองด้วยเงินตัวเอง ไม่ได้ฟรี ไม่ได้ส่วนลดพิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น (สลิปบัตรเครดิตยังอยู่เลย) เพราะฉะนั้นไม่มีไทอินแน่นอนฮะ