รีวิว Altra King MT 2.0 สั้น ๆ หลังการวิ่งครั้งแรก

Altra King MT 2.0 Men & Women

รองเท้าคู่นี้ซื้อมาเพราะตั้งใจเอาไปงานโป่งแยง ใส่ไว้ใน drop bag เพราะเห็น race director บอกว่า โป่งแยงปีนี้ลุยน้ำเยอะ หลายจุดมาก มีรองเท้าไปเปลี่ยนที่ drop bag ก็น่าจะดี (ถ้าพี่ลากสังขารไปถึงได้นะ 5555)

ผลจากการใส่วิ่งครั้งแรกที่เขาฉลาก ชอบมาก กระชับเท้า น่าจะเพราะมี velcro ช่วยรัดช่วงกลางเท้า ดาวน์ฮิลไม่ลื่นนิ้วไม่ชน หน้ากว้างตามธรรมชาติของ altra พื้นหนึบจากพื้น vibram แต่ซัพพอร์ตน้อยกว่า speedgoat คู่เดิม ทำให้วิ่ง ๆ ไปรู้สึกถึงสภาพพื้นผิวมากกว่า เหยียบหินลงไปนี่รู้เลย คนละฟีลกับ speedgoat ที่พื้นหนากว่า แต่แลกกับโอกาสขาพลิกน้อยกว่า speedgoat ดีไปคนละอย่าง

Altra King MT 2.0 Men

ลองไปลองมา ชอบมากอย่างที่บอก เลยเปลี่ยนใจจะใส่คู่นี้เป็นคู่แรกแล้วเอา speedgoat ไปใส่ drop bag แทน

เพิ่มเติมจากคุณภรรยาซึ่งเดิมใส่ altra อยู่แล้ว แต่เป็นรุ่น lonepeak พอมาลองคู่นี้ก็ชอบมากเหมือนกัน

จบการรีวิวจ้ะ ถ้ามีอะไรมากกว่านี้จะมาอัปเดตอีกทีนะ ❤

Altra King MT 2.0 Men

สภาพรองเท้าวิ่ง Pan Predator Marathon ระยะ ๗๔๒ โล

PanPredatorMarathonLeft

ก่อนหน้านี้เคยโพสต์รีวิวรองเท้า Pan Predator Marathon พร้อมรูปตอนแกะกล่องสภาพปิ๊ง ๆ เหลืองสดใส (ตามภาพด้านบน) กับหลังใช้งาน ๓๐๐ โลไปแล้ว (อ่านรีวิวและดูรูปได้ที่นี่นะฮะ https://buak.net/2017/11/19/review-pan-predator-marathon-running-shoes/ ) เมื่อวันก่อนใช้ไปครบระยะ ๗๔๒ โล เลยเอามาให้ดูกันอีกทีว่าสภาพพื้นรองเท้ายังเหลืออยู่แค่ไหน เผื่อเป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจของคนที่กำลังลังเลว่าจะซื้อยี่ห้ออะไรดี หวังว่าจะช่วยได้บ้างนะ มาดูกัน

เริ่มด้วยข้างซ้าย ดูเต็ม ๆ ก่อน

Pan Predator Marathon Yellow

ต่อมาก็ช่วงหน้าเท้า

Pan Predator Marathon Yellow

ตามด้วยช่วงส้นเท้า

Pan Predator Marathon Yellow

ทีนี้มาดูข้างขวาบ้าง

Pan Predator Marathon Yellow

อันนี้เป็นหน้าเท้าข้างขวา

Pan Predator Marathon Yellow

ต่อด้วยส้นเท้าจ้ะ

Pan Predator Marathon Yellow

ต้องบอกไว้ก่อนว่า สภาพที่เห็นนี่เกิดจากการใช้วิ่งบนถนนคอนกรีตในหมู่บ้านอย่างเดียวนะฮะ ไม่ได้ใช้วิ่งลงคอร์ต ลูกรัง ลาดยาง หรืออย่างอื่นเลย คอ-นก-รีต เฮ้ย คอนกรีตล้วน ๆ ส่วนลักษณะการสึกจะเป็นด้านนอก ด้านใน หน้าเท้า ปลายเท้าอะไรก็คงแล้วแต่การลงเท้าของแต่ละคน ซึ่งอาจจะไม่เหมือนกันครับ ❤

แบรนด์ Altra เปลี่ยนมือ

altra escalante boston 2018

เมื่อวันก่อนเพิ่งซื้อ altra escalante boston 2018 มาแหมบ ๆ ตอนนี้มีข่าวล่าสุดสำหรับแฟน ๆ altra ครับ ไม่ใช่เรื่องรองเท้ารุ่นใหม่ ไม่ใช่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่เป็นเรื่อง “ขายบริษัท”

ผ่ามมมมมมมมมม!!

ข่าวที่ออกมาก็คือ ทางผู้ถือหุ้น altra ได้ตกลงขายบริษัทให้กับ VF Corporation แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดอะไร ทั้งในเรื่องราคาและเหตุผล แต่บอกแค่ว่ากระบวนการขายน่าจะลุล่วงภายในเดือนเมษายนนี้

สำหรับ VF Corporation ที่มาซื้อ altra ไปนี่เป็นเจ้าของแบรนด์น่าสนใจหลายแบรนด์ด้วยกัน ตั้งแต่ The North Face / Vans / Timberland / Wrangler แล้วก็ Lee ครับ

สำหรับลูกค้าอย่างเรา ๆ ก็ต้องตั้งความหวังไว้ว่า การเปลี่ยนมือครั้งนี้จะทำให้สินค้าดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่แย่ลงนะ…

รีวิวรองเท้าวิ่ง Pan Predator Marathon

Pan Predator Marathon Left

เรื่องมันเริ่มตรงที่เปิดดู facebook แล้วมีโพสต์ของเพจวิ่งเพจนึงโผล่ขึ้นมา เป็นโพสต์เกี่ยวกับงานวิ่ง แต่ที่แปลกออกไปก็คือ รูปที่โพสต์มีแต่รูปรองเท้าล้วน ๆ เต็มที่ก็สูงขึ้นมาถึงแค่หน้าแข้ง ไม่เห็นหน้าคนใส่ว่าสวยหล่อแค่ไหน แต่บอกว่า ทุกยี่ห้อที่รุ่นที่โพสต์มาวิ่งจบระยะฟูลมาราธอนมาแล้ว

เราก็ไถดูไปเรื่อย ๆ ยี่ห้อดัง ๆ ที่คนนิยมมีมาครบ ทั้ง nike adidas asics on saucony ฯลฯ สารพัดรุ่น แล้วก็มาเจอคู่นึง ดูแล้วไม่คุ้นเลย ก็เลยกดไปดูคอมเมนต์จะดูว่ายี่ห้ออะไร

แล้วก็เซอร์ไพรส์ที่เป็นยี่ห้อ Pan

ที่ว่าเซอร์ไพรส์ก็เพราะเมื่อสองสามปีก่อนอ่านเจอข่าวผ่านตาว่า Pan ปิดโรงงาน ตอนนั้นเข้าใจว่าเลิกทำยี่ห้อนี้ไปเลย ไม่มีอีกแล้ว ตอนนั้นยังเสียดายอยู่เลย เพราะรองเท้าแบดมินตันของ Pan นี่เจ๋งมาก แล้วก็ไม่เคยได้ข่าวคราวอีก ไม่เคยเดินดูตามห้างด้วย ก็นึกว่าเลิกไปแล้วจริง ๆ

หลังจากนั้นก็ลองเสิร์ชดูว่า รุ่น Predator Marathon นี่มันมีดียังไงบ้าง แต่เจอน้อยมาก แทบไม่มีรีวิวเลย แต่ไปเจอข้อมูลว่า มีนักวิ่งเคนยาใส่รองเท้ารุ่นนี้วิ่งชนะฟูลมาราธอนในงาน Bangkok Marathon เมื่อปี ๒๐๑๕

เฮ้ยยยยยยยย หยั่งงี้มันก็ไม่ธรรมดาดิ ไม่ใช่แค่พาวิ่งจบระยะฟูลธรรมดา แต่คว้าแชมป์มาแล้วด้วย

ข้อมูลที่เจอเพิ่มบอกว่า น้ำหนัก ๒๑๕ กรัม ตอนนั้นอ่านแล้วคิดในว่า แม่งโม้หรือเปล่า น้ำหนักแค่นี้นี่ถือว่าโคตรเบาเลยนะ แล้วอีกเรื่องที่เพิ่มความน่าสนใจให้สูงขึ้นไปอีกคือ ราคา

คู่ละสองพันนิด ๆ เอง!!!

ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจว่า เอาวะ ไปลองใส่ดู ถ้าไม่เลวร้ายก็ซื้อมาลองดู ขำ ๆ ถ้าไม่เวิร์กก็ไม่เสียดายมาก แต่ถ้าเวิร์กนี่มีเฮเลยนะ

ไปเจอที่ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า มีสีเหลืองที่อยากได้ด้วย จริง ๆ ตอนนั้นมีรุ่นใหม่ออกมาแล้ว ชื่อว่า Pan Predator Ace แต่ว่าไม่รู้ไง ก็เลยลองแต่รุ่นนี้ แล้วอีกอย่างชอบสีของรุ่นนี้ด้วย รุ่น Ace มันสีทูโทน มันไม่โดน

ความรู้สึกแรกที่ลองคือ มันเบาจริงว่ะ เบาแบบเบาเลย วัสดุที่ทำตัว upper จะโปร่ง ๆ หน่อย ตัวพื้น outsole เป็นยางสีดำ ไม่รู้ทนแค่ไหน แต่ก็หนาประมาณนึงนะ ลองสวมดูแล้ววิ่งเหยาะ ๆ กลับไปกลับมาอยู่ในซูเปอร์สปอร์ตหลายรอบ เฮ้ย ก็โอเคนะ ไม่ได้เด้งแบบเด้งมาก แล้วก็ไม่ได้นุ่มจนยวบ กลาง ๆ ทั่วไป ตอนนั้นซูเปอร์สปอร์ตมีเซลพอดี ได้ลด ๒๐% เหลือ ๑,๘๐๐ กว่า ๆ ก็เลยจัดสีเหลืองสดใสกลับมาหนึ่งคู่

Pan Predator Marathon BoxPan Predator Marathon ใส่มาในกล่องหน้าตาอย่างนี้แหละ

ช่วงสองสามวันแรกยังไม่มีโอกาสได้ใส่วิ่ง ก็เอาไปใส่เดินออกกำลังกายตอนเย็นเป็นเพื่อนคุณภรรยาไปก่อน ตอนนั้นเริ่มคิดแล้วว่า จะเวิร์กมั้ยวะ? เพราะรู้สึกว่าตอนที่เดินอยู่ตรง heel cup (ภาษาไทยเรียกอะไรไม่รู้ ขออภัยนะฮะ) มันจะดันเท้าไปข้างหน้า แล้วทำให้ปลายเท้าไปชนหน้ารองเท้า ทีแรกนึกว่าเป็นเพราะยังไม่ชิน แต่ลองเดินอยู่สองสามวันก็เป็นทุกวัน ถ้าดูที่รูปแรกข้างบนจะเห็นว่าตัวส้นมันเอียงมาข้างหน้านิดนึง คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุนี้แหละ

Pan Predator Marathon Unboxแกะกล่องออกมาใหม่ ๆ หมาด ๆ สีมันจะสดใสหน่อย

แล้วก็มาถึงวันที่ใส่วิ่งจริง ต้องบอกก่อนว่า คู่ก่อนหน้านี้ใส่ nike free flyknit ๔.๐ ปี ๒๐๑๕ (อ่าน รีวิว nike free flyknit ๔.๐ ปี ๒๐๑๕ และ รีวิวตอนวิ่งครบ ๓๗๐ โล) แล้วก็ไม่ใส่ถุงเท้า เพราะมันสบายมาก ตอนที่เอา Pan ไปลองก็ไม่ใส่ถุงเท้าเหมือนเดิม จะลองดูว่าจะโอเคมั้ย

PanPredatorMarathonOutsoleoutsole เป็นลวดลายแบบนี้ ยางยังใหม่กริ๊บอยู่เลย

ผลก็คือ โอเคมาก ด้านในรองเท้าไม่มีร่องรอยหรือวัสดุจากการผลิตมาขีดข่วนเท้าเรา (หรือว่าเป็นเพราะเท้าเรามันด้านจนไม่รู้สึกไปแล้ววะ?) ไม่มีปัญหาเรื่องเหงื่อ เพราะหน้าผ้าโปร่ง แม่งโปร่งมากจนแทบมองทะลุได้ ซึ่งก็ช่วยเรื่องการระบายอากาศ (แต่ปกติเราเป็นคนไม่มีปัญหาเรื่องเหงื่อที่เท้าเวลาวิ่งอยู่แล้วนะ)

พอมาใส่วิ่งแล้วความรู้สึกที่ว่า heel cup มันดันเท้าไปข้างหน้าก็ไม่เป็นแล้วนะ คงเป็นเพราะลักษณะการลงเท้าของการเดินกับการวิ่งมันไม่เหมือนกัน ส่วนเรื่องการรับแรงกระแทกก็ปกติทั่วไป เท่าที่ใส่วิ่งมา (ยังไม่เคยใส่วิ่งเกินระยะสิบกิโลฯ) ประมาณกิโลฯ ที่เจ็ดนี่จะเริ่มรู้สึกที่ฝ่าเท้าหน่อย ๆ อันนี้ต้องบอกก่อนว่าอาจเป็นเพราะเราเองยังซ้อมไม่ถึงก็ได้ เพราะเห็นในกลุ่มวิ่งใน fb มีหลายคนมาบอกว่าเอาไปลงงานวิ่งจบฮาล์ฟจบฟูลกันมาแล้ว

ทีแรกตั้งใจจะเขียนรีวิวนี้ตั้งแต่ที่ใส่วิ่งใหม่ ๆ แต่ด้วยความสงสัยว่า ยาง outsole ของรุ่นนี้ทนแค่ไหน ก็เลยรอจนใช้สักระยะนึงก่อน นี่ใส่วิ่งมา ๓๐๐ กิโลฯ แล้ว คิดว่าน่าจะพอเห็นภาพได้ ลักษณะการใช้งานจะวิ่งบนถนนในหมู่บ้านที่เป็นคอนกรีตอย่างเดียว ไม่เคยใส่ไปวิ่งที่อื่น การสึกหรอของ outsole ก็ตามภาพประกอบนะฮะ สำหรับผมถือว่าใช้ได้ ส่วนความหม่นหมองของสีเหลืองที่เคยสดใสอันนี้ก็ตามสภาพ ไม่เคยซัก ไม่เคยทำความสะอาดอะไรครับ

อัปเดต : ดูสภาพรองเท้าคู่นี้หลังใช้งานมา ๗๔๒ โล ได้ที่โพสต์นี้ครับ สภาพรองเท้าวิ่ง Pan Predator Marathon ระยะ ๗๔๒ โล

Pan Predator Marathon Right Heelสภาพส้นเท้าข้างขวาหลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ

Pan Predator Marathon Right Frontสภาพพื้น หน้าเท้าข้างขวาหลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ

Pan Predator Marathon Left Heelสภาพส้นเท้าข้างซ้ายหลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ

PanPredatorMarathonLeftFrontสภาพพื้น หน้าเท้าข้างซ้ายหลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ จะเห็นว่าสึกไปนิดนึง

PanPredatorMarathonRight300สภาพข้างขวาหลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ มันก็จะเยิน ๆ หน่อย

Pan Predator Marathon Rightสภาพข้างขวา (ด้านใน) หลังวิ่งมาแล้ว ๓๐๐ กิโลฯ

ช่วงหลัง ๆ เห็นคนมาโพสต์มาคอมเมนต์ถึงรองเท้ารุ่นนี้กันเยอะ ทำให้รู้ว่ามีคนใช้กันอยู่ไม่น้อยเลย ถ้า Pan ทำการตลาดดี ๆ ก็น่าจะไปได้อีกไกล นี่ล่าสุดเห็นมีออกรุ่นพิเศษ Bangkok Marathon 2017 เป็นลิมิเต็ด เอดิชั่น มีแค่ ๒๑๗ คู่ ก็ขายได้หมดนะ

ถ้าจะสรุปข้อดีข้อด้อยของ Pan Predator Marathon จากที่ใส่วิ่งมากว่า ๓๐๐ กิโลฯ ขอบอกว่า ข้อดีคือ

  • เบา
  • หน้ากว้าง ไม่บีบเท้า
  • วัสดุที่ทำตัวรองเท้าโปร่ง ระบายอากาศดี
  • พื้นยาง outsole ทนใช้ได้
  • ข้อสุดท้ายที่เด่นมากคือ ราคา เป็นมิตรกับกระเป๋าตังค์มวลมหาชนมาก 5555

ส่วนข้อด้อย จริง ๆ จะเรียกข้อด้อยก็ไม่ตรงเสียทีเดียว เอาเป็นว่า สิ่งที่ไม่ถูกใจดีกว่า

  • ลิ้นรองเท้าหนาไปนิดนึง เวลาผูกเชือกแน่น ๆ แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ถ้าบางลงสักนิดจะดีมาก
  • ข้อนี้ไม่เจอเอง แต่เห็นในเพจวิ่งมีคนมาคอมเมนต์หลายคน คือ เชือกผูกแล้วไม่ค่อยแน่น แต่พอผูกสองทบแล้วก็ไม่มีปัญหา

ใครที่หารองเท้าวิ่งคู่ใหม่อยู่อยากให้ไปลอง ชอบไม่ชอบก็ค่อยว่ากัน ลองดูนะครับ

หมายเหตุ เห็นมีคนคอมเมนต์กันว่า Pan Predator Marathon นี่หน้าตายังกะพี่น้องฝาแฝดกับ asics tarther japan กันเลย ก็เลยหารูปมาให้ดูเทียบกับรูปด้านบน (ขอบคุณรูปจากร้าน monster run นะครับ) เหมือนไม่เหมือนยังไงสรุปกันเอาเอง ฮ่า…

AsicsTartherJapanหมายเหตุสอง ต้องบอกก่อนว่าถึงคุณภาพมันจะคุ้มเกินราคา แต่มันก็เท่าที่รองเท้าราคาสองพันกว่าจะทำได้นะ ไม่อยากให้คาดหวังเกินจริง เอาไปเทียบกับพวก nike zoom fly ที่มีแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์อยู่ข้างใน หรือ ultraboost ที่โฟมเด้ง ๆ หรือรองเท้าของขาแรงอย่าง newton เพราะถ้าได้ขนาดนั้นพวกรองเท้าที่ราคาห้าพันหกพันอัปมันจะอยู่ยังไง ใช่มะ…

หมายเหตุสาม (ทำไมเยอะจังวะ?) เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายนที่ผ่านมา นักวิ่งชาวเคนยาสวมรองเท้า Pan Predator Ace (แต่ไม่ใช่รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ที่ว่านะครับ) เข้าที่หนึ่งในงานวิ่ง Bangkok Marathon 2017 ด้วยเวลา ๒:๒๘ ชั่วโมง ครับ #แม่งวิ่งหรือบินวะ

Pan Predator Marathon Left Lateral

 

Breaking2 : ความพยายามสร้างประวัติศาสตร์ของ nike

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (๖ พ.ค.) ใครที่ใช้ twitter อาจจะแปลกใจที่เห็นมี hashtag #Breaking2 ติดอันดับ trending แล้วมีคนใช้ hashtag อันนี้กันเยอะแยะ ถ้าไม่ได้ตามข่าวมาก่อนก็คงสงสัยว่า #Breaking2 นี่มันคืออะไร?

ลองมาดูกัน

What?

Breaking2 เป็นโปรเจ็กต์ของ nike ที่พยายามจะสร้างประวัติศาสตร์ในวงการมาราธอน ซึ่งเดิมก่อนหน้านี้มีความเชื่อกันว่า มนุษย์จะไม่มีทางวิ่งมาราธอนได้ในเวลาต่ำกว่าสองชั่วโมงเป็นอันขาด เพราะมันเกินศักยภาพที่มนุษย์จะทำได้ (ประมาณว่า วี อาร์ ออล ฮิวแมน น็อต ซูเปอร์ ฮิวแมน นะ ยูว์) แต่ปรากฎว่า ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถิติมาราธอนเริ่มเข้าใกล้สองชั่วโมงมาเรื่อย ๆ จนสถิติโลกล่าสุด (ของผู้ชาย) อยู่ที่ ๒:๐๒:๕๗ หรือสองชั่วโมงสองนาทีห้าสิบเจ็ดวินาที ทำไว้เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๗ ในการแข่งขันเบอร์ลิน มาราธอน โดย Dennis Kimetto ชาวเคนยา (ใส่ adidas รุ่น adios Boost) ซึ่งก็มีการประเมินกันใหม่ว่า มนุษย์อาจทำได้ก็ได้เว้ยเฮ้ย แต่คงต้องใช้เวลาในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกประมาณซักสิบปี

ทีนี้สิบปีมันนานไง ไม่ทันใจวัยรุ่น เอ๊ย บริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬายักษ์ใหญ่ทั้ง nike และ adidas เพราะเรื่องนี้ถ้าใครทำได้ก่อนมีหวังดังระเบิด นอกจากจะได้รับการจารึกชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์แล้ว ชื่อเสียงและยอดขายถล่มทลายจะตามมาอีกแน่นอน ทาง nike ก็เลยทำโปรเจ็กต์ Breaking2 ขึ้นมา ส่วน adidas ก็ไม่ได้อยู่เฉย มีโปรเจ็กต์ของตัวเองเหมือนกัน ใช้ชื่อว่า Sub2 ซึ่งวันนี้เราจะยังไม่พูดถึง เพราะเราจะพูดถึง Breaking2 กันนะฮะ

Who?

นอกจาก nike ที่เป็นเจ้าของโปรเจ็กต์แล้ว งานนี้ก็ต้องมีนักวิ่งใช่มะ ทาง nike ก็ไปคัดแล้วคัดอีก เฟ้นแล้วเฟ้นอีก เอาสถิติเอาข้อมูลของนักวิ่งแต่ละคนมาวิเคราะห์กันละเอียดยิบ สุดท้ายได้มาสามคน คือ Eliud Kipchoge ชาวเคนยา Lelisa Desisa ชาวเอธิโอเปีย และคนสุดท้าย Zersenay Tadese ชาวอะไรไม่รู้ เขียนยังงี้ Eritrea (ทั้งสามคนดูโหงวเฮ้งได้ตามภาพด้านบนนะฮะ)

คนแรก Eliud Kipchoge มีดีกรีเป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกคนล่าสุด สถิติเวลาดีที่สุดที่เคยทำได้คือ ๒:๐๓:๐๕ ในการแข่งลอนดอน มาราธอน เมื่อปีที่แล้ว

คนต่อมา Lelisa Desisa ดีกรีเป็นแชมป์บอสตัน มาราธอน ปี ๒๕๕๘ และรองแชมป์ในปีถัดมา สถิติเวลาดีที่สุดที่เคยทำได้คือ ๒:๐๔:๔๕ ในการแข่งดูไบ มาราธอน ปี ๒๕๕๖

คนสุดท้าย Zersenay Tadese คนนี้สถิติมาราธอนดูยังห่าง เพราะทำเวลาอยู่ที่ ๒:๑๐:๔๑ แต่เป็นเจ้าของสถิติโลกฮาล์ฟมาราธอนมาแล้วเจ็ดปียังไม่มีใครทำลายได้ที่ ๕๘:๒๓ นาที

When?

หลังจากนั่งจับยามสามตาดูดวงชะตาฟ้าดินแล้ว nike ก็เลือกเอาวันที่ ๖ พฤษภาคม ที่ผ่านมาเป็นวันดีเดย์ ส่วนตัวของผมเองเดาว่าที่ nike เลือกวันนี้ก็เพราะเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๙๗ Roger Bannister ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการกีฬาด้วยการเป็นมนุษย์คนแรกที่วิ่งระยะหนึ่งไมล์ (ประมาณ ๑.๖ กิโลเมตร) ได้ในเวลาน้อยกว่า ๔ นาที (แกทำได้ที่ ๓:๕๙.๔ นาที) ซึ่งเรื่องนี้เดิมก็เชื่อกันว่าเป็นเรื่องสุดวิสัยที่มนุษย์จะทำได้เหมือนกัน เรื่องวิ่งมาราธอนในสองชั่วโมงนี่ก็อยู่ในระดับเดียวกัน nike คงกะว่า วันนี้ล่ะวะเป็นวันดีที่จะเป็นวันย้อนรอยประวัติศาสตร์กันอีกซักที ประมาณนั้น

Where?

เมื่อตั้งเป้าเป็นโปรเจ็กต์ moonshot ขนาดนี้ สถานที่ที่จะจัดวิ่งครั้งนี้จึงสำคัญมาก ทีมงาน nike เสาะแสวงหาสถานที่ตามโลเคชั่นมาราธอนสำคัญ ๆ ทั่วโลก แต่สุดท้ายเมื่อนำเอาปัจจัยต่าง ๆ มาพิจารณาแล้วมาสรุปกันที่ Autodromo Nazionale Monza ซึ่งเป็นสนามแข่งรถที่อยู่ใกล้กับเมืองมิลาน อิตาลี

ปัจจัยที่เอามาพิจารณาที่ว่านี่ไม่ใช่พูดกันเล่น ๆ เพราะทีมงานดูกันตั้งแต่ระดับความสูงเหนือน้ำทะเล อุณหภูมิ ความชื้นในอากาศ กระแสลมในพื้นที่ รวมไปถึงคุณภาพของพื้นผิวสนามด้วย ทางทีมงานถึงขนาดเอาข้อมูลสภาพอากาศที่ Monza ในเวลา ๖ ปีย้อนหลังมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับสถานที่วิ่งมาราธอนที่เคยทำเวลาได้ดีที่สุดด้วย เพื่อให้มั่นใจว่า เอาที่นี่แหละเฮ้ย

How?

การเตรียมตัวเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ครั้งนี้ แต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ฝ่ายสถานที่ก็หาไป ฝ่ายนักวิ่งก็ซ้อมกันไป โปรเจ็กต์นี้นักวิ่งที่ได้รับการคัดเลือกทั้งสามคนซ้อมกันอย่างหนักเป็นเวลาเจ็ดเดือน โดยที่อยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมของทีมงาน nike โดยตลอดเพื่อหาวิธีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง ดูฟอร์มการวิ่ง ไปจนถึงการดูแลเรื่องอาหาร เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อถึงวันที่ ๖ พ.ค. สภาพร่างกายของแต่ละคนจะอยู่ในช่วงพีคสุด ๆ ประหนึ่งซูเปอร์ไซย่านั่นเลย

อีกอย่างหนึ่งที่มีส่วนสำคัญมากสำหรับโปรเจ็กต์นี้คือ รองเท้าของนักวิ่งทั้งสามคน เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดชื่อว่า Zoom Vaporfly Elite รุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษ ไม่มีวางขายทั่วไป มีการ customized ให้เข้ากับนักวิ่งแต่ละคน ไม่ว่าจะสไตล์การวิ่ง หรือช่วงก้าว น้ำหนักโคตรเบา อัปเปอร์ทำจาก flyknit ส่วนตัว midsole ทำจากวัสดุชนิดใหม่ที่เคลมว่าสามารถคืนพลังงานได้ดีกว่าวัสดุประเภทอื่นถึง ๑๓% แถมด้านในรองเท้ายังมีแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ที่จะคอยส่งแรงให้พุ่งไปข้างหน้าด้วย (รายละเอียดดูจากภาพกับในคลิปดีกว่า)

Conclusion

เป็นที่น่าเสียดายว่าความพยายามครั้งแรกนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จ โดย Eliud Kipchoge วิ่งทำเวลาดีที่สุดในสามคนที่ ๒:๐๐:๒๕ ยังทำลายกำแพงสองชั่วโมงไม่ได้ และถึงแม้ว่าเวลานี้จะดีกว่าสถิติโลกปัจจุบันแต่ก็ไม่ได้รับการรับรองเป็นสถิติใหม่นะฮะ เพราะการวิ่งครั้งนี้ไม่เข้าข่ายการรับรองสถิติอย่างเป็นทางการ

หลังจากนี้ nike คงจะเอาผลที่ได้ไปปรับปรุงและพัฒนาต่อเพื่อที่จะกลับมาใหม่ในครั้งต่อไป ซึ่งทางฝั่ง adidas เองก็คงจะไม่อยู่เฉย เราอาจได้เห็นความคืบหน้าของโปรเจ็กต์ Sub2 ของค่าย adidas กันในเร็ววันนี้

หมายเหตุ : จริง ๆ ยังมีเรื่องอื่นที่น่าเขียนถึงอีก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ twitter ถ่ายทอดสดเหตุการณ์ครั้งนี้ หรือกระบวนการมาร์เก็ตติ้งของ nike ที่สามารถตรึงคนทั่วโลกให้จดจ่ออยู่กับอีเวนต์นี้ได้ตลอดสองชั่วโมงเต็ม รวมไปถึงรายละเอียดของรองเท้ารุ่นที่จะนำออกวางขายเอาทุนคืน เอ๊ย ให้นักวิ่งได้ซื้อมาสวมใส่เพื่อทำลายสถิติส่วนตัวกัน ทั้งหลายทั้งปวงนี้หากใครสนใจก็ลองหาข้อมูลกันดูนะฮะ นี่ยาวมากแล้ว สวัสดีครับ

รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 หลังวิ่งรวม ๓๗๐ กิโลฯ

nike_free_4_flyknit_2015_350kmNike Free 4.0 Flyknit 2015

ตามที่ได้เคยเล่าไปก่อนหน้านี้นะครับว่า ผมซื้อรองเท้าวิ่งรุ่นนี้มาใช้ Nike Free 4.0 Flyknit 2015 และก็ได้เขียนรีวิวแบบบ้าน ๆ เอาไว้หลังจากที่ได้ทดลองใช้วิ่งมาสองสามครั้ง [อ่านได้ที่นี่ครับ รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 (แบบบ้าน ๆ)]เวลาผ่านล่วงเลยมาจนตอนนี้ใช้วิ่งไปแล้วรวมระยะ ๓๗๐ กิโลเมตร สภาพรองเท้าจะเป็นยังไงบ้าง? และความเห็นต่อรองเท้ารุ่นนี้จะเป็นยังไง?

หมายเหตุเอาไว้ก่อนว่า ความรู้เรื่องรองเท้าและการวิ่งของผมมีจำกัดมาก ก่อนหน้านี้รู้เท่าไหร่ ตอนนี้รู้เท่าเดิม 5555 เพราะฉะนั้นการรีวิวครั้งนี้ก็จะไม่ได้พูดถึงรายละเอียดลงลึกอะไร แต่จะมาเล่าความรู้สึกของการใช้งานให้ฟัง เรียกว่า เป็นการรีวิวแบบบ้าน ๆ ครั้งที่สอง นะครับ

Nike Free 4.0 Flyknit 2015 after 370 Km runนี่ข้างซ้าย

Nike Free 4.0 Flyknit 2015 after 350 Km runส่วนนี่ข้างขวา

ดูสภาพรวม ๆ ก่อน จะเห็นว่ารองเท้ายังอยู่ในสภาพดี โดยเฉพาะตัวอัปเปอร์ที่เป็น flyknit ไม่มีขาดหรือหลุดลุ่ยให้เห็น หลังจากที่ซื้อมาแล้ว เอามาวิ่งแล้วถึงได้มาเจอข้อมูลว่า ไอ้ลายเส้น ๆ เป็นก้างปลาที่เห็นอยู่นั่นน่ะ ไม่ได้ทำมาแค่ให้ดูสวย ๆ อย่างเดียวนะ มันทำมาเพื่อช่วยซัปพอร์ตเท้าในตอนที่วิ่งด้วยนะเอ้อ

ความรู้สึกขณะใส่วิ่งคู่นี้ขอบอกว่าชอบมาก flyknit มันดีอย่างที่ nike มันโม้จริง ๆ นะ ยืดหยุ่นได้ดี ไม่บีบเท้า วิ่งแล้วไม่เป็นแผล (เอ๊ะ หรือว่ายังวิ่งระยะไม่ไกลพอ อันนี้ติดค้างไว้ก่อน ถ้าวิ่งระยะเกินสิบกิโลฯ เมื่อไหร่ มาดูกันอีกที) แถมระบายอากาศได้ดี ไม่รู้สึกเรื่องเหงื่อมากวนใจ ทั้งที่วิ่งแบบไม่ใส่ถุงเท้า เออ พูดถึงเรื่องนี้ ตอนที่ดูข้อมูลก็เห็น nike คุยว่า รองเท้ารุ่นนี้นะเนื่องจากวัสดุเป็น flyknit อย่างที่ว่า จุดเด่นก็คือ มันจะกระชับเท้า กระชับประมาณว่า พอวิ่งไปนี่แทบลืมไปเลยว่าใส่รองเท้าอยู่ (นี่มึงโม้รึเปล่า?) แล้วก็สามารถใส่วิ่งได้โดยที่ไม่ต้องใส่ถุงเท้า เพราะตัวรองเท้ามันเป็นวัสดุที่ถัก (หรือทอวะ?) ขึ้นมาชิ้นเดียวเลย มีรอยเย็บอยู่แค่ที่เดียว ไม่ระคายเคืองทีนแน่นอน ประมาณนั้น

ตอนที่ซื้อมาทีแรกก็ไม่แน่ใจไง กูเอาเคยชินไว้ก่อน ใส่ถุงเท้าวิ่งตามปกติ พอวิ่งได้สักพักก็อยากลองของ ไหนดูซิ ที่มึงโม้ไว้มันจะจริงมั้ย เลยลองไม่ใส่ถุงเท้าดู เฮ้ย ได้จริงเว้ย!! ไม่รู้สึกสักนิด ไม่มีเศษด้าย หรือเศษอะไรจากการผลิตที่เก็บงานไม่เนี้ยบมาทำให้ไม่สบายเท้าเลย (ยกเว้นเรื่องนึง เดี๋ยวเล่าต่อไป) ก็เลยวิ่งแบบไม่ใส่ถุงเท้าดูพักใหญ่ ๆ แล้วเพื่อความแน่ใจว่า เอ๊ะ นี่กูไม่ได้คิดเข้าข้าง nike ไปเองใช่มั้ย ก็ลองกลับมาใส่ถุงเท้าวิ่ง พบว่า ไม่เวิร์กครับ กลายเป็นอึดอัด ไม่ถนัดซะงั้น สรุปว่า กลับมาเป็นนักวิ่งไร้ถุงเท้ามาจนถึงวันนี้

ถ้าพูดถึงความรู้สึกต่อ flyknit หลังจากที่ใช้มาสามร้อยกว่ากิโลฯ นี่ ต้องบอกว่า น่าจะเป็นวัสดุตัวอัปเปอร์ที่ชอบที่สุดตั้งแต่เริ่มวิ่งมา (จะบอกว่าดีที่สุดก็ไม่ได้นะ เพราะรสนิยมใครรสนิยมมัน เอาเป็นว่าใช้คำว่า ชอบที่สุด ละกัน) เมื่อตอนปลายปีไปลองใส่ primeknit ของ adidas (แต่ยังไม่ได้ลองใส่วิ่งจริงนะฮะ แค่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในร้านให้ชาวบ้านรำคาญเล่น) รู้สึกว่ามันไม่ยืดหยุ่นเท่านะ แล้วดูเหมือนจะระบายอากาศได้ไม่เท่า flyknit ดูมันแน่น ๆ หนา ๆ เกินไปนิดนึง

nike_free_4_flyknit_2015_outsole_leftพื้นรองเท้าข้างซ้าย หลังใช้วิ่งมาแล้ว ๓๗๐ กิโลเมตร

nike_free_4_flyknit_2015_outsole_rightพื้นรองเท้าข้างขวา หลังใช้วิ่งมาแล้ว ๓๗๐ กิโลเมตร

มาดูพื้นรองเท้ากันบ้าง พื้นรองเท้าเป็นวัสดุอะไรก็ไม่รู้ ใครอยากรู้ไปเสิร์ชเอานะ 5555 แต่ที่ให้ดูคือ จะเห็นว่ามีร่องรอยสึกจากการใช้งานไปแล้ว เท่าที่ดูก็ยังไม่เยอะนะ น่าจะใช้ได้อีกสักพัก (นี่พยายามหักห้ามใจอยู่ เมื่อตอนปลายปีแต่ละร้านแต่ละแบรนด์เอามาจัดโปรฯ ลดราคากันกระหน่ำมาก แถมรัฐบาลท่านยังช่วยให้เอาใบเสร็จไปลดภาษีได้อีก เล่นเอาเกือบตบะแตก) แต่ดูรอยสึกแล้วที่ดีใจเป็นการส่วนตัวคือ มันไปสึกบริเวณกลางเท้ามากกว่าตรงส้น แสดงว่าที่พยายามฝึกวิ่งให้เอากลางเท้าลงพื้น (midfoot strike) มันได้ผลเว้ย ตอนคู่ที่แล้วรอยสึกตรงส้นยังเยอะกว่าตรงกลางเท้า พอมาใช้คู่นี้เลยพยายามฝึกเอากลางเท้าลงพื้นมากขึ้น ถ้าดูแบบนี้ก็น่าจะได้ผลนะ อ้อ ผมวิ่งบนถนนคอนกรีต (อ่านว่า คอน-กรีด ไม่ใช่ คอ-นก-รีด นะ) อย่างเดียวนะครับ ไม่ได้ไปสมบุกสมบันวิ่งเทรลที่ไหน

nike_free_4_flyknit_2015_label_1ตัว label ของแผ่นรองเท้ามันโผล่มาแบบนี้ทั้งสองข้าง

ทีนี้มาถึงเรื่องที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่า มีประเด็นตะหงิด ๆ อยู่นิดนึง อันนี้ไม่เข้าใจ nike เหมือนกันว่า อุตส่าห์คิด flyknit มาให้ใส่สบาย วิ่งโดยไม่ต้องใส่ถุงเท้าได้แล้ว แต่ทำไมมันดันทำตัว label ของแผ่นรองเท้าให้ยื่นขึ้นมาแบบนี้ (ดูรูปด้านบนนะฮะ) กลายเป็นว่า ตัวรองเท้าน่ะไม่มีปัญหา จะมีปัญหาก็อี label นี่แหละ ที่มากวนใจ แต่ก็ยังดีที่ปัญหานี้แก้ไม่ยาก พับมันลงไปอยู่ด้านล่างแล้ววางแผ่นรองเท้าเข้าไปในรองเท้าขยับ ๆ นิดนึงก็เรียบร้อย แบบรูปด้านล่าง

nike_free_4_flyknit_2015_label_2ไม่ได้ตัด label ออกนะ แต่ยัดมันลงไปด้านล่างแทน

ภาพสุดท้ายนี่ให้ดูสภาพของแผ่นรองเท้านะครับ เป็นวัสดุอะไรไม่รู้ ช่างมันเถอะ ไม่ได้เอาไปสอบที่ไหน แต่ให้ดูสภาพที่ผ่านการใช้งานแบบไม่ใส่ถุงเท้ามา รอยเปื้อนมีประมาณนี้ นี่ยังไม่ได้หาข้อมูลว่าจะซักหรือล้างทำความสะอาดได้มั้ย แต่คิดว่าน่าจะได้นะฮะ

nike_free_4_flyknit_2015_sockliner

สรุป หลังจากใช้มาแล้วไม่ผิดหวังเลยที่ซื้อมา ชอบตัว flyknit มาก เรียกว่า ถ้ามีรุ่นไหนที่มีวัสดุให้เลือกสองแบบ flyknit กับอย่างอื่น ขอเลือก flyknit ก่อนเลย เพิ่มเงินก็โอเคนะ ชอบรองเท้าวิ่งรุ่นนี้มาก มากขนาดไหน? ขนาดที่ว่า ไปหาซื้อมาสำรองไว้อีกคู่นะ แต่ไม่มีขายแล้ว เพราะมันเปลี่ยนเป็นรุ่น free rn ไปแล้ว เมื่อตอนปลายปีที่ร้านโน้นร้านนี้เอามาเซลส์ก็พยายามดูว่ายังมีรุ่นนี้อยู่มั้ย สรุปไม่มี นี่เดี๋ยวถ้าถึงเวลาต้องซื้อคู่ใหม่ ต้องมานั่งหาข้อมูลกันอีกทีว่าจะเอาคู่ไหนดี

รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 (แบบบ้าน ๆ)

nike free 4.0 flyknitnike free 4.0 flyknit 2015

ตามที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเพิ่งซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่เป็น nike free 4.0 flyknit 2015 มา (อ่านได้จากโพสต์นี้นะ มาวิ่งกันเถอะ) หลังจากใช้วิ่งมาแล้วสามครั้ง วันนี้จะมาเล่าให้ฟังเผื่อเป็นข้อมูลประกอบสำหรับคนที่สนใจนะฮะ

ออกตัวก่อนว่า ที่จั่วหัวว่าเป็นรีวิว จริง ๆ คงไม่ใช่ เพราะไม่ได้เชี่ยวในเรื่องอะไรเลย รองเท้าวิ่งนี่ก็เหมือนกัน หลักการและเหตุผลรองรับทางวิทยาศาสตร์อะไรก็ไม่มี เอาเป็นว่ามาเล่าให้ฟังว่าใช้แล้วรู้สึกยังไงจะตรงกว่า

(update: อ่านรีวิวหลังจากใช้วิ่งมา ๓๗๐ กิโลเมตร ได้ที่นี่ครับ รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 หลังวิ่งรวม ๓๗๐ กิโลฯ)

เอาตรงที่มาก่อน nike ออกแบบรองเท้ารุ่น free มาเพื่อจับกลุ่มนักวิ่งที่อยากได้ฟีลในการวิ่งแบบเท้าเปล่า (barefoot) ซึ่งเป็นกระแสที่มาแรงมากเมื่อสักห้าหกปีก่อน กระแสที่ว่านี้เริ่มมาจากหนังสือเล่มเดียวเลย คือ Born to Run เขียนโดยคุณพี่ Christopher McDougall (ชื่อหนังสือเต็ม ๆ ยาวกว่านี้ ถ้าใครสนใจลองเสิร์ชดูนะฮะ ใส่ชื่อหนังสือกับชื่อคนเขียนไปแค่นี้ เจอแน่นอน) คอนเซ็ปต์ไอเดียของหนังสือเล่มนี้ก็คือ จริง ๆ แล้ว มนุษย์เราเกิดมาเพื่อวิ่งเท้าเปล่า หรือมีรองเท้าบาง ๆ รองฝ่าเท้าก็พอแล้ว

แต่พออุตสาหกรรมรองเท้าวิ่งยุคใหม่เริ่มถือกำเนิดขึ้น (อันนี้เขาบอกว่าประมาณปี ๒๕๑๕) ก็เริ่มมีการพัฒนาพื้นรองเท้าให้รองรับแรงกระแทกโน่นนี่นั่น มีการหนุนพื้นให้หนาขึ้น แต่กลายเป็นว่ามีนักวิ่งจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง คุณพี่แมกดูกัลล์ก็เป็นหนึ่งในนั้นและเมื่อศึกษามากเข้าก็ลงความเห็นว่า เป็นเพราะรองเท้าวิ่งนี่เอง ที่มันฝืนธรรมชาติของเท้าและการวิ่งตามธรรมชาติของคน

พอเป็นอย่างนี้ก็เลยเกิดเป็นกระแส (หรือบางคนก็เรียกว่าเป็นลัทธิ) หันมาใช้รองเท้าที่พื้นไม่หนามาก วัสดุไม่เยอะ นัยว่าเพื่อให้เท้าเป็นอิสระและเป็นธรรมชาติมากที่สุด (ถ้าไปเจอในบางเว็บว่า minimalist shoes เขาหมายถึงรองเท้าแบบนี้นี่แหละ) หรือบางคนแม่มก็เอ็กซ์ตรีมสุดขั้ว วิ่งตีนเปล่ากันเลยก็มี อันนี้ว่ากันตามถนัด แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนออกมาเตือน ๆ ว่า รองเท้าแบบนี้อาจทำให้เท้าบาดเจ็บได้ เพราะการห่อหุ้มและปกป้องเท้ามีน้อย เพราะฉะนั้นใครที่จะมาทางนี้จึงควรที่จะค่อย ๆ ปรับ ไม่ใช่พรวดพราดเปลี่ยนมาเลย

ทาง nike เองก็เตือนเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเหมือนกัน โดยในกล่องรองเท้ารุ่นนี้เมื่อเปิดฝาออกมาจะเจอสติกเกอร์คำเตือนแปะเอาไว้ที่ฝากล่องด้านใน (ขอไม่แปลนะฮะ)

nike free warning stickerลงให้ดูทั้ง ๓ ภาษา ใครถนัดภาษาไหนเชิญตามสะดวก

รุ่นนี้ตัววัสดุด้านบนของรองเท้าทำจากเส้นใยที่ถักขึ้นรูปขึ้นมา (คือ flyknit) เท่าที่ดูคิดว่าน่าจะเป็นชิ้นเดียวเลย น้ำหนักเบา กระชับเท้า นุ่มและระบายได้ดี (nike บอกว่ารุ่นนี้จะวิ่งแบบไม่ใส่ถุงเท้าก็ได้นะ) เท่าที่ลองดึง ๆ ดู จะยืดหยุ่นได้นิดหน่อย ยกเว้นบริเวณสีดำที่เป็นรู ๆ ตรงหน้าเท้า ตรงนั้นจะยืดได้เยอะกว่าบริเวณอื่น

flyknitดูกันชัด ๆ กับวัสดุที่เรียกว่า flyknit ยืดได้นิดหน่อย ยกเว้นส่วนที่สีดำนั่นยืดได้เยอะกว่า

รุ่นนี้ถ้าเทียบกับคู่เดิม (new balance minimus road 10V2) ช่วงหน้าเท้าจะแคบกว่าคู่เดิม ก่อนใส่ก็กังวลนิด ๆ ว่าจะอึดอัดมั้ย พอใส่จริงรู้สึกกระชับดี แล้วก็ไม่อึดอัดนะ อันนี้คิดว่าเป็นผลมาจากอี flyknit นี่แหละที่ยืดหยุ่นได้นิดนึง อีกเรื่องที่แปลกใจก็คือ ของคู่เดิมใส่เบอร์ ๑๑ US แต่คู่นี้แค่เบอร์ ๑๐.๕ เพราะฉะนั้นใครที่สนใจก่อนซื้ออาจจะต้องลองกันให้ดีก่อน ไม่งั้นไซส์อาจไม่พอดี

คู่นี้ตอนที่ลองมีสิ่งที่ไม่ชินนิดหน่อย (ตอนนี้ก็ยังไม่ชิน) คือ รู้สึกว่าบริเวณช่วงกลางฝ่าเท้ามีอะไรมาหนุนอยู่นิดนึง ที่รู้สึกอย่างนี้ก็เพราะพื้นรองเท้าคู่เดิมมันบางมาก เหมือนไม่ค่อยมีอะไรหนุนฝ่าเท้าเท่าไหร่ คู่นี้จะมีมากกว่า

nike free 4.0 flyknit

ทีนี้ก็มาถึงตอนวิ่งจริง ซื้อมาวันเสาร์ ใส่วิ่งครั้งแรกเช้าวันอาทิตย์ วิ่งกิโลฯ แรกเวลาออกมาตกใจเลย ๕.๒๖ นาที นี่ไม่รู้ว่าเพราะหยุดวิ่งมาหลายวัน กลับมาวิ่งเลยกะจังหวะไม่ถูก หรือเพราะเห่อรองเท้าใหม่เลยกดซะ หรือว่าเป็นผลมาจากตัวรองเท้าเอง แต่ทำเวลาเท่านี้ไม่ได้มาตั้งนานแล้ว ตอนเกือบสองปีก่อนที่ยังวิ่งเยอะ ๆ ยังได้เฉลี่ยอยู่ระหว่าง ๕.๓๕ ถึง ๕.๕๐ อยู่เลย แต่เอาล่ะ ได้เวลาเท่านี้ก็เป็นสัญญาณที่ดี พอวิ่งกิโลฯ ต่อมาก็เลยชะลอ ๆ หน่อย เพราะต้องคอยปรับท่าวิ่งเรื่องการลงเท้าด้วย

ต่อมาวันจันทร์ วิ่งเป็นครั้งที่สอง เวลากิโลฯ แรกออกมา เหยดดดดดดด ๕.๒๓ นาที อันนี้เริ่มคิดแล้ว เอ๊ะ เพราะกูยังไม่ชินรองเท้า เลยปรับจังหวะไม่ถูกหรือเปล่าวะ กิโลฯ ต่อมาก็เหมือนเมื่อวาน คือ ชะลอลง มาใส่ใจกับจังหวะการลงเท้ามากขึ้น เพราะยังไม่ค่อยชินดี

พักวันนึง วิ่งครั้งที่สามวันพุธ คราวนี้ถึงกับต้องร้อง เจ๊ดเข้!!! แม่มเกินไปละ เวลาออกมา ๕.๑๐ นาที เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย พี่ไม่เชื่อ แค่เปลี่ยนรองเท้า เวลาพี่ขยับขนาดนี้เลยเหรอ เรื่องนี้เล่าสู่กันฟังไว้ก่อน แต่ยังไม่ขอสรุป เดี๋ยวขอเก็บข้อมูลระยะยาวสักนิด รอให้ชินรองเท้าก่อน ได้ผลยังไงจะมาอัปเดตกันอีกที

inside nike free 4.0 flyknitแผ่นรองเท้าด้านใน (ถอดออกได้) เขียนไว้ชัดเจนว่าเป็น Barefoot Ride นะฮะ

สำหรับเรื่องความรู้สึกของการใช้งาน รู้สึกได้ชัดว่าเท้ามีอะไรรองรับมากขึ้น (เมื่อเทียบกับคู่เดิม) การปรับท่าวิ่งให้เอากลางเท้าลงรู้สึกว่าทำได้ง่ายกว่าคู่เดิม คู่นี้ถ้าดูข้อมูลน้ำหนักจะมากกว่าคู่เดิมนิดนึงแต่ตอนใช้งานจริงก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แล้วก็มีสิ่งที่ยังไม่ชินอย่างที่บอกไปแล้วคือ รู้สึกมีอะไรหนุนตรงช่วงกลางฝ่าเท้าอยู่ บอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี เอาเป็นว่าไม่ชินนะฮะ…

หมายเหตุ : แจ้งเอาไว้นิดนึงเผื่อใครสงสัย รองเท้าคู่นี้ซื้อเองด้วยเงินตัวเอง ไม่ได้ฟรี ไม่ได้ส่วนลดพิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น (สลิปบัตรเครดิตยังอยู่เลย) เพราะฉะนั้นไม่มีไทอินแน่นอนฮะ

nike free 4.0 flyknit

มาวิ่งกันเถอะ

nike free 4.0 flyknit

ผมเพิ่งซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จะเอามาใช้แทนคู่เดิมที่โทรมไปตามการใช้งาน (พื้นสึกส้นก็สึก) จะว่าไปจริง ๆ ก็ยังใช้ได้อยู่หรอก แต่คนเราบางครั้งก็พ่ายแพ้ให้แก่กิเลสบ้างเหมือนกัน ก็ได้แต่แก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ ว่า เอาวะ ถึงจะจ่ายเงินไปหลายพันแต่ก็เอามาใช้งานจริง ๆ แถมยังใช้เพื่อสุขภาพด้วย ดีกว่าเอาไปทำอย่างอื่นน่า

ข้อแก้ตัวนี้เป็นเรื่องจริง ต้องเล่าย้อนหลังกันนิดนึงว่า แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยออกกำลังกายแบบจริงจังได้เลย จนกระทั่งเมื่อประมาณสามหรือสี่ปีก่อนที่เริ่มมาคิดว่า ถ้าหาก (กู) ไม่ทำอะไรกับสุขภาพตัวเองซะบ้าง แก่ตัวไปเกิดเป็นโรคอะไรขึ้นมาท่าจะลำบาก ต่อให้บรรลุเป้าหมายมีอิสรภาพทางการเงิน แต่นอนพะงาบอยู่บนเตียงตลอดวันนี่ไม่ไหวแน่ คิดได้อย่างนี้ก็เลยเกิดลูกฮึดที่จะออกกำลังกายขึ้นมา

หมายเหตุ ๑ : ข้อความหลังจากนี้เป็นความเชื่อของผมล้วน ๆ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือคล้อยตาม บางเรื่องอาจมีเหตุผลรองรับ บางเรื่องก็ไม่มี แต่ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความคิดกันนะฮะ

หลังจากคิดสะระตะอะไรหลายอย่างแล้ว สรุปว่า วิ่งนี่แหละวะน่าจะดีที่สุด ด้วยเหตุผลว่า หนึ่ง เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (ไม่อธิบายนะฮะ ลองเสิร์ชดูเอาเอง) สอง ได้เหงื่อ (อันนี้สำคัญ เพราะเคยไปหัดโยคะแล้วเจอปัญหาว่า เล่นแล้วเหงื่อไม่ออก รู้สึกมันอึดอัดมาก อารมณ์เหมือนคนปวดขี้แต่ขี้ไม่ออก ประมาณนั้น – แต่จริง ๆ โยคะนี่ก็ดีนะ)

สาม ถูก (หรือจะว่าประหยัดก็ได้) ใช้เสื้อยืดที่มีอยู่แล้ว กางเกงขาสั้นก็มี ซื้อรองเท้าดี ๆ คู่เดียวก็พอ ค่าสนามค่าสระไม่ต้องเสีย ค่าลูกไม่มี สี่ เล่นคนเดียวได้ นี่ก็จำเป็น เพราะทุกวันนี้ไม่มีใครคบ จะเล่นอะไรที่เป็นกลุ่มเป็นทีมกว่าจะนัดกันได้ครบ เหนื่อยกว่าอีก จะออกไปวิ่งนี่จะไปตอนเช้าก็ได้ เย็นก็ได้ ไม่ต้องรอใคร ห้า สะดวก ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล วิ่งในหมู่บ้านได้เลย ไม่ต้องกลัวเจอโจทย์ หรือจะมีใครดักตีหัว ได้ห้าข้อนี่ก็พอล่ะ

ข้อสี่กับข้อห้านี่สำคัญมาก โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้น ลองไปถามคนรอบตัวดูเถอะอย่างน้อยต้องมีสักครึ่งนึงแหละที่บอกว่าอยากจะออกกำลังกาย แต่ที่ไม่สามารถทำได้เพราะปัจจัยที่คอยขัดขวางมันเยอะ บ้างก็ไม่มีเวลา บ้างก็ไม่มีเพื่อน บางคนไม่มีอุปกรณ์ บางคนสนามอยู่ไกล บางคนเจอแม่มหลายอย่างที่ว่ามานี่เลย สรุปว่าอยากทำแต่ไม่ได้ทำซักที เพราะอย่างนี้ก็เลยต้องพยายามหาวิธีออกกำลังกายอะไรที่มีปัจจัยขัดขวางน้อยที่สุด เพื่อให้เริ่มได้ง่ายและทำได้ต่อเนื่อง อันนี้ก็แล้วแต่วิธีใครวิธีมันนะฮะ

ได้ข้อสรุปมาแบบนี้ แต่เพื่อความแน่ใจมันก็ต้องลองดูก่อน เพื่อเป็นการเช็ก proof of concept ก็เลยไปซื้อรองเท้าวิ่งธรรมดา ๆ มาคู่นึง เอาแบบไม่แพง ไม่เกินสองพัน เพื่อที่ว่าถ้าลองวิ่งแล้วไม่ใช่จะได้ไม่เสียดายเงิน ก็ซื้อ new balance มาใช้เพราะได้ยินว่า มีไซส์ที่หน้าเท้ากว้าง วิ่งแล้วจะได้ไม่รัด ไม่อึดอัด ลองวิ่งดูได้สักอาทิตย์ก็ใช่แล้วเว้ย วิ่งนี่แหละ รอดแน่

พอตัดสินใจว่าจะวิ่ง มันก็น่าจะจบแต่ยังไม่จบ เพราะมีเสียงเตือนกันเยอะเรื่องอายุเริ่มเยอะมาวิ่งให้ระวังเข่าจะมีปัญหา ทีนี้ก็จำได้ว่า เมื่อหลายปีก่อนมีพี่ที่สำนักเดียวกันทำบทความการออกกำลังกายของผู้บริหารคนไทยที่อยู่ธนาคารต่างชาติคนนึง ตอนนั้นแกอายุห้าสิบกว่าแล้วมั้ง แกออกกำลังกายด้วยการวิ่งแล้วแกบอกว่า มันมีวิธีที่วิ่งแล้วไม่เป็นอันตรายกับเข่า คือ วิ่งอย่าเอาส้นเท้าลง ซึ่งแกต้องฝึก พอฝึกได้แล้วทีนี้ก็สบาย วิ่งได้วิ่งดี

ปัญหาคือ แกไม่ได้บอกว่าฝึกยังไง (ฟระ?) ก็เลยเสิร์ชเอาในเน็ต เสิร์ชไปเสิร์ชมาก็เจอข้อมูลผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย Harvard ว่า การวิ่งโดยเอาเท้าส่วนหน้าหรือกลางเท้าลงพื้น (เขาเรียกงี้เปล่าไม่รู้นะ แปลมาจาก forefoot strike หรือ midfoot strike) จะมีแรงที่เกิดขึ้นน้อยกว่าการเอาส้นเท้าลง (heel strike) ซึ่งอาจจะ (อาจจะนะ) ส่งผลให้มีโอกาสบาดเจ็บน้อยลงตามไปด้วย

ดูข้อมูลพวกนี้แล้ว ก็เชื่อตามเค้านะ ทีนี้พอจะวิ่งแบบนี้มันก็ต้องหารองเท้าวิ่งที่เหมาะกับสไตล์นี้ด้วย เพราะรองเท้าวิ่งส่วนใหญ่ที่ขายกันอยู่ทำมาเน้นให้วิ่งเอาส้นเท้าลง (พวกที่มีส้นหนา ๆ ที่เอาไว้รองรับแรงกระแทกทั้งหลาย) ซึ่งมันไม่เอื้อกับการวิ่งแบบเอาหน้าเท้าหรือกลางเท้าลง นี่เองจึงเป็นที่มาของการหาข้อมูลรองเท้าก่อนซื้อ

เลือกไปเลือกมาสุดท้ายเหลือสองตัวเลือกต้องไปลองของจริงคือ new balance minimus road 10V2 กับ nike free 4.0 ลองใส่ทั้งสองคู่ วิ่งอยู่ในซูเปอร์สปอร์ต คนแม่มก็มอง ไอ้ห่านี่ทำอะไร เราก็ไม่สนใจ กูมาซื้อรองเท้าวิ่ง กูก็ต้องลองวิ่งสิวะ สุดท้ายตัดสินใจเลือก new balance เพราะถูกกว่า เฮ้ย ไม่ใช่ เพราะใส่สบายกว่า แล้วที่สำคัญ แม่มโคตรเบา เบามากกกกกกก ตอนหาข้อมูลซื้อคู่ใหม่นี่ยังไม่เจอคู่ไหนเบาได้เท่าคู่นี้อีกเลยนะ ทั้งสองข้างหนักรวมกัน ๑๘๔ กรัม ข้างนึงไม่ถึงขีดอ่ะ

newbalance minimus road 10v2สภาพปัจจุบัน วิ่งมาแล้วพันกว่ากิโลฯ

ใช้รองเท้าคู่นี้มาตลอด รวมระยะแล้วพันกว่ากิโลฯ จนกระทั่งมีเหตุให้หยุดวิ่งไปปีกว่า ๆ ช่วงนี้กลับมาวิ่งใหม่ก็เกิดกิเลส จริง ๆ คู่นี้ก็ยังใช้ได้อยู่แหละ แต่อยากได้คู่ใหม่ไง เลยมานั่งหาข้อมูลอีกรอบ ทีแรกก็ว่าจะเอารุ่นใหม่ของคู่เดิมคือ minimus road 10V3 แต่เท่าที่เช็กดูไม่เห็น new balance เอารุ่นนี้เข้ามาขาย ก็กลับมาหาข้อมูลใหม่ เลือกไปเลือกมาดูสารพัดยี่ห้อ เปิดดูเว็บรีวิวเว็บโน้นเว็บนี้ ดู youtube เปรียบเทียบ เลือกคู่เปรียบมาได้สองรุ่น เหมือนรีแมทช์ครั้งที่แล้วเลยนะ เพราะอันดับหนึ่งที่จะไปลองเป็น new balance 1500 เบอร์สองเป็น nike free 4.0 flyknit ไปถึงซูเปอร์สปอร์ต พนักงานบอกไม่มี รุ่นนี้ไม่ได้เอาเข้ามา เราก็อะไรวะ เดินออกไปที่ช็อป พนักงานก็บอกว่าไม่มีเหมือนกัน อ้าวเลยทีนี้

nike_4_flyknit_2สีสองข้างไม่เหมือนกันซะทีเดียว พนักงานบอกว่า อันนี้ปกติ

nike free 4.0 flyknit outsoleอันนี้พื้นรองเท้า ที่เห็นดำ ๆ นั่นไม่ใช่อะไร เอาไปวิ่งมาแล้วครั้งนึงฮะ

สุดท้ายเดินเข้าช็อป nike กะว่าไปลองดูก่อน ถ้าไม่ชอบก็ไม่เอา แต่ปรากฎว่าชอบแฮะ ก็เลยเรียบร้อยโรงเรียน nike ไปด้วยประการฉะนี้…

หมายเหตุ ๒ : ที่เล่ามายืดยาวนี่ไม่ได้มีเจตนาจะอวดอะไร แค่อยากบอกเล่าวิธีคิดที่มาออกกำลังกายด้วยการวิ่งและวิธีคิดในการซื้อรองเท้าวิ่ง รวมทั้งข้อมูลที่หามาได้ เผื่อว่าใครที่กำลังคิดจะซื้อรองเท้าวิ่งอยู่พอดีจะได้ประหยัดเวลาหรือเอาไปต่อยอดอะไรได้นะฮะ

หมายเหตุ ๓ : จะเห็นได้ว่าอะไรบางอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่เราตั้งใจ เราอุตส่าห์วางแผน หาข้อมูลมาอย่างดิบดี บางทีมันก็มีเหตุให้ไม่เป็นไปตามที่หวังและตั้งใจได้เสมอ เหมือนอย่างที่พระท่านบอกว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เรื่องนี้ฝรั่งมันถึงกับสรุปออกมาเป็นกฎเลยนะ เรียกว่า Murphy’s Law บอกว่า Anything that can go wrong, will go wrong. แปลเป็นไทยแบบเด็กบ้านนอกอย่างผมได้ว่า อะไรที่แม่มจะผิดพลาดได้ แม่มก็จะผิดพลาดจนได้แหละน่า พอเรารู้อย่างนี้ สิ่งที่ตามมาก็คือ การวางแผนสำรอง มีแผนสองเตรียมเอาไว้กรณีที่แผนแรกมันไม่เป็นอย่างที่คิด จังหวะจะได้ไม่สะดุด นั่นล่ะฮะ ท่านผู้ชมฮะ

หมายเหตุ ๔ : อันนี้เป็นเก็บตกจากการหาข้อมูล ได้ยินมาหลายเสียงว่ารองเท้ายี่ห้อนึงดีมาก ๆ ใช้ gel ในการซับแรงกระแทก ชูเรื่องนี้เป็นจุดขาย ก็เลยนั่งหาข้อมูล ปรากฎว่า ตึ่งโป๊ะ!!

ไปเจอเว็บรีวิวรองเท้าวิ่งที่ลงทุนผ่ารองเท้ายี่ห้อนี้ให้ดูว่า gel ที่ว่าดีน่ะยังไง ยังไงจ๊ะ ผลที่ได้คือตามรูปจ้ะ

ฝรั่งใช้คำว่า marketing scam นะฮะ คือใช้ gel ก้อนเท่าขี้แมวอยู่สองก้อนเท่าที่เห็นนั่นล่ะ อารมณ์ประมาณเราเห็นโฆษณาแฮมเบอร์เกอร์ทางทีวี เนื้องี้ฉ่ำ juicy มาก ผักก็ดูสดกรอบน่ากินอิ๊บอ๋าย พอไปถึงที่ร้าน เฮ้ย เนื้อไหงมันแห้งงี้อ่ะ ผักก็เหี่ยว อี๋เลย

แต่ถึงยังงั้นนะในส่วนที่ด่าคนรีวิวมันก็ด่า แต่ก็สรุปให้คะแนนออกมาในเกณฑ์ดีใช้ได้ เพราะอย่างอื่นมันก็โอเคอยู่