ตามที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเพิ่งซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่เป็น nike free 4.0 flyknit 2015 มา (อ่านได้จากโพสต์นี้นะ มาวิ่งกันเถอะ) หลังจากใช้วิ่งมาแล้วสามครั้ง วันนี้จะมาเล่าให้ฟังเผื่อเป็นข้อมูลประกอบสำหรับคนที่สนใจนะฮะ
ออกตัวก่อนว่า ที่จั่วหัวว่าเป็นรีวิว จริง ๆ คงไม่ใช่ เพราะไม่ได้เชี่ยวในเรื่องอะไรเลย รองเท้าวิ่งนี่ก็เหมือนกัน หลักการและเหตุผลรองรับทางวิทยาศาสตร์อะไรก็ไม่มี เอาเป็นว่ามาเล่าให้ฟังว่าใช้แล้วรู้สึกยังไงจะตรงกว่า
(update: อ่านรีวิวหลังจากใช้วิ่งมา ๓๗๐ กิโลเมตร ได้ที่นี่ครับ รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 หลังวิ่งรวม ๓๗๐ กิโลฯ)
เอาตรงที่มาก่อน nike ออกแบบรองเท้ารุ่น free มาเพื่อจับกลุ่มนักวิ่งที่อยากได้ฟีลในการวิ่งแบบเท้าเปล่า (barefoot) ซึ่งเป็นกระแสที่มาแรงมากเมื่อสักห้าหกปีก่อน กระแสที่ว่านี้เริ่มมาจากหนังสือเล่มเดียวเลย คือ Born to Run เขียนโดยคุณพี่ Christopher McDougall (ชื่อหนังสือเต็ม ๆ ยาวกว่านี้ ถ้าใครสนใจลองเสิร์ชดูนะฮะ ใส่ชื่อหนังสือกับชื่อคนเขียนไปแค่นี้ เจอแน่นอน) คอนเซ็ปต์ไอเดียของหนังสือเล่มนี้ก็คือ จริง ๆ แล้ว มนุษย์เราเกิดมาเพื่อวิ่งเท้าเปล่า หรือมีรองเท้าบาง ๆ รองฝ่าเท้าก็พอแล้ว
แต่พออุตสาหกรรมรองเท้าวิ่งยุคใหม่เริ่มถือกำเนิดขึ้น (อันนี้เขาบอกว่าประมาณปี ๒๕๑๕) ก็เริ่มมีการพัฒนาพื้นรองเท้าให้รองรับแรงกระแทกโน่นนี่นั่น มีการหนุนพื้นให้หนาขึ้น แต่กลายเป็นว่ามีนักวิ่งจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง คุณพี่แมกดูกัลล์ก็เป็นหนึ่งในนั้นและเมื่อศึกษามากเข้าก็ลงความเห็นว่า เป็นเพราะรองเท้าวิ่งนี่เอง ที่มันฝืนธรรมชาติของเท้าและการวิ่งตามธรรมชาติของคน
พอเป็นอย่างนี้ก็เลยเกิดเป็นกระแส (หรือบางคนก็เรียกว่าเป็นลัทธิ) หันมาใช้รองเท้าที่พื้นไม่หนามาก วัสดุไม่เยอะ นัยว่าเพื่อให้เท้าเป็นอิสระและเป็นธรรมชาติมากที่สุด (ถ้าไปเจอในบางเว็บว่า minimalist shoes เขาหมายถึงรองเท้าแบบนี้นี่แหละ) หรือบางคนแม่มก็เอ็กซ์ตรีมสุดขั้ว วิ่งตีนเปล่ากันเลยก็มี อันนี้ว่ากันตามถนัด แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนออกมาเตือน ๆ ว่า รองเท้าแบบนี้อาจทำให้เท้าบาดเจ็บได้ เพราะการห่อหุ้มและปกป้องเท้ามีน้อย เพราะฉะนั้นใครที่จะมาทางนี้จึงควรที่จะค่อย ๆ ปรับ ไม่ใช่พรวดพราดเปลี่ยนมาเลย
ทาง nike เองก็เตือนเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเหมือนกัน โดยในกล่องรองเท้ารุ่นนี้เมื่อเปิดฝาออกมาจะเจอสติกเกอร์คำเตือนแปะเอาไว้ที่ฝากล่องด้านใน (ขอไม่แปลนะฮะ)
ลงให้ดูทั้ง ๓ ภาษา ใครถนัดภาษาไหนเชิญตามสะดวก
รุ่นนี้ตัววัสดุด้านบนของรองเท้าทำจากเส้นใยที่ถักขึ้นรูปขึ้นมา (คือ flyknit) เท่าที่ดูคิดว่าน่าจะเป็นชิ้นเดียวเลย น้ำหนักเบา กระชับเท้า นุ่มและระบายได้ดี (nike บอกว่ารุ่นนี้จะวิ่งแบบไม่ใส่ถุงเท้าก็ได้นะ) เท่าที่ลองดึง ๆ ดู จะยืดหยุ่นได้นิดหน่อย ยกเว้นบริเวณสีดำที่เป็นรู ๆ ตรงหน้าเท้า ตรงนั้นจะยืดได้เยอะกว่าบริเวณอื่น
ดูกันชัด ๆ กับวัสดุที่เรียกว่า flyknit ยืดได้นิดหน่อย ยกเว้นส่วนที่สีดำนั่นยืดได้เยอะกว่า
รุ่นนี้ถ้าเทียบกับคู่เดิม (new balance minimus road 10V2) ช่วงหน้าเท้าจะแคบกว่าคู่เดิม ก่อนใส่ก็กังวลนิด ๆ ว่าจะอึดอัดมั้ย พอใส่จริงรู้สึกกระชับดี แล้วก็ไม่อึดอัดนะ อันนี้คิดว่าเป็นผลมาจากอี flyknit นี่แหละที่ยืดหยุ่นได้นิดนึง อีกเรื่องที่แปลกใจก็คือ ของคู่เดิมใส่เบอร์ ๑๑ US แต่คู่นี้แค่เบอร์ ๑๐.๕ เพราะฉะนั้นใครที่สนใจก่อนซื้ออาจจะต้องลองกันให้ดีก่อน ไม่งั้นไซส์อาจไม่พอดี
คู่นี้ตอนที่ลองมีสิ่งที่ไม่ชินนิดหน่อย (ตอนนี้ก็ยังไม่ชิน) คือ รู้สึกว่าบริเวณช่วงกลางฝ่าเท้ามีอะไรมาหนุนอยู่นิดนึง ที่รู้สึกอย่างนี้ก็เพราะพื้นรองเท้าคู่เดิมมันบางมาก เหมือนไม่ค่อยมีอะไรหนุนฝ่าเท้าเท่าไหร่ คู่นี้จะมีมากกว่า
ทีนี้ก็มาถึงตอนวิ่งจริง ซื้อมาวันเสาร์ ใส่วิ่งครั้งแรกเช้าวันอาทิตย์ วิ่งกิโลฯ แรกเวลาออกมาตกใจเลย ๕.๒๖ นาที นี่ไม่รู้ว่าเพราะหยุดวิ่งมาหลายวัน กลับมาวิ่งเลยกะจังหวะไม่ถูก หรือเพราะเห่อรองเท้าใหม่เลยกดซะ หรือว่าเป็นผลมาจากตัวรองเท้าเอง แต่ทำเวลาเท่านี้ไม่ได้มาตั้งนานแล้ว ตอนเกือบสองปีก่อนที่ยังวิ่งเยอะ ๆ ยังได้เฉลี่ยอยู่ระหว่าง ๕.๓๕ ถึง ๕.๕๐ อยู่เลย แต่เอาล่ะ ได้เวลาเท่านี้ก็เป็นสัญญาณที่ดี พอวิ่งกิโลฯ ต่อมาก็เลยชะลอ ๆ หน่อย เพราะต้องคอยปรับท่าวิ่งเรื่องการลงเท้าด้วย
ต่อมาวันจันทร์ วิ่งเป็นครั้งที่สอง เวลากิโลฯ แรกออกมา เหยดดดดดดด ๕.๒๓ นาที อันนี้เริ่มคิดแล้ว เอ๊ะ เพราะกูยังไม่ชินรองเท้า เลยปรับจังหวะไม่ถูกหรือเปล่าวะ กิโลฯ ต่อมาก็เหมือนเมื่อวาน คือ ชะลอลง มาใส่ใจกับจังหวะการลงเท้ามากขึ้น เพราะยังไม่ค่อยชินดี
พักวันนึง วิ่งครั้งที่สามวันพุธ คราวนี้ถึงกับต้องร้อง เจ๊ดเข้!!! แม่มเกินไปละ เวลาออกมา ๕.๑๐ นาที เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย พี่ไม่เชื่อ แค่เปลี่ยนรองเท้า เวลาพี่ขยับขนาดนี้เลยเหรอ เรื่องนี้เล่าสู่กันฟังไว้ก่อน แต่ยังไม่ขอสรุป เดี๋ยวขอเก็บข้อมูลระยะยาวสักนิด รอให้ชินรองเท้าก่อน ได้ผลยังไงจะมาอัปเดตกันอีกที
แผ่นรองเท้าด้านใน (ถอดออกได้) เขียนไว้ชัดเจนว่าเป็น Barefoot Ride นะฮะ
สำหรับเรื่องความรู้สึกของการใช้งาน รู้สึกได้ชัดว่าเท้ามีอะไรรองรับมากขึ้น (เมื่อเทียบกับคู่เดิม) การปรับท่าวิ่งให้เอากลางเท้าลงรู้สึกว่าทำได้ง่ายกว่าคู่เดิม คู่นี้ถ้าดูข้อมูลน้ำหนักจะมากกว่าคู่เดิมนิดนึงแต่ตอนใช้งานจริงก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แล้วก็มีสิ่งที่ยังไม่ชินอย่างที่บอกไปแล้วคือ รู้สึกมีอะไรหนุนตรงช่วงกลางฝ่าเท้าอยู่ บอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี เอาเป็นว่าไม่ชินนะฮะ…
หมายเหตุ : แจ้งเอาไว้นิดนึงเผื่อใครสงสัย รองเท้าคู่นี้ซื้อเองด้วยเงินตัวเอง ไม่ได้ฟรี ไม่ได้ส่วนลดพิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น (สลิปบัตรเครดิตยังอยู่เลย) เพราะฉะนั้นไม่มีไทอินแน่นอนฮะ