วิกฤติสื่อสิ่งพิมพ์ครั้งนี้หนักกว่า “ต้มยำกุ้ง”

จากกรณี Winter is coming ที่ค่ายสื่อยักษ์ใหญ่บางแห่ง และยักษ์เล็กที่ไม่เป็นข่าวอีกหลายแห่ง (อ่านเรื่องค่ายสื่อยักษ์ใหญ่ได้ ที่นี่) ความเห็นส่วนตัวคิดว่านี่เป็นวิกฤติสื่อสิ่งพิมพ์ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งถัดจากเมื่อครั้ง “ต้มยำกุ้ง”

และขอฟันธงว่า วิกฤติครั้งนี้หนักหนาและสาหัสกว่าเมื่อครั้งต้มยำกุ้งอย่างมาก

ทำไมถึงคิดอย่างนั้น?

ในฐานะคนทำสื่อสิ่งพิมพ์ที่เคยผ่าน “ต้มยำกุ้ง” มาต้องบอกว่าสถานการณ์วันนี้ไม่เหมือนวันนั้น ในครั้งนั้นเป็นการเจ๊งที่คนทั่วประเทศรู้ว่าเจ๊ง และก็เจ๊งกันเกือบหมดทั่วทุกวงการ มันก็เลยไม่มีเม็ดเงินมาลงโฆษณา (ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของวงการสิ่งพิมพ์)

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ทุกคนช่วยกันอย่างเต็มที่เพื่อให้ฟื้นได้เร็วที่สุด และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นธุรกิจก็กลับมาโฆษณากันอีกครั้ง และทุ่มเงินโฆษณากันก้อนใหญ่เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่หายไป สิ่งพิมพ์รายไหนที่ “อึด” พอที่จะอยู่ถึงวันนั้นก็รอด

แต่วิกฤติครั้งนี้ เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องรอง สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนอ่านและภาคธุรกิจ (หรือแบรนด์) ที่ลงโฆษณา

ในส่วนของคนอ่านหันไปรับสารจากสื่อออนไลน์มากขึ้น ทำให้ยอดคนอ่านสิ่งพิมพ์ลดลง ในขณะเดียวกันแบรนด์ต่าง ๆ ที่เคยลงโฆษณาและอึดอัดขัดใจกับความไร้ประสิทธิภาพของสื่อสิ่งพิมพ์ (ไม่ว่าจะเรื่องยอดพิมพ์ที่เคลมเกินจริง การที่วัดผลไม่ได้ เก็บข้อมูลคนอ่านก็ไม่ได้ ฯลฯ) ก็มีทางเลือกใหม่ คือ สื่อออนไลน์ ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า สามารถตอบโจทย์และวัดผลได้จริง แถมยังเก็บข้อมูลคนเห็นโฆษณาได้อีก

สิ่งเหล่านี้ทำให้เม็ดเงินโฆษณาหันเหจากสื่อสิ่งพิมพ์ไปทุกที และคาดเดาได้ไม่ยากว่า แม้เศรษฐกิจจะกลับมาเฟื่องฟูได้อีก แต่สื่อสิ่งพิมพ์ก็คงไม่สามารถกลับมารุ่งเรืองได้เหมือนเดิม

เหตุการณ์ Winter is coming ในครั้งนี้จึงน่าจะเป็นหนาวที่ยาวนานสำหรับคนในวงการสิ่งพิมพ์นะฮะ…

สื่อสิ่งพิมพ์เอายังไงกันดี?

man_read_tablet

เมื่อเดือนที่แล้วมีโอกาสได้เข้าไปนั่งตัวลีบอยู่ในวงสนทนาที่มีผู้บริหารนิตยสารชื่อดังอยู่ด้วย (ที่ว่าชื่อดังนี่หมายถึงนิตยสารนะ แต่เอาจริง ๆ ผู้บริหารนี่ก็ดังอยู่) นิตยสารนี้อยู่มาหลายสิบปีแล้วและถือได้ว่าเป็นเบอร์หนึ่งในหมวดที่ทำอยู่ ผู้บริหารคนนี้เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์นิตยสารทุกวันนี้ว่า ยอดคนอ่านลดลงและยอดโฆษณาก็ลดลง (ซึ่งอันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรกัน)

ในส่วนของคนอ่าน นิตยสารที่ว่านี้ก็พยายามปรับตัวไปออนไลน์ มีเว็บไซต์ที่มีคอนเทนต์จากหนังสือไปลง แล้วยังไปทำแฟนเพจด้วย ผู้บริหารเล่าว่า แฟนเพจของนิตยสารนี้ติดอยู่ในกลุ่มสิบอันดับแฟนเพจที่ทำคอนเทนต์ด้านนี้ (วัดจากยอดแฟนเพจ) เพราะชื่อเสียงก็เรียกคนได้ แถมยังมีการโพสต์สม่ำเสมอ

แต่ประเด็นน่าสนใจที่ผู้บริหารเล่ามาก็คือ ในสิบอันดับแฟนเพจที่ว่าจะเป็นเพจของนิตยสารอยู่ไม่กี่เพจ อีกประมาณ ๔-๕ เพจเป็นเพจที่ทำออนไลน์อย่างเดียว ไม่มีฐานคนอ่านจากสิ่งพิมพ์มาก่อน (นี่เป็นเรื่องน่าสนใจอันดับหนึ่ง) และมีอีกกลุ่มนึงที่มาใหม่และเป็นที่กังวลมากในตอนนี้คือ เพจที่บรรดาสินค้า/บริการต่าง ๆ มาทำคอนเทนต์เอง เรียกว่ายิงตรงจากแบรนด์สู่ผู้บริโภคโดยไม่ต้องผ่านคนกลางกันเลย และที่น่าตกใจก็คือ คอนเทนต์ในเพจประเภทนี้น่าสนใจเสียด้วย ไม่ใด้เป็นแคตตาล็อกที่จะเอาแต่ขายของอย่างเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแบรนด์ก็จ้างคนทำคอนเทนต์นั่นแหละทำให้

เมื่อเป็นอย่างนี้เสียแล้ว แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อไปแน่ ๆ ก็คือ แบรนด์ต่าง ๆ จะลดการโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ลง จากที่ลดลงมาแล้วหลายปีต่อเนื่อง (ดูกราฟประกอบนะฮะ) เท่านั้นยังไม่พอ แบรนด์ยังเปลี่ยนสถานะจากลูกค้ากลายมาเป็นคู่แข่งในการผลิตคอนเทนต์และดึงยอดคนอ่าน (visitor) ไปจากสื่อเดิม ๆ เสียอีก

สื่อสิ่งพิมพ์เอายังไงกันดี?

สำหรับเรื่องโฆษณาที่ลดลงนี้ขอให้ดูภาพประกอบที่สอง เล่าให้ฟังก่อนว่า นี่เป็นข้อความในหนังสือ facebook : โลกอันซ้อนกันอยู่ ของพี่ชาติ กอบจิตติ (รายละเอียดของหนังสือเล่มนี้ดูได้จากเพจ โลกอันซ้อนกันอยู่ นะฮะ) ซึ่งพี่ชาติเล่าว่า นอกจากเป็นนักเขียนแล้วแกยังทำเสื้อยืดขายด้วย ใช้แบรนด์ว่า Phanmaba (พันธุ์หมาบ้า) แล้วก็ทำเพจขึ้นมาเพื่อขายเสื้อ มีโพสต์รูปบ้าง เล่าเรื่องราวอะไรบ้าง ส่วนรายละเอียดลองดูที่พี่ชาติเขียนนะครับ โดยเฉพาะตรงที่ไฮไลต์ข้อความเอาไว้ อันนี้เป็นความเห็นตรงของแบรนด์มาเองเลย

สื่อสิ่งพิมพ์เอายังไงกันดี?

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นปัญหาใหญ่ของคนในแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์ เชื่อว่าทุกคนรู้ตัวแล้วและกำลังพยายามปรับตัว บางคนยังพอไปได้ บางคนก็ยกธงขาวไปแล้ว (อย่างที่เราเห็นในข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้) ในส่วนของผู้บริหารคนนี้ก็มีแนวทางของเขาอยู่ แต่ก็ไม่ควรที่จะนำมาเล่าในที่นี้นะฮะ

สวัสดี

พี่เปี๊ยก มอเตอร์ไซค์วิน และการสร้างความสามารถในการแข่งขัน

ทุกวันนี้ผมเดินทางมาทำงานโดยใช้บริการพี่วินมอเตอร์ไซค์เจ้าประจำ สมมุติว่าแกชื่อ พี่เปี๊ยก นะฮะ แต่เดิมก็ไม่ได้เป็นลูกค้าประจำอะไรกันหรอก ผมออกมายืนรอเรียกมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งผ่านไปผ่านมาหน้าหมู่บ้านให้ไปส่งตามปกติทั่วไป ซึ่งพี่เปี๊ยกก็เป็นหนึ่งในพี่วินที่ได้ใช้บริการกันมา

ทีนี้ด้วยความที่แต่ละวันผมจะออกจากบ้านในเวลาใกล้ ๆ กัน สักพักพี่เปี๊ยกแกก็จำได้ แกจะมาจอดรออยู่ที่หน้าหมู่บ้านเพื่อไม่ให้พลาด แต่มันก็มีบางวันที่พลาดเหมือนกัน เพราะบางทีก็มีลูกค้าเรียกไปส่งตลาดใกล้ ๆ แล้วกลับมาไม่ทัน ผมเรียกพี่วินคันอื่นไปแล้ว

วันนึงพอวิ่งมาส่งผมถึงที่ทำงาน แกก็เปิดหมวกออกมาคุยว่า “พี่ (ผมเรียกแก พี่ แกเรียกผม พี่ ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน) พี่ออกเวลาเดิมทุกวันอย่างนี้ ผมมารับประจำให้เลยดีกว่า พี่จะได้ไม่ต้องมายืนเรียกหน้าหมู่บ้าน”

ฟังข้อเสนอพี่เปี๊ยกแล้วผมก็ตอบตกลง เพราะ หนึ่ง สะดวก ไม่ต้องมายืนเรียกรถอย่างที่แกบอก แล้วถ้าไม่ใช่เจ้าที่เคยไปส่งกันมาก่อนนี่ต้องบอกจุดหมาย บอกราคากันก่อน แล้วยังต้องคอยบอกทางด้วย มีเจ้าประจำมันสะดวกดี สองก็คือ พี่เปี๊ยกแกขี่รถเซฟมาก ไม่ได้ช้าจนขัดใจ แต่ก็ไม่ได้ฉวัดเฉวียนหรือเร่งแซงในจังหวะหวาดเสียวจนเราต้องจับเบาะกันมือเกร็ง แถมจะเบรคจะออกตัวก็นุ่มนวลดี ไม่ได้เป็นประเภทที่ออกตัวทีกระชากจนหน้าหงาย

อีกอย่างก็คือ แกใส่ใจ อย่างเวลาขี่ผ่านถนนที่มีน้ำเฉอะแฉะแกจะชะลอผ่านไปช้า ๆ ไม่ใช่ระวังรถลื่นล้มอย่างเดียว แต่ระวังไม่ให้น้ำดีดมาเปื้อนขากางเกงหรือกลางหลังเราด้วย อันนี้ดีจนรู้สึกได้

จากวันนั้นก็ใช้บริการเป็นเจ้าประจำกันมาสองสามปีได้แล้ว ซึ่งถ้าวันไหนผมมีธุระต้องเข้าออฟฟิศก่อนเวลาปกติก็โทรไปถามแกได้ว่าสะดวกมั้ย? ถ้าแกไม่ติดลูกค้าประจำคนอื่น มาได้ แกก็มา ตรงเวลานัดไม่เคยพลาด ถ้ามาไม่ได้บางทีมีบอกให้น้องเขยแก (ที่เป็นพี่วินเหมือนกัน) มารับแทนก็มี หรือถ้าวันไหนแกไปส่งลูกค้าขาประจำคนก่อนหน้าแล้วเจอรถติดดูแล้วไม่น่าจะกลับมาทัน แกก็จะโทรมาบอกก่อน วันไหนติดธุระหรือไม่วิ่งก็โทรมาบอกก่อนทุกครั้งไป คิดว่าถ้าไม่มีเหตุอะไรก็คงใช้บริการกันต่อไปไม่เปลี่ยนเจ้าแล้วล่ะ

ที่เล่ามานี่นอกจากจะให้อ่านเพลิน ๆ แล้ว จะให้เห็นว่า ไม่ว่าจะทำอาชีพไหน ตำแหน่งอะไร เราก็สามารถสร้างความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) ขึ้นมาได้เสมอ เพียงแต่ว่าความสามารถในการแข่งขันที่ว่า ประการแรกคือ ต้องอิงอยู่กับลูกค้า (หรือคนใช้บริการ) เป็นหลัก ต้องเป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์เขา ไม่ใช่ตอบโจทย์เรา เหมือนอย่างที่พี่เปี๊ยกมาเสนอเป็นเจ้าประจำ จริงอยู่ที่แกจะได้ลูกค้าประจำ แต่มันก็ตอบโจทย์เราที่ไม่ต้องไปยืนรอเรียกรถหน้าหมู่บ้าน ไม่ต้องต่อราคา และไม่ต้องคอยบอกทาง

ประการที่สอง ต่อให้เสนอโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้แล้ว แต่สินค้า/บริการไม่ได้เรื่อง ไม่ประทับใจ ไม่เป็นมืออาชีพ ลูกค้าใช้แล้วก็ไม่ใช้ซ้ำ สุดท้ายก็เสียลูกค้าอยู่ดี อันนี้คือความเป็นมืออาชีพของพี่เปี๊ยกที่ขี่รถดี ตรงเวลา วันไหนไม่มาหรือมาไม่ทันก็มีโทรมาบอกก่อน ไม่ได้คิดที่จะเอาแต่ประโยชน์ของตัวเองจนเราเสียหาย

การที่พี่เปี๊ยกแกทำอย่างนี้มันก็ส่งผลจริง ๆ เพราะนอกจากผมแล้ว แกยังมีลูกค้าประจำตอนเช้าอีกสามเจ้า มีทั้งนักเรียน คนทำงาน วิ่งต่อเนื่องกัน เป็นรายได้ประจำแน่นอนก่อนที่จะไปเข้าวิน

ขี่มอเตอร์ไซค์วินใครก็ขี่ได้ แต่มอเตอร์ไซค์วินทุกคนเป็นอย่างพี่เปี๊ยกไม่ได้

ถ้ามอเตอร์ไซค์วินสร้างความสามารถในการแข่งขันของตัวเองขึ้นมาได้ อาชีพอื่นก็ทำได้นะ ถ้าตั้งใจ…

สาเหตุที่ Ghost ย้ายจากอังกฤษมาสิงคโปร์ (ไม่มาไทย)

Why Ghost is moving to Singapore?

เรื่องนี้น่าสนใจ ใช้เป็นกรณีศึกษาสำหรับประเทศไทยได้เลย อยากให้อ่าน

เรื่องก็คือ ซีอีโอของ Ghost มาเขียนเล่าถึงการตัดสินใจย้ายบริษัทจากการจดทะเบียนที่อังกฤษมาเป็นบริษัทสิงคโปร์ (แต่ตัวก็ยังอยู่ที่อังกฤษ) ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ความวุ่นวายด้านภาษีของ EU และความเฮงซวยของหน่วยงานด้านภาษีของอังกฤษ (เทียบได้กับกรมสรรพากรของไทย อ้อ หมายถึงเทียบทางด้านหน้าที่นะฮะ ไม่ใช่ด้านความเฮงซวย)

ซีอีโอคนนี้เล่าถึงปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาว่าจะย้ายบริษัทไปอยู่ที่ไหน มีสี่ห้าข้อด้วยกัน หลังจากพิจารณามาปีนึงเต็ม ๆ ได้ข้อสรุปว่า สิงคโปร์เวิร์กที่สุด เพราะนอกจากจะตอบโจทย์ทุกข้อที่ต้องการแล้ว ยังมีข้อดีที่ไม่ได้คิดไว้อีกหลายประการ

ตรงนี้แหละที่จี๊ดมาก อ่านแล้วสะอึกนะฮะ ยกมาให้ดูโดยไม่แปลนะ

– Singapore is ranked #1 globally by the World Bank for ease of doing business.
– Ranked #1 in the world for economic investment potential
– Ranked #1 in the world for best business environment
– Ranked #1 in the world for transparency of government policymaking
– Ranked #1 in the world for public trust in politicians
– Ranked #3 in the world least corrupt economy
– Ranked #3 in the world for quality of education

ขอไม่เอาข้อมูลของประเทศที่ภาคภูมิใจกับการเคลมว่า ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมาเปรียบเทียบกันนะ

ถามว่า เรื่องพวกนี้สำคัญยังไง?

มันสำคัญก็เพราะโลกยุคใหม่เป็นโลกที่แต่ละประเทศต้องแข่งกันสร้างแรงดึงดูดธุรกิจและเงินทุนเข้ามาในประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต ทั้งที่เป็นเงินลงทุนในตลาดเงินตลาดทุน และที่มาลงทุนตั้งบริษัทตั้งโรงงาน แบบ foreign direct investment (ใครที่คิดว่าไม่จริง เราอยู่ของเราเองได้ หันไปดูพม่านะครับ ขนาดปิดประเทศมา ๕๐ ปี วันนี้ยังต้องยอมเปิดเลย นี่มันเป็นกระแสโลก คุณฝืนไม่ได้หรอก ตอนนี้เหลือแค่เกาหลีเหนือเองมั๊งที่ยังปิดตัวเองอยู่) การคอร์รัปชั่น เสถียรภาพทางการเมือง ระดับการศึกษา ฯลฯ อะไรพวกนี้มันเป็นปัจจัยที่บริษัทต่างชาติเขาพิจารณากัน

ถึงตรงนี้แล้วก็นึกถึงเรื่องลูกเทพ เรื่องคนกราบไหว้หมาสองหาง ควายห้าขา ฯลฯ หันกลับไปมองที่ภาครัฐเผื่อว่าจะสู้เขาได้ อ้าว ชิบหาย ข้าราชการเบี้ยวหนี้กยศ. หลายหมื่นคนแถมอยู่ในกระทรวงการคลังเป็นพันคน

กูดูมิสเตอร์บีนแก้เครียดดีกว่า…

รายละเอียดคลิกอ่านจากในลิ้งก์ด้านล่างเอานะ

หมายเหตุ : Ghost เป็นบริษัทที่ทำบล็อกแพล็ตฟอร์ม ตัวซีอีโอออกมาจาก WordPress เพราะเห็นว่า WordPress ชักจะเยอะไปแล้ว (เยอะไปในที่นี้หมายถึงทำอะไรมากขึ้นจนเป็น Content Management System ในขณะที่พี่คนนี้อยากโฟกัสอยู่ที่ Blogging Platform) ใครที่สนใจก็ลองดูที่เว็บพี่เค้าได้นะฮะ

https://blog.ghost.org/moving-to-singapore/

เรียนบริหารจากประสบการณ์ (คนอื่น)

BlogTools

ตอนนี้ผมกำลังทำโปรเจ็กต์ให้บริษัทนึง เนื้องานคร่าวๆ ก็คือการรวบรวมและเรียบเรียงประวัติความเป็นมาของบริษัทนี้ ซึ่งในขั้นตอนของการเก็บข้อมูล นอกจากจะสืบค้นจากเอกสารต่างๆ แล้ว ยังต้องสัมภาษณ์พูดคุยกับผู้บริหารและอดีตผู้บริหารของบริษัทนี้เกือบ ๒๐ คน โดยที่แทบทุกคนเลยวัยเกษียณกันมาแล้ว และถ้าเอาอายุงานของทุกคนมารวมกัน (ตอนนี้หลายคนก็ยังทำงานอยู่ เป็นกรรมการบริษัทบ้าง เป็นที่ปรึกษาบ้าง) น่าจะไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ ปี ซึ่งประสบการณ์ที่แต่ละคนมีก็หลากหลาย ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาว่าในขณะนั้นสถานการณ์ของบริษัทเป็นยังไง

ผมเองนับว่าเป็นโชคที่ได้ทำงานนี้ เพราะพี่ๆ (น้าๆ และลุงๆ) ที่ได้สัมภาษณ์แต่ละคนเล่าเรื่องราวให้ฟังแบบไม่มีกั๊ก ถามเรื่องอะไรไป ตอบหมด แถมบางเรื่องที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เราไม่ได้ถาม (เพราะไม่รู้) ก็เล่าให้ฟังด้วย

ประสบการณ์การทำงานที่ได้ฟังมานี่เหมือนกับเรามีโอกาสเข้าไปนั่งเรียนหลักสูตรบริหารซักหลักสูตรนึงที่อาจารย์ผู้สอนเป็นคนทำงานจริง มีประสบการณ์จริงและใช้เคสจริงมาเล่าให้เราฟัง ซึ่งมันเจ๋งมากนะครับ

เรื่องแรกที่ผมอยากเล่าก็คือ การหาสาเหตุของปัญหาตามหลัก Five Whys (เรื่องนี้เป็นความรู้ใหม่ของผม คนที่รู้มาก่อนแล้วข้ามไปเลยก็ได้นะครับ) ซึ่งตอนแรกที่คุณลุงเล่ามาแกเรียกว่า Why Why หลังจากนั้นผมไปเจอในหนังสือ The Lean Startup ถึงได้รู้ว่ามันคือ Five Whys

LeanStartup

หนังสือเล่มนี้ครับที่ช่วยให้กระจ่างเรื่อง Five Whys

หลักการของ Five Whys ก็คือ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นให้เราหาสาเหตุของปัญหาด้วยการถามว่า Why? (ปัญหานี้เกิดจากอะไร?) แล้วหาคำตอบออกมา เมื่อได้คำตอบแล้วก็ตั้งคำถามต่อว่า Why? อีกที เพื่อหาว่าคำตอบของ Why? ครั้งแรกน่ะมันเกิดจากอะไร เมื่อได้แล้วก็ถาม Why? อีก ทำอย่างนี้ไปห้า Why? เราจะได้เจอสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา (หรือบางกรณีอาจจะถามไม่ถึงห้าครั้งก็ได้คำตอบสุดท้ายแล้ว) ซึ่งหลายต่อหลายครั้งจะเป็นสิ่งที่เราคิดไม่ถึงเลยว่า ไอ้นี่แหละคือต้นตอของปัญหาที่กำลังปวดหัวอยู่

ฟังแล้วงงมั้ยครับ?

ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมอย่างนี้ครับ สมมุติเราตื่นเช้ามา อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยจะออกไปทำงาน สตาร์ตรถ ชึ่ง!! เงียบ สตาร์ตไม่ติด หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์นี้ ถ้าเราใช้หลัก Five Whys เคสนี้ปัญหาคือ รถสตาร์ตไม่ติด

ทำไมสตาร์ตไม่ติดล่ะ? (นี่ Why? แรก)
– แบตฯ หมด

ทำไมแบตฯ หมดล่ะ? (Why? สอง)
– น้ำกลั่นแห้ง

ทำไมถึงแห้งล่ะ? (Why? สามล่ะนะ)
– ก็ (มึง) ไม่เคยเปิดออกมาเช็กมาเติมเลย ใช้มาได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว

สมมุติว่าจบแค่นี้

การตั้งคำถามต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้อาจฟังดูเหมือนกวนอวัยวะเบื้องล่าง แต่ถ้าดูจากตัวอย่างจะเห็นว่ามันสามารถนำไปสู่ต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหาได้ โดยกรณีนี้วิธีแก้ปัญหาก็อาจจะเป็นการกำหนดให้มีการตรวจเช็คน้ำกลั่นเป็นระยะ (ก็อย่าลืมอีกล่ะ) หรือจะลดความยุ่งยากด้วยการซื้อแบตฯ แบบแห้งไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาคอยดู ยอมเสียเงินแพงหน่อย แต่สบายใจงี้

หลัก Five Whys นี้ต้นตำรับเป็นชาวญี่ปุ่นชื่อ Taiichi Ohno ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่ง Toyota Production System และหลักการนี้ก็ได้รับความนิยมทั่วทั้งญี่ปุ่น ต่อมาก็แพร่เข้าไปในประเทศต่างๆ ที่ญี่ปุ่นเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งไทยเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย (พารากราฟนี้เป็นโหมดสาระล้วนๆ นะครับ)

จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นเป็นกรณีที่หาสาเหตุและทางแก้ได้ไม่ยาก เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อนและเป็นเรื่องของเราคนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่ในชีวิตจริงโดยเฉพาะในการทำงาน ปัญหาที่เกิดขึ้นมันจะไม่ง่ายอย่างนี้แถมยังไปเกี่ยวข้องกับหลายคนหลายฝ่าย ซึ่งแต่ละคนแต่ละฝ่ายที่ว่าก็มักจะไม่มีใครยอมใครกันหรอก ส่วนมากจะมีอีโก้อีกลวงกันทั้งนั้นแหละ ทำให้การแก้ปัญหามันยากขึ้นไปอีก (ถ้าใครไม่เจอปัญหาประเภทนี้ในที่ทำงาน รบกวนช่วยหลังไมค์มาแจ้งชื่อบริษัทไว้ด้วยนะครับ คุณโชคดีมาก)

แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ไปเจอกรณีที่พยายามแก้ปัญหาทุกวิธีทุกรูปแบบแล้ว Five Whys ก็แล้ว ทั้ง inside และ outside the box แล้วก็ยังเอาไม่อยู่ ก็มีคำแนะนำจากคุณลุงอีกคนนึงที่ให้สัมภาษณ์ไว้ (งานเดียวกันแต่สัมภาษณ์คนละที) เอามาใช้ได้ ถือเป็นกระบวนท่าสุดท้ายจริงๆ

คุณลุงบอกว่า กรณีแบบนี้ให้ยึดหลัก “ช่างมัน ช่างมึง ช่างกู”

สารภาพตามตรงว่า ตอนที่ได้ยินครั้งแรกนี่ชะงักไปนิดนึงเลยนะครับ นึกไม่ถึงว่ากระบวนท่าสุดท้ายของผมกับของคนที่เคยเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ คุมธุรกิจที่รายได้เกินหมื่นล้านจะคล้ายกันขนาดนี้ เพียงแต่กระบวนท่าของผมสั้นกว่าของคุณลุงนิดนึง

ช่างแม่มมมมมมมม…

ใครสนใจจะเอาไปใช้คุณลุงแกไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ

ศิลปะของการตัดสินใจ

(ภาพโดย Padurariu Alexandru)

เคยมีปัญหากับการตัดสินใจกันมั้ยครับ?

ว่ากันตั้งแต่เรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวันอย่างกลางวันนี้จะกินอะไรดี? ยากขึ้นมาอีกนิดเป็นจะซื้อรองเท้ารุ่นไหน สีไหนดี? จะเอาไอโฟนหรือแอนดรอยด์? ขยับขึ้นมาอีกหน่อย จะเอารถรุ่นนี้ยี่ห้อนี้หรืออีกยี่ห้อ? ไปจนถึง จะซื้อบ้านของบริษัทไหนดี?

ในชีวิตทำงานเราก็มีเรื่องให้ต้องตัดสินใจกันมากมาย ไล่ไปตั้งแต่การจัดลำดับความสำคัญของงาน พอเริ่มเป็นหัวหน้าก็ต้องตัดสินใจเรื่องการรับพนักงาน เมื่อขึ้นสู่ระดับบริหารก็ต้องตัดสินใจเรื่องของนโยบาย

การตัดสินใจเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ถ้าถูกก็ดีไป แต่ถ้าผิดพลาดไม่เป็นอย่างที่คิดก็อาจเกิดความเสียหายได้ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ จนถึงใหญ่โตและอาจส่งผลตามมาถึงชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงานได้

ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงถึงจะมั่นใจได้ว่าการตัดสินใจของเราจะไม่พลาด

คำตอบแรกที่ลอยเข้ามาในหัวก็คือ ต้องหาข้อมูลให้ครบถ้วน รอบด้านที่สุด ซึ่งนี่เป็นหลักการสำคัญเบื้องต้น แต่ในชีวิตจริงการตัดสินใจหลายครั้งเราไม่สามารถรอให้มีข้อมูลครบถ้วนได้ อาจเนื่องมาจากเงื่อนไขทางด้านเวลาที่จำกัด หรือบางเรื่องต่อให้มีเวลาก็ไม่สามารถหาข้อมูลมาได้มากกว่านี้แล้ว ก็ต้องตัดสินใจกันทั้งที่ไม่พร้อมอย่างนี้แหละ

ตรงนี้แหละที่จะวัดศักยภาพของแต่ละคน

เมื่อหลายปีที่แล้วนิตยสาร BusinessWeek ไทยแลนด์ ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับหลักสูตร MBA ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (ซึ่งเมื่อปีที่แล้วสำนักข่าว Bloomberg ได้จัดอันดับหลักสูตร MBA ของที่นี่เป็นอันดับที่ ๕) ที่ได้ปรับหลักสูตรให้ผู้เรียนคุ้นเคยและพร้อมที่จะตัดสินใจแม้ในยามที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วน ซึ่งการปรับหลักสูตรนี้เป็นผลมาจากฟีดแบ็กของบริษัทต่างๆ ที่ต้องการให้บัณฑิตเอ็มบีเอพร้อมที่จะทำงานในสภาพการทำงานจริงที่ต่างไปจากการเรียนในห้องเรียน

BusinessweekThailand

สิ่งที่โคลัมเบียทำก็คือ ส่งกรณีศึกษาให้นักศึกษาพร้อมข้อมูลจำนวนหนึ่ง แล้วให้นักศึกษาหาคำตอบหรือโซลูชั่นสำหรับแต่ละกรณีออกมาโดยที่มีข้อมูลไม่สมบูรณ์ เมื่อได้คำตอบแล้วก็มานั่งวิเคราะห์กันว่าสิ่งที่ตอบมานั้นถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร เพราะอะไร เสร็จแล้วก็ส่งเคสใหม่มาให้ทำอีก ซ้ำอยู่อย่างนี้ ผลที่ได้ก็คือ นักศึกษาจะเริ่มคุ้นเคยกับการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นและสามารถทำการตัดสินใจได้โดย “ไม่เกร็ง”

จริงอยู่การตัดสินใจเช่นนี้อาจได้ผลทั้งถูกและผิด แต่สิ่งที่สำคัญคือ กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น ซึ่งทางโคลัมเบียหวังว่าจะช่วยให้นักศึกษาสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น

นอกจากการตัดสินใจบนความไม่พร้อมของข้อมูลแล้ว เรามักจะเจออีกประเภทหนึ่งก็คือ การตัดสินใจที่ดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เมื่อชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียทั้งหลายทั้งปวงแล้วควรจะเลือกทางหนึ่ง แต่ใจมันกลับเรียกร้องให้เลือกอีกทางหนึ่ง แม้ทางที่เลือกจะลำบากจะยากและขัดกับเหตุผลที่ควรจะเป็นก็ตาม

กรณีแบบนี้เป็นการตัดสินใจด้วย “กึ๋น” ล้วนๆ ถ้าเป็นฝรั่งก็บอกว่ามันเป็น gut feeling

ยกตัวอย่างนี้ก็แล้วกัน เมื่อเกือบ ๒๐ ปีก่อน มีผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งทำงานอยู่ในบริษัทที่เป็นเบอร์สองของวงการ บริษัทนี้มีรายได้หลายพันล้านและมีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารคนนี้ฝีมือดีเป็นที่ประจักษ์ จนไปเข้าตาซีอีโออีกบริษัทนึงที่อยู่ในวงการเดียวกัน ก็ชักชวนให้มาทำงานด้วย ปัญหาก็คือบริษัทที่มาชวนนี้ในอดีตเคยรุ่งเรือง แต่ตอนนั้นสถานะง่อนแง่นเต็มที จะล้มละลายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ผู้บริหารคนนี้รู้สึกว่าคุยกับซีอีโอที่มาชวนแล้วมัน “คลิก”

กลับมาเขาลองทำการประเมินข้อดีข้อเสียเปรียบเทียบระหว่างสองบริษัท ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ได้ผลเหมือนกันคือ อยู่ที่เดิมต่อไป ลองไปถามไปขอคำปรึกษาจากคนรอบตัว ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อยู่ที่เดิมรุ่งกว่า

ถ้าตัดสินใจด้วยเหตุผล ผู้บริหารคนนี้ก็คงเลือกทำงานที่เดิม แต่ในใจเขามีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้คอยบอกว่า ไปที่ใหม่เถอะ ไปที่ใหม่เถอะ สุดท้ายเขาฝืนคำแนะนำของทุกคน ยอมรับข้อเสนอย้ายมาทำงานที่บริษัทใหม่

ผ่านมาเกือบ ๒๐ ปีเขายังทำงานอยู่ที่บริษัทนี้ แต่ขยับมาเป็นซีอีโอต่อจากซีอีโอคนที่ชวนเขามาทำงาน

คนที่ชวนเขาชื่อ สตีฟ จ็อบส์

บริษัทที่ใกล้จะล้มละลายที่ว่าตอนนี้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกและมีนวัตกรรมเปลี่ยนโลกมากมาย คือ แอปเปิล

ผู้บริหารคนที่เล่าเรื่องนี้คือ ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิล

กรณีนี้ gut feeling ล้วนๆ ครับ