แปดเล่มแรกของเคโงะ

keigo books in Thai

อ่านเคโงะจบไปแปดเล่ม เรียงลำดับจากซ้ายไปขวา บนลงล่าง

ร้านชำฯ เป็นเล่มที่ฟีลกู้ดที่สุด

ส่วนแนวสืบสวนกลับชอบ พิษรักสั่งตาย มากกว่า กลลวงซ่อนตาย ที่เป็นเล่มโปรดของหลายคน เล่มนี้เปิดมารู้ตัวฆาตกรก่อนเลย แต่ฆ่ายังไงนี่แหละที่เป็นปัญหา

แต่จากแปดเล่มนี้ เล่มที่ติดอยู่ในหัวนานที่สุดคือ ความลับ อ่านจบแต่ความคิดไม่จบ สลัดออกจากหัวไม่ได้นานร่วมครึ่งเดือน

พล็อตไม่มีอะไรมาก เกิดอุบัติเหตุลูกสาวตาย เมียไปฟื้นในร่างลูกสาว แล้วพ่อกับลูก (ในสายตาคนนอก) หรือผัวกับเมีย (ในความเป็นจริง) ต้องใช้ชีวิตกันต่อ

จะต่อแบบพ่อลูกหรือผัวเมีย

ยังไงล่ะทีนี้… 🤔

อ่าน Jack Reacher จบสามเล่มล่ะ

JackReacher

ไม่ได้มารีวิว ไม่ได้มาป้ายยา มาบอกเฉย ๆ ใครใจแข็งก็รอดนะฮะ 😆

ก่อนหน้านี้ได้เคยอ่านนิยายที่คนเขียนเขียนออกมาหลายเล่มแต่ใช้ตัวเอกคนเดียวกันมาบ้าง

อ่านแล้วงงกันมั้ยอ่ะ ยกตัวอย่างเลยละกัน ก็อย่างเชอร์ล็อก โฮมส์ แจ๊ก ไรอัน (คนนี้ให้นึกถึง The Hunt for Red October ล่าตุลาแดง) เดิร์ก พิตต์ (คนนี้เหมือนอินเดียนาโจนส์ เวอร์ชั่นทะเล & มหาสมุทร) แล้วก็โรเบิร์ต แลงดอน (ตานี่ไม่ต้องอธิบายเนาะ)

แต่ไม่เคยอ่านแจ๊ก รีชเชอร์ เลย ทั้งที่ออกมาหลายสิบเล่มแล้ว จนมีคนเอามาขายในกรุ๊ปหนังสือมือสอง ราคาไม่แพงก็เลยซื้อมาลองดู

เริ่มจากเล่มแรก Personal อ่านจบก็ อือ ได้อยู่ แต่เหมือนยังไม่สุด ลอง Past Tense ต่ออีกเล่มละกันก่อนฟันธง เออ เฮ้ย พี่แจ๊กแม่งโหดว่ะ

ส่วน The Affair เล่มล่าสุดที่เพิ่งจบไป ถึงกับ เชี่ยยยยยยย มึงขนาดนี้เลยเหรอ อ่านจบเล่มนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมแฟน ๆ รีชเชอร์ถึงไม่โอเคเลยกับเวอร์ชั่นฮอลลีวูดที่เอาป๋าทอม ครุยส์ มาเป็นรีชเชอร์

แล้วก็เข้าใจล่ะว่าทำไมเวอร์ชั่นซีรีส์ของ amazon ถึงถูกใจแฟน ๆ กันขนาดนั้น

นี่กำลังจะขึ้นเล่มที่สี่ จบเล่มนี้ก็หมดสต็อก เป็นภาระต้องหามาอ่านต่ออีกกุ ไม่น่าหาเรื่องเลย… 😆🤣

(ดูคลิปตัวอย่างความมันและความโหดของพี่แจ๊กเวอร์ชั่นซีรีส์ได้ที่ลิ้งก์นี้นะฮะ https://youtu.be/4M5wx17klH4 ใครดูแล้วอดรีนาลีนไม่หลั่งนี่น่าจะใกล้บรรลุธรรมล่ะ 🙏)

รีวิวหนังสือ ความลับสุสานฉินซี

The Emperor's Tomb
ความลับสุสานฉินซี โดย Steve Berry

มาครับ คนกำลังฟิต จบจาก The Fifth Risk ก็หาเล่มใหม่มาอ่านต่อกันเลย คราวนี้อยากได้นิยายมาสลับฉากกันบ้าง เลือกไปเลือกมาได้เล่มนี้ครับ

ความลับสุสานฉินซี โดย Steve Berry

หนังสือเล่มนี้สรุปคร่าว ๆ ให้เห็นภาพ ให้นึกถึงอินเดียนา โจนส์ ในยุคปัจจุบัน ที่ไม่ใช้แส้แต่ใช้นามสกุล

ไม่ใช่! มึงอย่ามาตลก!! ใช้ปืนเว้ย พระเอกไม่ใช่คนจีน ไม่ต้องใช้แซ่

แล้วพ่อเทพบุตรก็ไปตามหาวัตถุโบราณ โบราณสถานที่โน่นที่นี่ ซึ่งบางทีก็ไม่ได้อยากไป แต่สถานการณ์มันพาไป

ผสมเข้ากับเจมส์ บอนด์ ที่เป็นสายลับ มีอเมริกา มีรัสเซีย มีจีน ปฏิบัติการข้ามประเทศ ข้ามทวีป บินไปบินมา เดี๋ยวอยู่เดนมาร์ก อีกแป๊บมาอยู่เบลเยียม มาโผล่ฮาลองเบย์ เวียดนาม แล้วไปลุยร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำในจีน ขนาดนั้น 5555

ยัง ยังไม่พอ เหยาะความเป็นโรเบิร์ต แลงดอน ของพี่แดน บราวน์ เข้าไปอีกหน่อย ให้เรื่องมันคลุมเครือ ๆ เอาไว้ ให้คนอ่านสงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ไต่ขอบระหว่างความจริงกับจินตนาการหรือการตีความของคนเขียนเอง

แล้วเติมองค์กรลับอายุหลายร้อยปีที่ไม่มีใครเคยรู้ว่าแม่งมีอยู่ในโลกใบนี้ แม่งลับจริง ๆ นะ 😆

เอาทุกอย่างปั่นรวมกัน แล้วโรยหน้าด้วยความอลังการของสุสานฉินซีเข้าไปอีกที

ประมาณนี้นะครับ ถ้าใครชอบเรื่องแนวนี้น่าจะชอบเลย และถ้าอ่านแล้วชอบก็จะบอกว่าพี่ Steve Berry เขียนเอาไว้หลายเล่ม โดยที่ใช้ตัวละครหลักชุดเดียวกัน แต่ไปผจญภัยในสถานที่ต่างกัน ทุกเรื่องอิงประวัติศาสตร์หรือบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ทั้งนั้นเลย นโปเลียนงี้ อเล็กซานเดอร์มหาราชงี้

อ่านสนุก ลุกนั่งสบาย คนตายเพียบครับพี่น้องครับ ❤️📚

รีวิวหนังสือ The Fifth Risk

the fifth risk
The Fifth Risk โดย Michael Lewis

มาครับ อ่านจบแล้วมาเล่าสู่กันฟัง

ครั้งนี้เป็นหนังสือ The Fifth Risk ของเฮีย Michael Lewis คนเขียน The Liar’s Poker The Blind Side The Big Short และอื่น ๆ อีกหลายเล่มนะครับ

หนังสือเล่มนี้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือเอาจริง ๆ ก็คือ ไม่ได้เกิดขึ้น หลังจากที่ Donald Trump ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี ๒๐๑๖ ดูเนื้อหาเผิน ๆ เป็นเรื่องการเมืองสหรัฐฯ และการบริหารราชการของสหรัฐฯ

ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่พี่ไม่สนใจ ไม่เคยสนใจและไม่เคยคิดจะอ่านเลย (ลำพังการเมืองบ้านกูก็เหนื่อยใจอยู่แล้วมั้ย ขอถอนหายใจแป๊บ) แต่ที่ซื้อเล่มนี้และยังลัดกองดองที่มีอยู่หลายร้อยเล่มหยิบมาอ่านก่อนก็เพราะคนเขียนอย่างเดียวเลย

จากประสบการณ์ที่อ่านงานของ Lewis มา ต้องบอกว่าเฮียแกสายตาคม มองสาวนี่มีสะท้าน

ไม่ใช่! มึงอย่ามาตลก!!

เอาใหม่นะ เฮียแกสายตาคม แกเลือกประเด็นที่ดูเหมือนธรรมดา ไม่มีอะไร ไม่น่าสนใจ ไม่น่าหยิบมาเขียน หรือหนักไปกว่านั้นก็คือ แม่งแค่ฟังก็น่าเบื่อแล้ว เขียนออกมาใครจะอ่าน แต่นั่นแหละคือทีเด็ดของเฮีย เรื่องที่ดูเหมือนไม่มีอะไรอย่างที่ว่า พอผ่านปลายปากกาเฮีย (จริง ๆ น่าจะเป็นคีย์บอร์ดนะ) ออกมาแม่งกลับน่าสนใจ น่าอ่าน แถมยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของประเด็นที่หยิบมาเล่าได้อีกด้วย

เฮีย Lewis เคยเล่าในการเสวนาครั้งนึงว่า นักเขียนเนี่ยเวลาไปไหนมาไหน ไปเจอใคร มักจะถูกซักว่ากำลังเขียนเรื่องอะไรอยู่ ถ้าปฏิเสธไม่ได้ก็จะบอกไปสั้น ๆ ซึ่งถ้าฟังแล้วดูน่าสนใจก็จะโดนซักให้เล่าต่ออีกและหลายคนจะไม่อยากเล่า เพราะพอเล่าไปแล้วมันเหมือนพลังในการเล่ามันถูกระบายออก เวลาไปนั่งเขียนงานก็จะไม่สามารถระเบิดฟอร์มขึ้นสุดยอดขึ้นมาได้ เพราะมันถูกระบายออกไปแล้ว เหมือนเอากระสุนจริงไปยิงสนามซ้อมหมดแล้ว ประมาณนั้น

แต่เฮีย Lewis บอกว่าแกไม่มีปัญหานี้เลย จะไปปาร์ตี้หรือดินเนอร์ที่ไหน เจอคนถามว่ากำลังเขียนเรื่องอะไร แกก็ตอบตามตรง เป็นเรื่องนักคณิตศาสตร์ที่เอาหลักสถิติมาบริหารทีมเบสบอล (Moneyball)

หรือเป็นเรื่องเด็กผิวดำยากจนที่ได้ทุนเรียนจากการเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล (The Blind Side) ซึ่งพอฟังแล้วคนในวงสนทนาก็จะอึ้ง แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น 555555

The Fifth Risk นี่ก็เหมือนกัน เฮีย Lewis เปิดขึ้นมาด้วยเหตุการณ์ที่ควรจะเกิดแต่ไม่เกิดขึ้นในสามกระทรวงหลักของสหรัฐฯ หลังจากที่ Trump ชนะการเลือกตั้ง นั่นก็คือการ (ไม่) ส่งทีมงานเข้ามาศึกษาและรับช่วงงานต่อจากรัฐบาล Obama ที่กำลังจะพ้นวาระไป

สามกระทรวงที่ว่าก็มี กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตร และกระทรวงพาณิชย์

จากจุดตั้งต้นตรงนี้ก็จะเป็นฝีมือและสไตล์ของเฮียเขาล่ะที่จะค่อย ๆ ขยายประเด็นให้เห็นภาพในระดับ macro (ที่ไม่ใช่ห้างค้าส่ง) ยิ่งขึ้น

เฮีย Lewis พาคนอ่านไปให้เห็นถึงบทบาท หน้าที่และความสำคัญของทั้งสามกระทรวง โดยเฉพาะในส่วนของความเสี่ยง (risk) ที่จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวอเมริกัน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะรู้ตัวหรือไม่ก็แล้วแต่ (แล้วแต่อะไรเหรอ แล้วแต่มึงเลยยยยยยยยย)

และนั่นคือที่มาของชื่อหนังสือ ส่วนว่าจะมี risk อะไรบ้างนั้น อันนี้ต้องตามไปอ่านกันเองนะฮะ 😊

ในขณะที่เล่าประเด็นนี้ เราก็จะได้พบกับข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ไม่มีชื่อเสียงและไม่เคยได้รับเครดิตใด ๆ จากงานที่ทำ ทั้ง ๆ ที่งานเหล่านั้นอาจส่งผลถึงความเป็นความตายของชีวิตคนจำนวนมาก

ในขณะเดียวกันก็จะได้เห็นด้านมืดของระบอบการเมืองที่ถูกทุนเข้าครอบงำ หรือเป็นไปในลักษณะผลประโยชน์ต่างตอบแทน (แบบถูกกฎหมาย)

เอ๊ะ เรื่องพวกนี้คุ้น ๆ มั้ย?

ตอนแรกที่หยิบเล่มนี้มาอ่านก็นึกว่าจะเป็นเรื่องการเมืองสหรัฐฯ และรัฐบาลสหรัฐฯ แต่พออ่านไป ๆ ภาพในหัวมันดันมีคลื่นแทรกกลายเป็นการเมืองและรัฐบาลประเทศนึงแทรกมาตลอดเวลา

ทำไมนะ

นี่ยังดีนะที่เนื้อหาในหนังสือเขียนถึงช่วงปี ๒๐๑๖ – ๒๐๑๗ ถ้าขยับมาอีกนิดเป็นช่วงโควิดนะมึงเอ๊ยยยยยยยยยย

พี่นี่ไม่นึกถึงหน้า Trump เลยล่ะ… เลิฟ เลิฟนะฮะ ❤️

ข้าราชการที่ดีนี่น่าเห็นใจนะ

ประโยคนี้แม่งใช่เลย แสดงว่าเป็นความรู้สึกร่วมในระดับสากล

ถึงพี่จะไม่เคยรับราชการและไม่เคยคิดจะรับราชการ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีคนในระบบราชการจำนวนไม่น้อยที่คอยผลักดันและสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นท่ามกลางข้อจำกัดต่าง ๆ ของระบบที่เป็นอยู่

และคนกลุ่มนี้ได้รับการรับรู้น้อยเกินไปจริง ๆ… 👍

The Fifth Risk page 111
The Fifth Risk หน้า ๑๑๑

สไตล์การปู การตบของ Michael Lewis

พี่ michael lewis แม่งเหนือชั้นว่ะ อ่านหน้านี้แล้วต้องขอโน้ตเก็บไว้หน่อย

นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน พี่ไม่มีทางอ่านหนังสือแล้วมาไฮไลต์มาโน้ตยังงี้แน่นอน… 😤.

The Fifth Risk page 97
The Fifth Risk หน้า ๙๗

หนังสือเล่มล่าสุด

หนังสือเล่มล่าสุดครับ สั่งไปเมื่อวันศุกร์ เพิ่งมาส่งสาย ๆ เมื่อวาน

เล่มนี้อยากได้มานานแล้ว แต่เมื่อก่อนราคาใน amazon เอาเรื่องอยู่ก็เลยเก็บไว้ใน wish list แล้ววันศุกร์มาเจอโพสต์ใน fb ตอนแรกก็จะไถผ่านไปแล้วแต่มาเห็นเล่มนี้ เอ๊ะ คุ้น ๆ ก็เลยลองถามราคาดู

ราคารับได้ ร้านถ่ายคลิปสภาพหนังสือมาให้ดู สภาพก็โอเค ร้านนี้ไม่เคยซื้อมาก่อน ส่งข้อความไปขอให้ช่วยห่อพลาสติกให้ด้วย ช่วงนี้ฝนตกบ่อย กลัวหนังสือจะเยิน

เมื่อวานหนังสือมาส่ง โอ้โห มีทั้งห่อถุงพลาสติก ห่อกันกระแทก แพ็กในกล่องกระดาษ พันด้วยพลาสติกใส แล้วห่อถุงพลาสติกทับมาอีกชั้น

ห่อมาเหมือนประชดอ่ะ โคตรดีย์ 👍

แล้วที่เซอร์ไพรส์คือมีแถมพวงกุญแจไม้แกะเป็นตัวพะยูนมาให้ด้วย ดูจากซองที่ใส่มาแล้วน่าจะเป็นงานฝีมือของชุมชนที่จังหวัดตรัง.ประทับใจมากครับ ❤️😊

The Fifth Risk

the fifth risk
The Fifth Risk by Michael Lewis

หลังจากจบ atomic habits ลองหยิบเล่มนั้นมาอ่านได้สิบหน้า เปลี่ยนเป็นเล่มโน้นได้สามสิบหน้า ย้ายไปเล่มนู้นได้ห้าหน้า ฟีลก็ยังไม่ใช่

ตอนนี้สรุปว่าน่าจะเป็นเล่มนี้ล่ะ… 📚

อ่านหนังสือ จิบกาแฟ

ตึ๊ด ตึด ตึ๊ด ตึด เราชอบอ่านหนังสือ

ตึ๊ด ตึด ตึ๊ด ตึด เราชอบกินกาแฟ

อ๋าาาาาาาาาาาา

แอปเปิล เพ๋นนนนนนน (จะมีคนเก็ตมั้ยวะ 555555)

หมายเหตุ ถ้าใครทนดูถึงช่วงท้ายที่พี่ลุกไปนี่ไม่มีอะไรนะฮะ

หมอตะโกนมา หมดเวลาพัก มากินยา!!! 😆🤣

A Nonthaburian Guy Lazy Day

ครั้งแรกที่ได้รู้จักนามปากกา ผมอยู่ข้างหลังคุณ

ยังจำครั้งแรกที่เจอนามปากกา ผมอยู่ข้างหลังคุณ ได้

เริ่มจากไปเจอหนังสือชื่อ ความสุขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ ที่ Kinokuniya สยามพารากอน

หยิบเล่มนี้ดูด้วยความสงสัย หนังสือห่านอะไรวะ ชื่อแปลกดี ก่อนพลิกดูคิดล่วงหน้าไปก่อนว่าน่าจะเป็นแนววัยรุ่น เฮฮา กวนตีน อ่านเร็ว ๆ แล้วก็จบกันไปตามยุคสมัย แต่ผิดคาด

พอลองอ่านแล้ว เฮ้ย น่าสนใจ ต้องอ่านต่อ พลิกอ่านไปเรื่อย ๆ อ่านจบบทไปแล้วยังพลิกย้อนกลับมาอ่านซ้ำ แล้วถึงมาดูชื่อคนเขียน

ชื่ออะไรของแม่ง ผมอยู่ข้างหลังคุณ

เจตนาคนเขียนคงอยากจะสื่อว่า กูยืนอยู่หลังมึง กูเห็นนะว่ามึงดูอะไร ทำอะไร แต่วันนั้นจริง ๆ อยากบอกว่า มึงไม่ได้อยู่ข้างหลังกู มึงอยู่ในหัวกูเลย!! เหมือนมึงแหวกกะโหลกกูเข้าไปอยู่ข้างในเลย ติดใจมาก (ติดใจนี้ไม่ได้ใช้ในความหมายว่า ชอบใจนะฮะ) แม่งรู้ได้ไงวะ

และนั่นแหละ จากที่หยิบขึ้นมาพลิกดูผ่าน ๆ กลายเป็นซื้อติดมือกลับบ้านมาด้วย (จริง ๆ ยืนอ่านจนจบเล่มตั้งแต่ที่ร้านแล้วด้วยความกระหายใคร่รู้) เพราะอยากอุดหนุน อยากให้หนังสือขายได้ เพื่อเป็นกำลังใจให้เขียนเล่มใหม่ออกมาอีก ถ้าขายได้ไม่เข้าเนื้อทางสำนักพิมพ์ก็จะได้พิมพ์ออกมาอีก

วันที่เจอใน fb นี่ดีใจมาก กดติดตามไว้เลย แล้วก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองที่สงสัย ความรู้สึกบอกว่า มันไม่ใช่ แต่อธิบายไม่ได้ ก็ได้ ผมอยู่ข้างหลังคุณ อธิบายออกมาด้วยหลักการและวิชาการให้เข้าใจได้

กระทั่งการอธิบายหลักการและวิธีคิดในหนังหลายเรื่อง ก็ช่วยเปิดแง่มุมอีกหลายด้านที่ไม่เคยมองมาก่อน ช่วยให้การดูหนังสนุกมากขึ้น

ใครอ่านแล้วจะบอกว่า อวย ก็ยอมรับว่า อวย (ออกเสียงดี ๆ นะ อย่าเปลี่ยนพยัญชนะต้นเป็นตัวอื่น 😆)

แนะนำให้กด like กด follow กันไว้เลยครับที่เพจ ผมอยู่ข้างหลังคุณ

ส่วนนี่เป็นบทสัมภาษณ์ ผมอยู่ข้างหลังคุณ โดยนิตยสาร aday bulletin ครับ

https://adaybulletin.com/talk-guest-peerapol-pataranuthaporn/31200