บทสัมภาษณ์เจ้าของร้านหนังสือเดินทาง

อำนาจ รัตนมณี เจ้าของร้านหนังสือเดินทางอำนาจ รัตนมณี เจ้าของร้านหนังสือเดินทาง

 สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า สัมภาษณ์คุณอำนาจ รัตนมณี เจ้าของร้านหนังสือเดินทาง ถึงมุมมองที่มีต่อร้านหนังสืออิสระในยุคที่อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์กำลังประสบปัญหา ในฐานะผู้มีประสบการณ์ตรงที่ไม่เพียงอยู่รอด แต่ยังสามารถยืนระยะอยู่ได้จนมีอายุ ๑๕ ปีแล้ว แม้วันนี้จะต้องย้ายจากทำเลเริ่มต้นบนถนนพระอาทิตย์มาอยู่บนถนนพระสุเมรุ แต่มิตรรักนักอ่านก็ยังติดตามมาแวะเวียนไม่ขาดสาย

บทสัมภาษณ์นี้อาจช่วยจุดประกายให้ใครที่มีฝัน สามารถเดินไปสู่ความฝันได้โดยไม่ต้องเลิกราไประหว่างทางนะครับ

http://thaipublica.org/2016/03/print-7/

ติดตาม facebook ของ What We Read Blog ได้ที่ https://www.facebook.com/whatwereadblog

รีวิวหนังสือ : Flash Boys – เมื่อเวลา (เสี้ยววินาที) เป็นของมีค่า (มหาศาล)

Flash Boys

ตามที่เล่าไว้แล้วว่าปีนี้จะมุ่งอ่านหนังสือ non-fiction เป็นหลัก ประเดิมเล่มแรกของปีด้วยเล่มนี้ครับ Flash Boys ที่เคยมีผู้หลักผู้ใหญ่คนนึงแนะนำว่า ดี น่าอ่าน (จากโพสต์นี้ครับ) พอจบเล่มส่งท้ายปีที่แล้วเรียบร้อยก็หยิบเล่มนี้มาต่อเลย

Flash Boys เป็นผลงานของ Michael Lewis พี่คนนี้เป็นหนึ่งในนักเขียนด้านการเงินที่ดีและดังที่สุดคนนึงของโลก เขียนเข้าใจง่าย ใช้ภาษาอ่านสนุก ไม่น่าเบื่อ ผลงานแต่ละเล่มติดระดับเบสต์เซลเลอร์แทบทั้งนั้น เอาที่ดัง ๆ ไล่มาตั้งแต่เล่มแรกที่เป็นผลงานสร้างชื่อ คือ Liar’s Poker ที่เล่าถึงชีวิตการทำงานที่ Salomon Brothers (ซึ่งในวันนั้นเป็นเจ้าพ่อตลาดบอนด์ของโลก) เป็นเล่มแรก ๆ ที่คนวอลล์ สตรีตออกมาเขียนหนังสือเล่าเรื่องราวในแวดวงวอลล์ สตรีต

เล่มนี้ขายดิบขายดีและดังถึงขนาดที่ว่า ในช่วงทศวรรษ ๑๙๙๐ พูดกันว่า ก่อนเข้าทำงานในวอลล์ สตรีตต้องอ่านหนังสือสองเล่มและดูหนังเรื่องนึงก่อนเพื่อจะได้เข้าใจวัฒนธรรมของวงการนี้ หนังสือสองเล่มที่ว่าก็คือ Liar’ Poker กับ The Bonfire of the Vanities (ของ Tom Wolfe) ส่วนหนังก็แน่นอน Wall Street ของเฮียโอลิเวอร์ สโตน นะฮะ

ผลงานของพี่ลิวอิสยังมี Money Ball เล่มนี้ขายดีระเบิดระเบ้อและมีการสร้างเป็นหนังมีพี่แบรด พิตต์ แสดงนำ

แล้วก็มี The Blind Side ที่เป็นเรื่องราวในแวดวงอเมริกันฟุตบอล ที่เอามาสร้างหนังเหมือนกันแล้วก็ส่งให้ป้าแซนดร้า บูลล็อกได้ออสการ์ไป

ล่าสุดที่เพิ่งเข้าโรงบ้านเราไปไม่นานก็ The Big Short ที่เป็นเรื่องราวของแฮมเบอร์เกอร์ ไครซิสเมื่อหลายปีก่อน หนังสือเล่มนี้ต้องบอกว่า อธิบายที่มาและสาเหตุของวิกฤติครั้งนั้นให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดจากที่อ่านมาหลายเล่ม

(จริง ๆ ยังมีเล่มอื่นอีก แต่แค่นี้ก็คงพอเห็นฝีมือของพี่เค้านะฮะ)

กลับมาที่ Flash Boys เล่มนี้ว่าด้วยเรื่องของตลาดหุ้นที่สหรัฐฯ ประเด็นก็คือ หลายปีที่ผ่านมานักลงทุนที่สหรัฐฯ เจอปัญหาว่า เวลาส่งคำสั่งซื้อไปที่ตลาดหุ้นแล้ว ปรากฎว่า หุ้นที่เห็น ๆ อยู่ว่ามีออร์เดอร์ขายอยู่เพียบมันกลับหายไปเฉย ๆ หายไปต่อหน้าต่อตาเลย ถ้ายังอยากได้ก็ต้องขยับราคาให้สูงขึ้นถึงจะซื้อได้ ในทางกลับกัน เวลาส่งคำสั่งขายไป ไอ้ยอดบิดที่เห็นอยู่บนจอมันก็หายไปซะงั้น ขายไม่ได้จ้า ถ้าอยากขายต้องลดราคาลงมาอีก เจอแบบนี้กันถ้วนหน้า นี่ว่ากันระดับนักลงทุนสถาบันด้วยนะ ไม่ใช่นักลงทุนรายย่อยแบบเรา ๆ ท่าน ๆ แล้วทุกคนก็หาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้

ในที่สุดก็มีคนกลุ่มนึงที่มานั่งสืบสาวราวเรื่องปะติดปะต่อจนรู้ได้ว่า มันมีนักลงทุนกลุ่มนึงที่สหรัฐฯ เรียกกันว่าพวก High-frequency trading firm (อันนี้จนใจ ไม่รู้จะแปลยังไงครับ ใครมีคำแปลดี ๆ ช่วยบอกมาด้วยละกัน ตอนนี้เท่าที่คิดได้ ขอเรียกว่า นักลงทุนแบบเทรดถี่ คือ จากพฤติกรรมมันเทรดกันถี่ยิบ ก็ตรงตามชื่อว่า high frequency trading นะ) นักลงทุนกลุ่มนี้สามารถนำเอาสัจธรรมที่ว่า “เวลาเป็นของมีค่า” มาทำให้เป็นรูปธรรมได้ แต่เวลาที่ว่านี่ไม่ได้นับกันเป็นนาทีหรือวินาที แต่ว่ากันที่ระดับ หนึ่งในพัน หรือหนึ่งในล้านของวินาที เร็วกว่ากระพริบตาอีก

สิ่งที่นักลงทุนพวกนี้ทำก็คือ มันคอยจับสัญญาณว่ามีใครซื้อหรือขายหุ้นตัวไหน แล้วชิงส่งคำสั่งซื้อ/ขายไปตัดหน้า เพื่อกว้านซื้อหุ้นเอาไว้ก่อนหรือชิงขายหุ้นออกก่อน โดยที่สามารถทำทั้งหมดนี้ได้ในเวลาที่ว่านั่นแหละ หนึ่งในพันหรือในล้านของวินาที วิธีแบบนี้เรียกกันว่า flash trade (ส่วนที่ว่าทำไมถึงชิงตัดหน้าชาวบ้านได้ อันนี้ต้องไปอ่านเองนะครับ สนุกมาก)

ทีเด็ดของการทำแฟลช เทรดก็คือ นักลงทุนที่ถูกเทรดตัดหน้าก็ไม่รู้ตัว ไม่รู้เรื่อง (เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมากอย่างที่ว่า) แล้วคนทำก็ได้กำไรทุกครั้งที่เทรด โดยมีการคำนวณว่า กำไรของพวกไฮ ฟรีเควนซี่ เทรดดิ้ง เฟิร์มพวกนี้จะตกอยู่ที่ประมาณวันละ ๑๖๐ ล้านเหรียญ ต่อวันนะครับ นี่เฉพาะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประเทศเดียว ปีนึงเทรดกันกี่วันก็คูณเพิ่มเข้าไป

ทีนี้พอสืบจนรู้แล้วว่าเรื่องราวมันเป็นไงมาไง ก็มีความพยายามที่จะแก้ปัญหานี้ด้วยการตั้งตลาดหุ้นใหม่ขึ้นมา (สหรัฐฯ มีตลาดหุ้นหลายแห่ง ใครอยากตั้งก็ตั้งได้ถ้าผ่านข้อกำหนดที่ทางการตั้งเอาไว้) ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะระบบเดิมที่เป็นอยู่ทุกคนที่เกี่ยวข้องล้วนได้ประโยชน์กันหมด ตั้งแต่ตัวไฮ ฟรีเควนซี่ เทรดดิ้ง เฟิร์ม บรรดาโบรกเกอร์ ไปจนถึงตลาดหุ้น (ซึ่งอยู่ในฐานะบริษัทที่ต้องทำกำไรให้ผู้ถือหุ้น) ส่วนคนเสียประโยชน์มีแค่นักลงทุนฝ่ายเดียว

รายละเอียดมากกว่านี้อยากให้ลองอ่านดู สนุกมาก ได้ความรู้เพียบ แต่ถ้าไม่มีพื้นเรื่องตลาดหุ้นมาก่อนอาจมีงง ๆ อยู่บ้าง

เล่มนี้แนะนำเลย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้ ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสมาเกิดในบ้านเรา รู้ไว้ก่อนจะได้เป็นการเตรียมตัวสู้ศึกในวันข้างหน้าครับ

ปีนี้ตั้งใจจะอ่านหนังสือ non-fiction

หนังสือวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๗

ต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะอ่าน “หนังสือ” (อ่านได้จากโพสต์นี้ครับ) ซึ่งก็ทำได้เกินกว่าเป้าที่ตั้งเอาไว้เล็กน้อย คือ อ่านไปได้ทั้งหมด ๑๕ เล่มจากที่ตั้งเป้าเอาไว้ ๑๒ เล่ม แต่พอนั่งดูรายการหนังสือที่อ่านไปแล้วมี เอ๊ะ นิดนึง ก็คือ ถ้าตัด Offscreen ที่เป็นนิตยสารออกไปแล้ว (จริง ๆ มีนิตยสารเล่มอื่นอีก แต่ไม่เอามานับรวม) ที่เหลือเป็นนิยายทั้งนั้นเลย จะเป็นผลงานของนักเขียนไทยหรือต่างชาติก็แล้วแต่ ไม่ได้ ไม่ได้ ปีนี้มันต้องท้าทายยิ่งขึ้น (แปลว่า “คึก”)

ผมก็เลยตั้งเป้าว่า ปีนี้จะอ่านหนังสือ non-fiction (ไม่รู้จะเรียกยังไง ขอเรียกทับศัพท์แบบนี้แล้วกันนะครับ) เป็นหลัก ถ้าจะมีหลุดนิยายมาก็จะต้องเป็นเล่มที่พิเศษมากกกกกก กูอยากอ่านจริง ๆ อะไรแบบนี้ แล้วก็ตั้งเป้าจำนวนเอาไว้ด้วยเลยว่า อย่างน้อยต้องได้ ๑๒ เล่ม คือเฉลี่ยเดือนละเล่มเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าหนังสือประเภทนี้มันจะอ่านได้ช้ากว่านิยายก็เถอะ

จะทำได้แค่ไหน เดี๋ยวปลายปีมาสรุปอีกทีครับ

หมายเหตุ : ภาพนี่เอามาประกอบเฉย ๆ นะครับ ยังไม่ได้คิดว่าจะอ่านเล่มที่เห็นในภาพหรือเปล่านะ

 

ส่วนหนังสือที่อ่านปีที่แล้ว ๑๕ เล่ม มีอะไรบ้าง ตามรายการนี้เลยครับ

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘ : Gone Girl

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘ : ระวังหลัง

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘ : Offscreen

หนังสือเล่มที่สี่ของปี ๒๕๕๘ : กับดักฆาตกร

หนังสือเล่มที่ห้าของปี ๒๕๕๘ : แกล้ง

หนังสือเล่มที่หกของปี ๒๕๕๘ : ลวง

หนังสือเล่มที่เจ็ดของปี ๒๕๕๘ : สารวัตรเถื่อน

หนังสือเล่มที่แปด & เก้าของปี ๒๕๕๘ : แม่ลาวเลือด

หนังสือเล่มที่สิบของปี ๒๕๕๘ : สาบสูญ

หนังสือเล่มที่ ๑๑ ของปี ๒๕๕๘ : ผู้ยิ่งใหญ่

หนังสือเล่มที่ ๑๒ ของปี ๒๕๕๘ : ห้องสมควรตาย

หนังสือเล่มที่ ๑๓ ของปี ๒๕๕๘ : ตามล่านาซี

หนังสือเล่มที่ ๑๔ และ ๑๕ ของปี ๒๕๕๘ : คดีเจ็ดแพะ & คดีศพล่องหน

 

สาเหตุที่ Ghost ย้ายจากอังกฤษมาสิงคโปร์ (ไม่มาไทย)

Why Ghost is moving to Singapore?

เรื่องนี้น่าสนใจ ใช้เป็นกรณีศึกษาสำหรับประเทศไทยได้เลย อยากให้อ่าน

เรื่องก็คือ ซีอีโอของ Ghost มาเขียนเล่าถึงการตัดสินใจย้ายบริษัทจากการจดทะเบียนที่อังกฤษมาเป็นบริษัทสิงคโปร์ (แต่ตัวก็ยังอยู่ที่อังกฤษ) ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ความวุ่นวายด้านภาษีของ EU และความเฮงซวยของหน่วยงานด้านภาษีของอังกฤษ (เทียบได้กับกรมสรรพากรของไทย อ้อ หมายถึงเทียบทางด้านหน้าที่นะฮะ ไม่ใช่ด้านความเฮงซวย)

ซีอีโอคนนี้เล่าถึงปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาว่าจะย้ายบริษัทไปอยู่ที่ไหน มีสี่ห้าข้อด้วยกัน หลังจากพิจารณามาปีนึงเต็ม ๆ ได้ข้อสรุปว่า สิงคโปร์เวิร์กที่สุด เพราะนอกจากจะตอบโจทย์ทุกข้อที่ต้องการแล้ว ยังมีข้อดีที่ไม่ได้คิดไว้อีกหลายประการ

ตรงนี้แหละที่จี๊ดมาก อ่านแล้วสะอึกนะฮะ ยกมาให้ดูโดยไม่แปลนะ

– Singapore is ranked #1 globally by the World Bank for ease of doing business.
– Ranked #1 in the world for economic investment potential
– Ranked #1 in the world for best business environment
– Ranked #1 in the world for transparency of government policymaking
– Ranked #1 in the world for public trust in politicians
– Ranked #3 in the world least corrupt economy
– Ranked #3 in the world for quality of education

ขอไม่เอาข้อมูลของประเทศที่ภาคภูมิใจกับการเคลมว่า ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมาเปรียบเทียบกันนะ

ถามว่า เรื่องพวกนี้สำคัญยังไง?

มันสำคัญก็เพราะโลกยุคใหม่เป็นโลกที่แต่ละประเทศต้องแข่งกันสร้างแรงดึงดูดธุรกิจและเงินทุนเข้ามาในประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต ทั้งที่เป็นเงินลงทุนในตลาดเงินตลาดทุน และที่มาลงทุนตั้งบริษัทตั้งโรงงาน แบบ foreign direct investment (ใครที่คิดว่าไม่จริง เราอยู่ของเราเองได้ หันไปดูพม่านะครับ ขนาดปิดประเทศมา ๕๐ ปี วันนี้ยังต้องยอมเปิดเลย นี่มันเป็นกระแสโลก คุณฝืนไม่ได้หรอก ตอนนี้เหลือแค่เกาหลีเหนือเองมั๊งที่ยังปิดตัวเองอยู่) การคอร์รัปชั่น เสถียรภาพทางการเมือง ระดับการศึกษา ฯลฯ อะไรพวกนี้มันเป็นปัจจัยที่บริษัทต่างชาติเขาพิจารณากัน

ถึงตรงนี้แล้วก็นึกถึงเรื่องลูกเทพ เรื่องคนกราบไหว้หมาสองหาง ควายห้าขา ฯลฯ หันกลับไปมองที่ภาครัฐเผื่อว่าจะสู้เขาได้ อ้าว ชิบหาย ข้าราชการเบี้ยวหนี้กยศ. หลายหมื่นคนแถมอยู่ในกระทรวงการคลังเป็นพันคน

กูดูมิสเตอร์บีนแก้เครียดดีกว่า…

รายละเอียดคลิกอ่านจากในลิ้งก์ด้านล่างเอานะ

หมายเหตุ : Ghost เป็นบริษัทที่ทำบล็อกแพล็ตฟอร์ม ตัวซีอีโอออกมาจาก WordPress เพราะเห็นว่า WordPress ชักจะเยอะไปแล้ว (เยอะไปในที่นี้หมายถึงทำอะไรมากขึ้นจนเป็น Content Management System ในขณะที่พี่คนนี้อยากโฟกัสอยู่ที่ Blogging Platform) ใครที่สนใจก็ลองดูที่เว็บพี่เค้าได้นะฮะ

https://blog.ghost.org/moving-to-singapore/

หนังสือที่ CEO แนะนำ (และแจก) ให้อ่าน

แค่ทำให้คนเก่งขึ้น ๑% คุณก็จะทำงานน้อยลง ๙๙%
เมื่อวานมีโอกาสได้เข้าฟังนโยบายจากซีอีโอ และผู้เข้าร่วมฟังนโยบายทุกคนได้รับแจกหนังสือ แค่ทำให้คนเก่งขึ้น ๑% คุณก็จะทำงานน้อยลง ๙๙% (ตามภาพด้านบนครับ)

ซีอีโออธิบายว่า เมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นหนังสือสำหรับคนทำงานในระดับหัวหน้า อ่านแล้วชอบมาก เห็นว่าเป็นประโยชน์ก็เลยเอามาแจกให้บรรดาคนที่เข้าฟังนโยบาย (ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูง) ได้เอาไปอ่าน

ซีอีโอบอกว่า วลีเด็ดที่ประทับใจมากในเล่มนี้คือ หัวหน้าต้องเป็นคนที่ลูกน้องอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น แต่ไฟลุกโชน

พอพูดจบประโยคก็มีเสียงฮืออออออออออ ทั่วทั้งห้องประชุมนะครับ ตัวผมตอนนี้ยังไม่ได้อ่านเพราะติดคิวเล่มอื่นอยู่ ถ้าอ่านแล้วจะเอามาเล่าสู่กันฟังนะครับ

หนังสือที่ CEO แนะนำ (และแจก) ให้อ่าน

แค่ทำให้คนเก่งขึ้น ๑% คุณก็จะทำงานน้อยลง ๙๙%

เมื่อวานมีโอกาสได้เข้าฟังนโยบายจากซีอีโอ และผู้เข้าร่วมฟังนโยบายทุกคนได้รับแจกหนังสือ แค่ทำให้คนเก่งขึ้น ๑% คุณก็จะทำงานน้อยลง ๙๙% (ตามภาพด้านบนครับ)

ซีอีโออธิบายว่า เมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นหนังสือสำหรับคนทำงานในระดับหัวหน้า อ่านแล้วชอบมาก เห็นว่าเป็นประโยชน์ก็เลยเอามาแจกให้บรรดาคนที่เข้าฟังนโยบาย (ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูง) ได้เอาไปอ่าน

ซีอีโอบอกว่า วลีเด็ดที่ประทับใจมากในเล่มนี้คือ หัวหน้าต้องเป็นคนที่ลูกน้องอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น แต่ไฟลุกโชน

พอพูดจบประโยคก็มีเสียงฮืออออออออออ ทั่วทั้งห้องประชุมนะครับ ตัวผมตอนนี้ยังไม่ได้อ่านเพราะติดคิวเล่มอื่นอยู่ ถ้าอ่านแล้วจะเอามาเล่าสู่กันฟังนะครับ

วิธีดูแลตัวเองไม่ให้เป็นความจำเสื่อมและอัลไซเมอร์


เมื่อวานนี้มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์คุณหมอท่านนึง เป็นหมอด้านสมองจากสหรัฐฯ ที่ดังระดับโลก (ขออนุญาตไม่เอ่ยนามเพราะคุณหมอมีความร่วมมือกับโรงพยาบาลแห่งนึงของไทยด้วย) หัวข้อนึงที่ถามไปก็คือ ทำยังไงที่จะดูแลตัวเองไม่ให้เจออาการความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์

ง่ายมาก คุณหมอบอกมายังงี้ ต้องดูแลการใช้ชีวิตของตัวเอง เริ่มจากอาหารที่กิน คุณหมอใช้คำว่า ให้กินเมดดิเทอร์เรเนียน ฟู้ดส์ ซึ่งขยายความว่า ได้แก่ ปลา (ซึ่งก็คงหมายถึงปลาทะเล เพราะคนแถบเมดดิเทอร์เรเนียนคงไม่ได้กินปลาน้ำจืดจำพวกปลาช่อน ปลาสวายกันนะ) ผัก ผลไม้ และถั่วเปลือกแข็ง (หมอใช้คำว่า nut เปิดดูคำแปลแล้วมันบอกยังงี้ หมอคงไม่ให้กิน “น็อต” หรอก) ส่วนที่ควรงดคือ เนื้อแดง ซึ่งก็ได้แก่พวกเนื้อวัว เนื้อหมู อะไรแบบนี้

หมายเหตุ ข้อนี้ขอตั้งข้อสงสัยตามประสาคนขี้สงสัย ไม่รู้ว่าหมอแกตอบตามที่ศึกษามาแบบโลกตะวันตกหรือเปล่า แกอาจยังไม่เคยศึกษาพวกอาหารญี่ปุ่น เห็นคนญี่ปุ่นก็อายุยืนแล้วก็ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสุขภาพเหมือนกันนะ

ประการต่อมา หมอบอกให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการอดนอนมันมีผลต่อเซลล์สมอง

ถัดมา ให้ออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายจะทำให้เลือดมีการสูบฉีดและไหลเวียนในสมองได้ดี

ตามด้วย อย่าเครียด อันนี้ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว พูดง่ายแต่ทำยากอิ๊บอ๋าย

ประการสุดท้าย หมอบอกว่าให้ฝึกสมองเอาไว้เรื่อย ๆ ที่สำคัญคือ ต้องเป็นเรื่องที่อยู่นอก comfort zone ของตัวเอง เช่น ถ้าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องภาษาก็ให้ไปหัดภาษาใหม่ ๆ อย่างตัวหมอเองแกบอกว่า สิ่งที่แกทำตอนนี้คือ หัดขับเฮลิคอปเตอร์จ้าาาาา

แกบอกแกเป็นหมอด้านสมองอยู่แล้ว ถ้าแกมาฝึกสมองด้วยการศึกษาเรื่องสมองอีก ถึงจะเป็นเรื่องยากแต่มันก็เป็นเรื่องที่อยู่ใน comfort zone ของแกงี้ อย่างนี้ไม่ได้ผล

ง่าย ๆ ไม่กี่ข้อเท่านั้นเองนะ จา มา จ๊ะ จิง จา จ๊ะ จิง จา จ๊ะ จิง จา…

#อาการกำเริบแล้ว ขอไปกินยาก่อนนะฮะ

ความคิดจากปรากฎการณ์ “ลูกเทพ”

ปรากฎการณ์ “ลูกเทพ” ที่โด่งดังอยู่ตอนนี้ก็มีข้อดีเหมือนกันนะ มันทำให้หลาย ๆ เรื่องในสังคมไทยที่เกิดมานานจนดูเป็นเรื่องปกติไปแล้วกลายเป็นประเด็นขึ้นมา เพราะลูกเทพมาทำให้มัน “สุดขั้ว” จนเกิดการพูดคุยและถกเถียงกัน

อะไรบ้าง?

คนบอกว่า คนที่บูชาลูกเทพ มึงน่ะบ้า งมงาย ไร้สาระ มานั่งบูชาตุ๊กตา

คนที่บูชาลูกเทพบอกว่า แล้วพวกมึงไหว้พระเครื่อง ศาลพระภูมิ ราหู ปลัดขิก ฯลฯ มึงไม่บ้า?

 

คนบอกว่า คนที่บูชาลูกเทพ มึงน่ะบ้า เอาตุ๊กตาไปให้พระทำพิธี

คนที่บูชาลูกเทพบอกว่า แล้วพวกมึงให้พระเจิมบ้าน เจิมออฟฟิศ เจิมรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฯลฯ มึงไม่บ้า?

 

คนบอกว่า คนที่บูชาลูกเทพ มึงน่ะบ้า ตุ๊กตาตัวละเป็นพันเป็นหมื่น ก็ยังซื้อกันได้

คนที่บูชาลูกเทพบอกว่า แล้วพวกมึงซื้อพระเครื่ององค์ละเป็นหมื่น เป็นแสน มึงไม่บ้า?

 

คนบอกว่า คนที่บูชาลูกเทพ มึงน่ะบ้า เอาข้าว เอาน้ำไปให้ตุ๊กตากิน

คนที่บูชาลูกเทพบอกว่า แล้วพวกมึงเอาข้าว เอาน้ำไปถวายศาลพระภูมิ เอาอาหารคาวหวาน ผลไม้ไปถวายพระพุทธรูป พระอินทร์ เทพสารพัด มึงไม่บ้า?

 

บอกตรง ๆ ผมชอบเรื่องนี้มาก มันจะได้มาดูกันจริง ๆ เสียทีว่า นี่แม่มเมืองพุทธหรือเมืองผี

หนังสือเล่มที่ ๑๔ และ ๑๕ ของปี ๒๕๕๘ : คดีเจ็ดแพะ & คดีศพล่องหน

คดีเจ็ดแพะ : วินทร์ เลียววาริณ

หลังจากจบเล่มที่ ๑๓ (ตามล่านาซี) ทะลุเป้าที่ตั้งใจเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ผมก็หยิบ Flash Boys มาตั้งท่าจะอ่าน ตามที่เคยเล่าไว้ว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่ท่านนึงแนะนำว่า เล่มนี้ดี อ่านเถอะ!! (เล่าไว้ในโพสต์นี้ครับ) เปิดอ่านไปได้สักสิบหน้าเหมือนมันล้ามาจากการอ่านเล่มยาวก็เลยวางไว้ก่อน เปลี่ยนไปหยิบรวมเรื่องสั้นชุดพุ่มรัก พานสิงห์ ของพี่วินทร์ เลียววาริณ ที่เพิ่งสั่งซื้อมาเปิดอ่านก่อนดีกว่า เล่มนี้ชื่อว่า คดีเจ็ดแพะ

เกริ่นกันนิดนึงสำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องชุดพุ่มรัก พานสิงห์

พุ่มรัก นี่เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งนะครับ เป็นคนอีสาน เว้าอีสานกันเลยล่ะ แต่แกมีความสามารถพิเศษในด้านการสืบสวนคดีต่าง ๆ ก็เลยถูกตำรวจตามตัวมาช่วยไขคดีโน้นคดีนี้อยู่เป็นประจำ ตั้งแต่คดีใหญ่จำพวกฆาตกรรม จี้ ปล้น ไปจนถึงคดีอย่างลักเล็กขโมยน้อย จนดูเหมือนจะกลายเป็นงานหลักของแกไปแล้วด้วยซ้ำ จุดเด่นอีกประการของแกที่ต่างจากนักสืบดัง ๆ ของเมืองนอกอย่างเชอร์ล็อก โฮล์มส์ หรือ ปัวโรต์ ก็คือ พี่แกมีอารมณ์ขันและความกวน (อวัยวะเบื้องล่าง) อย่างล้นเหลือ

สำหรับคดีเจ็ดแพะ นี่เป็นกรณีที่ผู้ช่วยสาวของพุ่มรักถูกจับตัวไป และคนร้ายสั่งให้พุ่มรักไขคดีทั้งหมดเจ็ดคดีด้วยกัน ซึ่งแต่ละคดีจริง ๆ ก็จับตัวผู้ก่อเหตุได้แล้วและศาลตัดสินลงโทษไปแล้ว แต่คนร้ายมีเหตุที่เชื่อได้ว่า คนที่ถูกลงโทษทั้งเจ็ดคดีที่ว่าเป็น “แพะ” โดยที่คนร้ายตัวจริงยังลอยนวลอยู่ หน้าที่ของพุ่มรักในครั้งนี้คือการสืบหาตัวคนร้ายที่แท้จริงของทั้งเจ็ดคดี

โดยเมื่อไขคดีได้หนึ่งคดี คนร้ายก็จะส่งข้อมูลสถานที่ที่จับตัวผู้ช่วยของพุ่มรักมาให้ และเมื่อรวมข้อมูลที่ได้จากทั้งเจ็ดคดีแล้วก็จะรู้ได้ว่าผู้ช่วยถูกจับตัวอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น ถ้าพุ่มรักอยากได้ตัวผู้ช่วยกลับคืนมาก็ต้องไขคดีให้สำเร็จทั้งเจ็ดคดี พลาดไม่ได้เลย

ทั้งเจ็ดคดีในเล่มนี้คือที่ว่าของชื่อ คดีเจ็ดแพะ ซึ่งก็มีตั้งแต่คดีฆาตกรรม คดีฆ่าพระ คดีลักพาตัวเด็ก ฯลฯ ซึ่งแต่ละคดีมีความซับซ้อน ซ่อนเงื่อนแตกต่างกัน อ่านไปก็คิดตามไปด้วยแล้วลุ้นตอนท้ายว่า ไอ้ที่เราคิดมันจะใช่มั้ย

หลังจากที่พุ่มรักไขคดีสำเร็จทั้งเจ็ดคดีเป็นที่เรียบร้อย พี่วินทร์ยังมีบทส่งท้ายให้อ่านต่ออีกหนึ่งบท ขอไม่บอกล่วงหน้าว่าเป็นอะไร แต่บอกได้ว่า ต้องอ่านนะครับ

คดีศพล่องหน : วินทร์ เลียววาริณ

จบจากคดีเจ็ดแพะ ผมหยิบคดีศพล่องหน มาอ่านต่อเลยเพื่อความต่อเนื่อง เล่มนี้เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวเนื่องกันทั้งเล่มเหมือนเล่มที่แล้ว แต่เป็นคดีแยกกันไปเจ็ดคดี เปิดมาด้วยคดีที่เป็นชื่อเล่ม คือ คดีศพล่องหน จากนั้นก็เป็นเรื่องอื่น ๆ ทั้งคดีฆาตกรรม ตามหาคนหาย แล้วก็ตามรอยคนเจ้าชู้

สำหรับเล่มนี้ผมคิดว่าเนื้อเรื่องด้อยกว่าเล่มแรกอยู่พอสมควร ระหว่างที่อ่านมีความรู้สึกว่าหลายคดีมันเฉย ๆ อ่านแล้วไม่ได้รู้สึกว่า โห!! หรือ เฮ้ย เจ๋งว่ะ!! เหมือนเล่มก่อน ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกว่า นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะการจะคิดพล็อตเรื่องแนวนักสืบแต่ละเรื่องให้คม ให้หักมุม ให้มันซับซ้อนไปซะทุกเรื่องมันหนักหนาสาหัสอยู่มาก ถือว่าอ่านเพลิน ๆ ได้อยู่นะครับ

 

คดีเจ็ดแพะ
ผู้เขียน : วินทร์ เลียววาริณ
สำนักพิมพ์ : ๑๑๓
ราคา : ๑๙๕ บาท

คดีศพล่องหน
ผู้เขียน : วินทร์ เลียววาริณ
สำนักพิมพ์ : ๑๑๓
ราคา : ๒๑๐ บาท

 

หมายเหตุ : โพสต์นี้ตั้งใจว่าจะเขียนตั้งแต่ก่อนสิ้นปี นี่ลากยาวมาจนจะสิ้นเดือนมกราคม ไม่มีเหตุอื่นใดเลย นอกจากความขี้เกียจล้วน ๆ เลยครับ

 

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป… 

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘ : Gone Girl

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘ : ระวังหลัง

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘ : Offscreen

หนังสือเล่มที่สี่ของปี ๒๕๕๘ : กับดักฆาตกร

หนังสือเล่มที่ห้าของปี ๒๕๕๘ : แกล้ง

หนังสือเล่มที่หกของปี ๒๕๕๘ : ลวง

หนังสือเล่มที่เจ็ดของปี ๒๕๕๘ : สารวัตรเถื่อน

หนังสือเล่มที่แปด & เก้าของปี ๒๕๕๘ : แม่ลาวเลือด

หนังสือเล่มที่สิบของปี ๒๕๕๘ : สาบสูญ

หนังสือเล่มที่ ๑๑ ของปี ๒๕๕๘ : ผู้ยิ่งใหญ่

หนังสือเล่มที่ ๑๒ ของปี ๒๕๕๘ : ห้องสมควรตาย

หนังสือเล่มที่ ๑๓ ของปี ๒๕๕๘ : ตามล่านาซี

รีวิวหนังสือ : คดีเจ็ดแพะ & คดีศพล่องหน – นิยายนักสืบจากนักเขียนสองซีไรต์

คดีเจ็ดแพะ : วินทร์ เลียววาริณ

หลังจากจบเล่มที่ ๑๓ (ตามล่านาซี) ทะลุเป้าที่ตั้งใจเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ผมก็หยิบ Flash Boys มาตั้งท่าจะอ่าน ตามที่เคยเล่าไว้ว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่ท่านนึงแนะนำว่า เล่มนี้ดี อ่านเถอะ!! (เล่าไว้ในโพสต์นี้ครับ) เปิดอ่านไปได้สักสิบหน้าเหมือนมันล้ามาจากการอ่านเล่มยาวก็เลยวางไว้ก่อน เปลี่ยนไปหยิบรวมเรื่องสั้นชุดพุ่มรัก พานสิงห์ ของพี่วินทร์ เลียววาริณ ที่เพิ่งสั่งซื้อมาเปิดอ่านก่อนดีกว่า เล่มนี้ชื่อว่า คดีเจ็ดแพะ

เกริ่นกันนิดนึงสำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องชุดพุ่มรัก พานสิงห์

พุ่มรัก นี่เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งนะครับ เป็นคนอีสาน เว้าอีสานกันเลยล่ะ แต่แกมีความสามารถพิเศษในด้านการสืบสวนคดีต่าง ๆ ก็เลยถูกตำรวจตามตัวมาช่วยไขคดีโน้นคดีนี้อยู่เป็นประจำ ตั้งแต่คดีใหญ่จำพวกฆาตกรรม จี้ ปล้น ไปจนถึงคดีอย่างลักเล็กขโมยน้อย จนดูเหมือนจะกลายเป็นงานหลักของแกไปแล้วด้วยซ้ำ จุดเด่นอีกประการของแกที่ต่างจากนักสืบดัง ๆ ของเมืองนอกอย่างเชอร์ล็อก โฮล์มส์ หรือ ปัวโรต์ ก็คือ พี่แกมีอารมณ์ขันและความกวน (อวัยวะเบื้องล่าง) อย่างล้นเหลือ

สำหรับคดีเจ็ดแพะ นี่เป็นกรณีที่ผู้ช่วยสาวของพุ่มรักถูกจับตัวไป และคนร้ายสั่งให้พุ่มรักไขคดีทั้งหมดเจ็ดคดีด้วยกัน ซึ่งแต่ละคดีจริง ๆ ก็จับตัวผู้ก่อเหตุได้แล้วและศาลตัดสินลงโทษไปแล้ว แต่คนร้ายมีเหตุที่เชื่อได้ว่า คนที่ถูกลงโทษทั้งเจ็ดคดีที่ว่าเป็น “แพะ” โดยที่คนร้ายตัวจริงยังลอยนวลอยู่ หน้าที่ของพุ่มรักในครั้งนี้คือการสืบหาตัวคนร้ายที่แท้จริงของทั้งเจ็ดคดี

โดยเมื่อไขคดีได้หนึ่งคดี คนร้ายก็จะส่งข้อมูลสถานที่ที่จับตัวผู้ช่วยของพุ่มรักมาให้ และเมื่อรวมข้อมูลที่ได้จากทั้งเจ็ดคดีแล้วก็จะรู้ได้ว่าผู้ช่วยถูกจับตัวอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น ถ้าพุ่มรักอยากได้ตัวผู้ช่วยกลับคืนมาก็ต้องไขคดีให้สำเร็จทั้งเจ็ดคดี พลาดไม่ได้เลย

ทั้งเจ็ดคดีในเล่มนี้คือที่ว่าของชื่อ คดีเจ็ดแพะ ซึ่งก็มีตั้งแต่คดีฆาตกรรม คดีฆ่าพระ คดีลักพาตัวเด็ก ฯลฯ ซึ่งแต่ละคดีมีความซับซ้อน ซ่อนเงื่อนแตกต่างกัน อ่านไปก็คิดตามไปด้วยแล้วลุ้นตอนท้ายว่า ไอ้ที่เราคิดมันจะใช่มั้ย

หลังจากที่พุ่มรักไขคดีสำเร็จทั้งเจ็ดคดีเป็นที่เรียบร้อย พี่วินทร์ยังมีบทส่งท้ายให้อ่านต่ออีกหนึ่งบท ขอไม่บอกล่วงหน้าว่าเป็นอะไร แต่บอกได้ว่า ต้องอ่านนะครับ

คดีศพล่องหน : วินทร์ เลียววาริณ

จบจากคดีเจ็ดแพะ ผมหยิบคดีศพล่องหน มาอ่านต่อเลยเพื่อความต่อเนื่อง เล่มนี้เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวเนื่องกันทั้งเล่มเหมือนเล่มที่แล้ว แต่เป็นคดีแยกกันไปเจ็ดคดี เปิดมาด้วยคดีที่เป็นชื่อเล่ม คือ คดีศพล่องหน จากนั้นก็เป็นเรื่องอื่น ๆ ทั้งคดีฆาตกรรม ตามหาคนหาย แล้วก็ตามรอยคนเจ้าชู้

สำหรับเล่มนี้ผมคิดว่าเนื้อเรื่องด้อยกว่าเล่มแรกอยู่พอสมควร ระหว่างที่อ่านมีความรู้สึกว่าหลายคดีมันเฉย ๆ อ่านแล้วไม่ได้รู้สึกว่า โห!! หรือ เฮ้ย เจ๋งว่ะ!! เหมือนเล่มก่อน ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกว่า นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะการจะคิดพล็อตเรื่องแนวนักสืบแต่ละเรื่องให้คม ให้หักมุม ให้มันซับซ้อนไปซะทุกเรื่องมันหนักหนาสาหัสอยู่มาก ถือว่าอ่านเพลิน ๆ ได้อยู่นะครับ

 

คดีเจ็ดแพะ
ผู้เขียน : วินทร์ เลียววาริณ
สำนักพิมพ์ : ๑๑๓
ราคา : ๑๙๕ บาท

คดีศพล่องหน
ผู้เขียน : วินทร์ เลียววาริณ
สำนักพิมพ์ : ๑๑๓
ราคา : ๒๑๐ บาท

 

หมายเหตุ : โพสต์นี้ตั้งใจว่าจะเขียนตั้งแต่ก่อนสิ้นปี นี่ลากยาวมาจนจะสิ้นเดือนมกราคม ไม่มีเหตุอื่นใดเลย นอกจากความขี้เกียจล้วน ๆ เลยครับ

 

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป… 

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘ : Gone Girl

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘ : ระวังหลัง

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘ : Offscreen

หนังสือเล่มที่สี่ของปี ๒๕๕๘ : กับดักฆาตกร

หนังสือเล่มที่ห้าของปี ๒๕๕๘ : แกล้ง

หนังสือเล่มที่หกของปี ๒๕๕๘ : ลวง

หนังสือเล่มที่เจ็ดของปี ๒๕๕๘ : สารวัตรเถื่อน

หนังสือเล่มที่แปด & เก้าของปี ๒๕๕๘ : แม่ลาวเลือด

หนังสือเล่มที่สิบของปี ๒๕๕๘ : สาบสูญ

หนังสือเล่มที่ ๑๑ ของปี ๒๕๕๘ : ผู้ยิ่งใหญ่

หนังสือเล่มที่ ๑๒ ของปี ๒๕๕๘ : ห้องสมควรตาย

หนังสือเล่มที่ ๑๓ ของปี ๒๕๕๘ : ตามล่านาซี