เมื่อเก้าปีที่แล้วนิตยสาร BusinessWeek ไทยแลนด์ ทำเรื่องของมนุษย์เงินเดือนเป็น cover story ฉบับธันวาคม ๒๕๕๐ ด้วยประเด็น สัญญาณวิกฤติมนุษย์เงินเดือน เรื่องนี้ทีมงานเก็บข้อมูล สัมภาษณ์กันนานเป็นเดือนเลย ที่มาของเรื่องจากปกเล่มนี้มาจากการที่ทีมงานได้มีโอกาสคุยกับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งไทย ทั้งที่เป็นองค์กรไทยและต่างชาติ ผู้บริหารหลายคนคุยเปิดใจนอกรอบกับทีมงานว่า เขามีปัญหาด้านแรงงานไทยที่มีไม่พอกับความต้องการขยายตัวทางธุรกิจในเวลานั้น
พูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ แรงงานไทยที่มีคุณภาพมีไม่พอกับความต้องการ คุณภาพที่ว่านี่เอาแค่สามประเด็นหลักนะ มีอะไรมั่ง นี่เลย ทักษะด้านภาษาอังกฤษ ความชำนาญเชิงลึกในวิชาชีพ และทัศนคติที่เอื้อต่อการเติบโตในการทำงาน
ผู้บริหารที่เล่ามานี่แก้ปัญหาด้วยวิธีเดียวกันเกือบจะเป๊ะ ๆ เลยก็คือ จ้างพนักงานต่างชาติ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วก็อยากจะจ้างแรงงานไทยแต่จนใจที่หาไม่ได้
ที่เล่ามายืดยาวนี่เพื่อจะบอกว่า เมื่อเก้าปีที่แล้วแรงงานที่เป็นมนุษย์เงินเดือนของไทยเริ่มถูกแรงงานต่างชาติมาแย่งงานไปหนนึงแล้วนะ และตอนนี้เริ่มมีความรู้สึกเหมือนกับว่า กำลังมีสัญญาณวิกฤติมนุษย์เงินเดือนรอบสอง แต่คราวนี้คนที่มาแย่งงานแรงงานไทยไม่ใช่แรงงานต่างชาติ แต่เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะสามตัวนี้ ออนไลน์ โมบายล์ และที่สำคัญที่สุดคือ เอไอ (Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์)
ถ้าจะดูตัวอย่าง ไม่ต้องมองไปที่ไหนไกล เอาใกล้ตัวก่อนเลย ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ปีที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ นิตยสารเจอ Winter is coming เข้าไปหลายเล่ม ที่ยังอยู่ก็ไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว สาเหตุหลักก็เพราะคนอ่านเปลี่ยนพฤติกรรมไปอ่านข่าวอ่านบทความจากโลกออนไลน์แทน พอคนไม่อ่าน โฆษณาก็ไม่เข้า มันจะไปเหลืออะไร
เขยิบออกไปอีกนิด ธุรกิจธนาคาร เมื่อก่อนจะฝากจะถอนต้องไปที่สาขา หลายแบงก์มีสโลแกน จะฝากจะถอนเอาหมอนมาด้วย ลูกค้ารอไปสิ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้ว ใช้ออนไลน์แบงกิ้ง โมบายล์แบงกิ้ง สบาย พอเป็นหยั่งงี้มองไปวันข้างหน้าก็พอเห็นแนวโน้มว่าคนคงจะเข้าสาขาน้อยลง ถ้าติดตามข่าวกันบ้างอาจจะเห็นผ่านตามามั่งแล้วว่าบางธนาคารประกาศจะทยอยยุบสาขาลงแล้ว ซึ่งก็คิดต่อได้ไม่ยากว่าพนักงานจะเป็นยังไง
สองเคสที่ว่ามายังดูไม่ค่อยเท่าไหร่ เทคโนโลยีที่น่าจะส่งผลต่อแรงงานมากที่สุดน่าจะเป็น เอไอ นี่แหละ เอาง่าย ๆ ก่อนเลยที่เห็นได้ชัดมากตอนนี้คือ รถยนต์ไร้คนขับ ที่กำลังฮือฮาตื่นเต้นกันทั่วโลก (แต่เมืองไทยคงอีกพักใหญ่ ๆ นะ รอยุคไทยแลนด์ ๑๐.๐ นั่นแหละ) ถ้าอีกหน่อยรถยนต์ไร้คนขับพัฒนามาถึงจุดที่ใช้งานได้จริงในระดับแมส ก็ไม่ต้องมีคนขับแท๊กซี่แล้วใช่มะ กดแอปเรียกรถมารับ ส่งถึงที่หมาย วิ่งไปรับคนอื่นต่อ ไม่ต้องทนฟังคนขับบ่นเรื่องการจราจร เรื่องค่าเช่ารถ ไม่ต้องฟังเพลงที่เราไม่ชอบ แล้วก็ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่องการเมืองด้วย ใครจะไม่อยากใช้
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว จะซื้อรถทำไมให้สิ้นเปลือง คนซื้อรถน้อยลง ยอดขายรถน้อยลง บริษัทรถจะทำไงล่ะ?
เอาเคสจริงดีกว่า บริษัทประกันที่ญี่ปุ่นชื่อว่า Fukoku Mutual Life Insurance ประเดิมปีใหม่ด้วยการเอาระบบ IBM Watson Explorer มาใช้ในการพิจารณาการเคลมประกันของลูกค้า ลงทุนติดตั้งระบบไป ๑.๗ ล้านเหรียญ มีค่าเมนเทนแนนซ์อีกปีละแสนกว่าเหรียญ แต่ลดพนักงานที่เป็นคนตัวเป็น ๆ ไปได้ ๓๔ คน รวมเบ็ดเสร็จหักลบค่าระบบกับเงินเดือนพนักงานแค่ไม่ถึงสองปีก็คุ้มทุนแล้ว ข่าวบอกว่า นอกจาก Fukoku แล้วยังมีบริษัทประกันอีกสามแห่งที่กำลังทดสอบระบบเอไอเพื่อจะเอามาใช้งานด้วย
นี่แค่ตัวอย่างนะฮะ แล้วก็คงมีงานอีกหลายประเภทที่เอไอสามารถเข้ามาทำงานแทนที่มนุษย์ได้ อยู่ที่ว่าจะเป็นงานอะไรและเมื่อไหร่เท่านั้นเอง
ระหว่างนี้มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ คงต้องมานั่งคิดกันแล้วล่ะว่า จะทำยังไงให้เหนือกว่าเอไอให้ได้นะฮะ…