“ในโลก มีสักกี่คนที่สามารถเลือกวิถีชีวิตของตนเองตามความพอใจ”
– เหยี่ยวเดือนเก้า, โก้วเล้ง (ว. ณ เมืองลุง แปล)
นิตยสาร Health & Cuisine ของบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ฉบับล่าสุดเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ เป็นฉบับที่ ๑๙๙ และเป็นฉบับสุดท้ายของนิตยสารฉบับนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับแฟนนิตยสารแนวทำอาหารลักษณะนี้คงใจหายไม่น้อย เพราะเมื่อเดือนที่แล้วนิตยสาร ครัว ก็เพิ่งปิดตัวไปหลังจากที่ยืนระยะบนแผงมาได้ยาวนานถึง ๒๔ ปี
คุณเมตตา อุทกพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งนิตยสาร Health & Cuisine ระบุสาเหตุของการปิดตัวเอาไว้ในเล่มว่า
“ปัญหาใหญ่คือความนิยมของสินค้าโฆษณาที่มีทางเลือกอื่น ๆ มากขึ้น ทำให้หน้าโฆษณาในนิตยสาร Health & Cuisine ลดลงจนไม่คุ้มกับการทำนิตยสารต่อไป”
แต่ก็ใช่ว่า Health & Cuisine จะหายไปเลยนะครับ เพราะได้เปลี่ยนรูปจากอนาล็อกไปเป็นดิจิทัล ไปอยู่ที่เว็บไซต์ goodlifeupdate.com และที่ facebook fan page ในชื่อว่า Health & Cuisine
แฟน ๆ นิตยสารและผู้สนใจเรื่องราวอาหารและสุขภาพก็ขอเชิญติดตามกันได้ทางช่องทางใหม่ที่เขาบอกมานะครับ 😊
ติดตาม What We Read Blog อีกหนึ่งช่องทางได้ที่ https://www.facebook.com/whatwereadblog/
“ไม่ว่าผู้คนจะต้องการสิ่งใด คนที่สามารถจัดหาสิ่งนั้นให้พวกเขาได้ก็จะอยู่รอดถึงแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหนก็ตาม นี่คือกฎเกณฑ์เพียงข้อเดียวของการทำธุรกิจ”
หนังสือ : คิดแค่ ๑ แต่ได้ผล ๑๐๐
ผู้เขียน : โมะริกะวะ อะกิระ
สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น
ติดตาม What We Read Blog อีกหนึ่งช่องทางได้ที่ https://www.facebook.com/whatwereadblog/
การหาใครซักคนมาแทนคนที่จากไปนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กว่าจะมีโอกาสได้เจอกัน ถูกชะตากัน นั่งคุยกัน รอบแรก รอบสอง มีหลายคนที่ทีแรกคิดว่าใช่ พอคุยกันไปมากขึ้น รู้จักกันมากขึ้นได้ข้อสรุปว่า ไม่ใช่ ก็ต้องจากกันไป
บางครั้งได้เจอคนที่คิดว่าใช่แล้ว แต่คนนั้นกลับคิดว่าเราไม่ใช่ ก็ต้องลาจากอีกเหมือนกัน
เรื่องแบบนี้แต่ละคนใช้เวลาเร็วช้าไม่เท่ากัน แต่ถ้าเราตั้งใจ จริงใจและมีความอดทนพอ สักวันเราจะเจอคนที่ใช่
เหมือนที่เมื่อวานนี้หลังจากคุยกันมาพอสมควร เราคิดว่าเธอน่าจะใช่ เธอเองก็ไม่มีพันธะอะไร สุดท้ายเลยเอ่ยถามไปว่า ถ้าพี่ตกลงรับ น้องจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่?
สัมภาษณ์เลขาฯ แผนกมาหลายคนเจอที่ใช่เสียที หลังจากหามานาน ที่พูดมาทั้งหมดนี่หมายถึงการหาพนักงานมาร่วมทีมแทนคนที่ลาออกนะฮะ อย่าคิดไปเรื่องอื่น นี่เพิ่งได้มาคนนึง ยังมีตำแหน่งอื่นอีก…
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (๖ พ.ค.) ใครที่ใช้ twitter อาจจะแปลกใจที่เห็นมี hashtag #Breaking2 ติดอันดับ trending แล้วมีคนใช้ hashtag อันนี้กันเยอะแยะ ถ้าไม่ได้ตามข่าวมาก่อนก็คงสงสัยว่า #Breaking2 นี่มันคืออะไร?
ลองมาดูกัน
What?
Breaking2 เป็นโปรเจ็กต์ของ nike ที่พยายามจะสร้างประวัติศาสตร์ในวงการมาราธอน ซึ่งเดิมก่อนหน้านี้มีความเชื่อกันว่า มนุษย์จะไม่มีทางวิ่งมาราธอนได้ในเวลาต่ำกว่าสองชั่วโมงเป็นอันขาด เพราะมันเกินศักยภาพที่มนุษย์จะทำได้ (ประมาณว่า วี อาร์ ออล ฮิวแมน น็อต ซูเปอร์ ฮิวแมน นะ ยูว์) แต่ปรากฎว่า ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถิติมาราธอนเริ่มเข้าใกล้สองชั่วโมงมาเรื่อย ๆ จนสถิติโลกล่าสุด (ของผู้ชาย) อยู่ที่ ๒:๐๒:๕๗ หรือสองชั่วโมงสองนาทีห้าสิบเจ็ดวินาที ทำไว้เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๗ ในการแข่งขันเบอร์ลิน มาราธอน โดย Dennis Kimetto ชาวเคนยา (ใส่ adidas รุ่น adios Boost) ซึ่งก็มีการประเมินกันใหม่ว่า มนุษย์อาจทำได้ก็ได้เว้ยเฮ้ย แต่คงต้องใช้เวลาในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกประมาณซักสิบปี
ทีนี้สิบปีมันนานไง ไม่ทันใจวัยรุ่น เอ๊ย บริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬายักษ์ใหญ่ทั้ง nike และ adidas เพราะเรื่องนี้ถ้าใครทำได้ก่อนมีหวังดังระเบิด นอกจากจะได้รับการจารึกชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์แล้ว ชื่อเสียงและยอดขายถล่มทลายจะตามมาอีกแน่นอน ทาง nike ก็เลยทำโปรเจ็กต์ Breaking2 ขึ้นมา ส่วน adidas ก็ไม่ได้อยู่เฉย มีโปรเจ็กต์ของตัวเองเหมือนกัน ใช้ชื่อว่า Sub2 ซึ่งวันนี้เราจะยังไม่พูดถึง เพราะเราจะพูดถึง Breaking2 กันนะฮะ
Who?
นอกจาก nike ที่เป็นเจ้าของโปรเจ็กต์แล้ว งานนี้ก็ต้องมีนักวิ่งใช่มะ ทาง nike ก็ไปคัดแล้วคัดอีก เฟ้นแล้วเฟ้นอีก เอาสถิติเอาข้อมูลของนักวิ่งแต่ละคนมาวิเคราะห์กันละเอียดยิบ สุดท้ายได้มาสามคน คือ Eliud Kipchoge ชาวเคนยา Lelisa Desisa ชาวเอธิโอเปีย และคนสุดท้าย Zersenay Tadese ชาวอะไรไม่รู้ เขียนยังงี้ Eritrea (ทั้งสามคนดูโหงวเฮ้งได้ตามภาพด้านบนนะฮะ)
คนแรก Eliud Kipchoge มีดีกรีเป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกคนล่าสุด สถิติเวลาดีที่สุดที่เคยทำได้คือ ๒:๐๓:๐๕ ในการแข่งลอนดอน มาราธอน เมื่อปีที่แล้ว
คนต่อมา Lelisa Desisa ดีกรีเป็นแชมป์บอสตัน มาราธอน ปี ๒๕๕๘ และรองแชมป์ในปีถัดมา สถิติเวลาดีที่สุดที่เคยทำได้คือ ๒:๐๔:๔๕ ในการแข่งดูไบ มาราธอน ปี ๒๕๕๖
คนสุดท้าย Zersenay Tadese คนนี้สถิติมาราธอนดูยังห่าง เพราะทำเวลาอยู่ที่ ๒:๑๐:๔๑ แต่เป็นเจ้าของสถิติโลกฮาล์ฟมาราธอนมาแล้วเจ็ดปียังไม่มีใครทำลายได้ที่ ๕๘:๒๓ นาที
When?
หลังจากนั่งจับยามสามตาดูดวงชะตาฟ้าดินแล้ว nike ก็เลือกเอาวันที่ ๖ พฤษภาคม ที่ผ่านมาเป็นวันดีเดย์ ส่วนตัวของผมเองเดาว่าที่ nike เลือกวันนี้ก็เพราะเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๙๗ Roger Bannister ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการกีฬาด้วยการเป็นมนุษย์คนแรกที่วิ่งระยะหนึ่งไมล์ (ประมาณ ๑.๖ กิโลเมตร) ได้ในเวลาน้อยกว่า ๔ นาที (แกทำได้ที่ ๓:๕๙.๔ นาที) ซึ่งเรื่องนี้เดิมก็เชื่อกันว่าเป็นเรื่องสุดวิสัยที่มนุษย์จะทำได้เหมือนกัน เรื่องวิ่งมาราธอนในสองชั่วโมงนี่ก็อยู่ในระดับเดียวกัน nike คงกะว่า วันนี้ล่ะวะเป็นวันดีที่จะเป็นวันย้อนรอยประวัติศาสตร์กันอีกซักที ประมาณนั้น
Where?
เมื่อตั้งเป้าเป็นโปรเจ็กต์ moonshot ขนาดนี้ สถานที่ที่จะจัดวิ่งครั้งนี้จึงสำคัญมาก ทีมงาน nike เสาะแสวงหาสถานที่ตามโลเคชั่นมาราธอนสำคัญ ๆ ทั่วโลก แต่สุดท้ายเมื่อนำเอาปัจจัยต่าง ๆ มาพิจารณาแล้วมาสรุปกันที่ Autodromo Nazionale Monza ซึ่งเป็นสนามแข่งรถที่อยู่ใกล้กับเมืองมิลาน อิตาลี
ปัจจัยที่เอามาพิจารณาที่ว่านี่ไม่ใช่พูดกันเล่น ๆ เพราะทีมงานดูกันตั้งแต่ระดับความสูงเหนือน้ำทะเล อุณหภูมิ ความชื้นในอากาศ กระแสลมในพื้นที่ รวมไปถึงคุณภาพของพื้นผิวสนามด้วย ทางทีมงานถึงขนาดเอาข้อมูลสภาพอากาศที่ Monza ในเวลา ๖ ปีย้อนหลังมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับสถานที่วิ่งมาราธอนที่เคยทำเวลาได้ดีที่สุดด้วย เพื่อให้มั่นใจว่า เอาที่นี่แหละเฮ้ย
How?
การเตรียมตัวเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ครั้งนี้ แต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ฝ่ายสถานที่ก็หาไป ฝ่ายนักวิ่งก็ซ้อมกันไป โปรเจ็กต์นี้นักวิ่งที่ได้รับการคัดเลือกทั้งสามคนซ้อมกันอย่างหนักเป็นเวลาเจ็ดเดือน โดยที่อยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมของทีมงาน nike โดยตลอดเพื่อหาวิธีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง ดูฟอร์มการวิ่ง ไปจนถึงการดูแลเรื่องอาหาร เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อถึงวันที่ ๖ พ.ค. สภาพร่างกายของแต่ละคนจะอยู่ในช่วงพีคสุด ๆ ประหนึ่งซูเปอร์ไซย่านั่นเลย

อีกอย่างหนึ่งที่มีส่วนสำคัญมากสำหรับโปรเจ็กต์นี้คือ รองเท้าของนักวิ่งทั้งสามคน เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดชื่อว่า Zoom Vaporfly Elite รุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษ ไม่มีวางขายทั่วไป มีการ customized ให้เข้ากับนักวิ่งแต่ละคน ไม่ว่าจะสไตล์การวิ่ง หรือช่วงก้าว น้ำหนักโคตรเบา อัปเปอร์ทำจาก flyknit ส่วนตัว midsole ทำจากวัสดุชนิดใหม่ที่เคลมว่าสามารถคืนพลังงานได้ดีกว่าวัสดุประเภทอื่นถึง ๑๓% แถมด้านในรองเท้ายังมีแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ที่จะคอยส่งแรงให้พุ่งไปข้างหน้าด้วย (รายละเอียดดูจากภาพกับในคลิปดีกว่า)

http://www.youtube.com/watch?v=pkhtgbBr-cY
Conclusion
เป็นที่น่าเสียดายว่าความพยายามครั้งแรกนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จ โดย Eliud Kipchoge วิ่งทำเวลาดีที่สุดในสามคนที่ ๒:๐๐:๒๕ ยังทำลายกำแพงสองชั่วโมงไม่ได้ และถึงแม้ว่าเวลานี้จะดีกว่าสถิติโลกปัจจุบันแต่ก็ไม่ได้รับการรับรองเป็นสถิติใหม่นะฮะ เพราะการวิ่งครั้งนี้ไม่เข้าข่ายการรับรองสถิติอย่างเป็นทางการ

หลังจากนี้ nike คงจะเอาผลที่ได้ไปปรับปรุงและพัฒนาต่อเพื่อที่จะกลับมาใหม่ในครั้งต่อไป ซึ่งทางฝั่ง adidas เองก็คงจะไม่อยู่เฉย เราอาจได้เห็นความคืบหน้าของโปรเจ็กต์ Sub2 ของค่าย adidas กันในเร็ววันนี้

หมายเหตุ : จริง ๆ ยังมีเรื่องอื่นที่น่าเขียนถึงอีก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ twitter ถ่ายทอดสดเหตุการณ์ครั้งนี้ หรือกระบวนการมาร์เก็ตติ้งของ nike ที่สามารถตรึงคนทั่วโลกให้จดจ่ออยู่กับอีเวนต์นี้ได้ตลอดสองชั่วโมงเต็ม รวมไปถึงรายละเอียดของรองเท้ารุ่นที่จะนำออกวางขายเอาทุนคืน เอ๊ย ให้นักวิ่งได้ซื้อมาสวมใส่เพื่อทำลายสถิติส่วนตัวกัน ทั้งหลายทั้งปวงนี้หากใครสนใจก็ลองหาข้อมูลกันดูนะฮะ นี่ยาวมากแล้ว สวัสดีครับ
เมื่อวานนี้สี่ปีที่แล้วกลับมาเขียนบล็อกอีกครั้ง หลังจากที่หยุดไปหลายปี เริ่มด้วยโพสต์นี้ครับ
เชียงใหม่ เพื่อนเก่าที่ไม่คุ้นเคย
ตอนที่กลับมาเขียนไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากเขียนเก็บไว้ เป็นเรื่องที่อยากเล่า อยากแชร์ความคิดกับพับลิก (เรื่องที่ไม่อยากแชร์จะเขียนลงสมุดบันทึกเอา) เขียนอะไรที่เป็นลองฟอร์ม (เอาจริงก็ไม่ค่อยลองนะ 5555) ยาวกว่าสเตตัสในเฟซบุ๊ก แต่ไม่อยากเขียนไว้ในเฟซบุ๊กเพราะเฟซบุ๊กเป็นระบบปิด เกิดวันข้างหน้าแพล็ตฟอร์มเปลี่ยนจะลำบาก แถมยังเสิร์ชหายาก เขียนเป็นบล็อกจัดการง่ายกว่า แถมเวิร์ดเพรสก็คุ้นเคยดีอยู่เพราะใช้มาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนยุคที่บล็อกยังรุ่งเรืองไม่โดนโซเชียลเน็ตเวิร์กตีกระจุยขนาดนี้
ตอนนั้นเขียนบล็อกส่วนตัวเล่าเรื่องสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย เรื่องงานบ้าง เรื่องพดด้วงบ้าง เอาเรื่องที่อ่านเจอมาเล่าต่อบ้าง อารมณ์เดียวกับที่ใช้เฟซบุ๊กตอนนี้ เขียน ๆ อยู่ก็เกิดมัน ทำเพิ่มอีกบล็อกเขียนเรื่องการเงินส่วนบุคคล (personal finance) วิธีออมเงิน เรื่องแบงก์ เรื่องดอกเบี้ย กองทุน เล่นหุ้น ฯลฯ เพราะตอนนั้นแบกหนี้อยู่บาน อินเนอร์แรง อยากเป็นอิสระทางการเงิน (โดยไม่ต้องขายตรง 5555) ไหน ๆ ก็ต้องหาข้อมูลอยู่แล้วก็เอามาเขียนบล็อกซะด้วยเลย ตอนนั้นฟิตมาก แล้วก็ข้อมูลเยอะ อาทิตย์นึงอัปหลายโพสต์อยู่ ทั้ง ๆ ที่มีคนเข้าบล็อกวันนึงไม่กี่สิบคน
แล้วจู่ ๆ วันนึงเปิดบล็อกเช็คยอดก็ตกใจ เฮ้ย!! มาจากไหน ๗๐๐ กว่า ปรากฏว่ามีคนเอาลิ้งก์ไปโพสต์ในพันทิป คนก็คลิกมาจากพันทิปเพียบเลย (ทำให้ได้รู้ถึงอานุภาพของพันทิป) หลังจากนั้นยอดก็ซาลง แต่เฉลี่ยก็เยอะกว่าช่วงแรกเยอะอยู่
หลังจากเขียนอยู่หลายปี พอดีเปลี่ยนงาน หน้าที่การงานเพิ่มขึ้น ความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น การเขียนบล็อกก็ซาลง จนที่สุดก็หยุดเขียนไปทั้งสองบล็อก
ในส่วนของบล็อกการเงิน เป็นบล็อกที่ปกปิดตัวตน ใช้นามปากกา ไม่เคยบอกใคร ถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยบอกใคร (แต่มีโป๊ะแตกมีคนจับได้สองคน ซึ่งทั้งสองคนก็ไม่น่าจะได้อ่านสเตตัสนี้) เพราะซัดสถาบันการเงินไว้เยอะ 5555 แล้วก็มีเรื่องที่ภูมิใจอยู่อย่างนึง (จะว่าขี้อวดก็ยอมรับนะ) ก็คือ มีคีย์เวิร์ดเฉพาะอยู่คำนึงที่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในกูเกิ้ล ถ้าใครเสิร์ชคำนี้บล็อกนี้จะขึ้นเป็นอันดับแรก อยู่เหนือเว็บดี ๆ เว็บมีภูมิ มีราคาทั้งมวล
ตอนที่กลับมาเขียนบล็อกอีกทีเมื่อสี่ปีที่แล้วก็ไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่า จะต้องมีคนอ่านมากน้อยแค่ไหนยังไง คิดแค่ว่า เขียนให้ตัวเองอ่าน อย่างน้อยก็ได้บันทึกความคิดของตัวเองในวันนี้เก็บไว้ ได้ฝึกมือ ฝึกเขียนเล่าเรื่องผ่านสื่อที่เปลี่ยนไปจากสิ่งพิมพ์ที่คุ้นเคย แล้วก็ไม่ได้คิดว่าต้องเขียนให้ดูหล่อ ดูฉลาด เพราะต่อให้พยายามให้ตายแม่มก็ได้แค่นี้
ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเชื่อว่า Winter แม่มต้อง coming แน่ ๆ จนปีที่แล้วต่อเนื่องมาปีนี้ที่มาแล้วจริง ๆ มาเป็นพายุหิมะแถมแผ่นดินถล่มเลยด้วย นิตยสารหลายเล่มหายไป พื้นที่นำเสนองานดี ๆ น่าสนใจก็หายไป แต่เชื่อว่าคนทำงานหลายคนที่มีฝีมือ มีของ น่าจะเอาตัวรอดได้ ไม่ว่าจะในพื้นที่สื่อประเภทเดิม หรือสื่อใหม่ที่คนทำงานอาจต้องปรับตัวบ้าง ซึ่งจะว่าไป อย่าว่าแต่คนทำสื่อเลย ในโลกการทำงานปัจจุบันนี้ใครบ้างที่ไม่ต้องปรับตัว
Only the paranoid survive… จริงมั้ย?
เมื่อหลายวันก่อนประชุมงานกับซัพพลายเออร์ หลังจากคุยกันมาร่วมสี่ชั่วโมง การสนทนาเลยเถิดมาถึง SCG แล้วจังหวะนึงพี่ซัพพลายเออร์พูดขึ้นมาว่า
SCG นี่เขานวัตกรรมอยู่แล้ว
ได้ยินปั๊บชะงักนิดนึง รู้สึกแปลกดีที่ได้ยินประโยคนี้ แสดงว่า SCG มาได้ไกลมาก เพราะภาพของ SCG เมื่อก่อนไม่มาทางนี้เลย
นิตยสารผู้จัดการ เป็นฉบับแรกที่ได้สัมภาษณ์พิเศษพี่กานต์หลังรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG
เมื่อหลายวันก่อนประชุมงานกับซัพพลายเออร์ หลังจากคุยกันมาร่วมสี่ชั่วโมง การสนทนาเลยเถิดมาถึง SCG แล้วจังหวะนึงพี่ซัพพลายเออร์พูดขึ้นมาว่า
SCG นี่เขานวัตกรรมอยู่แล้ว
ได้ยินปั๊บชะงักนิดนึง รู้สึกแปลกดีที่ได้ยินประโยคนี้ แสดงว่า SCG มาได้ไกลมาก เพราะภาพของ SCG เมื่อก่อนไม่มาทางนี้เลย
เรื่องนวัตกรรมของ SCG นี่นอกจากจะยกความดีให้กับคน SCG ทุกคนแล้ว โดยส่วนตัวผมขอยกเครดิตส่วนใหญ่ให้คนนี้ครับ คุณกานต์ ตระกูลฮุน อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่คนที่แล้ว และอีกส่วนหนึ่งก็ขอยกให้อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่คนก่อนหน้าคุณกานต์อีกที คือ คุณชุมพล ณ ลำเลียง
ความเป็นมาของเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปไกลนิดนึง SCG เริ่มประกาศนโยบายมุ่งสู่นวัตกรรมอย่างชัดเจนในช่วงปลายการดำรงตำแหน่งของคุณชุมพล (สิงหาคม ๒๕๔๗) ในตอนนั้นทุกคนยังเรียก SCG ว่า ปูนซิเมนต์ไทย และตอนจัดงานครั้งนั้นมีการทำแสงสีเป็นรูปช้าง (ในโลโก้) ก้าวออกมาจากกรอบหกเหลี่ยมที่เป็นโลโก้ด้วย สร้างความฮือฮามาก เพราะถ้าเทียบกับมาตรฐานของปูนซิเมนต์ไทยในวันนั้นแล้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่มากที่กล้าเล่นกับโลโก้ขนาดนี้
พอพี่กานต์ (ตามที่คุณกานต์พยายามให้ทุกคนเรียก) เข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่แล้ว (มกราคม ๒๕๔๙) และเริ่มเปิดตัวให้สัมภาษณ์ ทำให้ได้รู้ว่าเรื่องนวัตกรรมนี้เป็นความคิดของพี่กานต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากคุณชุมพลอีกที และเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้พี่กานต์ได้รับการพิจารณาให้รับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่
พี่กานต์เล่าถึงเรื่องนี้ว่า ช่วงปี ๒๕๔๕ ทางผู้ใหญ่มีมาถามเรื่องวิสัยทัศน์ว่า SCG ในวันข้างหน้าน่าจะไปทางไหนยังไง พี่กานต์ตอบไปประมาณนึง แต่หนึ่งในนั้นคือ ต้องเน้นนวัตกรรม กับอีกเรื่องคือ อาเซียนจะเพิ่มความสำคัญขึ้นอย่างมาก
หลังจากผู้ใหญ่มาถามสองสามคน พี่กานต์ก็เริ่มเอ๊ะแล้วว่า สงสัยตัวเองจะเป็นแคนดิเดต แต่ก็ไม่ได้มั่นใจอะไรจนกระทั่งต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๔๕ คุณชุมพลมาบอกว่า คณะกรรมการมีมติเลือกให้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่คนต่อไป
และช่วงเวลาหลังจากนั้นถือได้ว่าเป็นช่วงที่ SCG ได้ kick off และเอาจริงเอาจังกับการสร้างนวัตกรรม “อย่างเป็นระบบ” มากที่สุดองค์กรหนึ่งของไทย ซึ่งได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งขององค์กรอายุร้อยปีแห่งนี้ด้วย…
วันก่อนครับ นึกคึกอะไรขึ้นมาซักอย่างไปนั่งรื้อ ๆ ค้น ๆ ของเก่าเก็บจากการทำงาน เจอเทปม้วนนี้ครับ (ตามภาพด้านบน) พลิกดูด้านหลังลงวันที่เอาไว้ว่า บันทึกมาจากงาน Thailand Lectures ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๘
จากวันนั้นถึงวันนี้รวมเวลา ๒๒ ปีกับ ๒ เดือนพอดี (เลขสวย แทงหวยดีกว่า!!) อะไร ๆ เปลี่ยนไปมากมาย ก่อนที่จะเล่าถึงเนื้อหาในเทปม้วนนี้ ขอเล่านอกเรื่องก่อนละกัน
ประการแรก เทปม้วนนี้เป็นอภินันทนาการจาก โครงการวิทยุผู้จัดการ ฟังชื่อนี้หลายคนคงงง ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ค่ายผู้จัดการ “สยายปีก” มาทำวิทยุด้วยนะครับ อยู่ที่คลื่น ๙๗.๕ โดยมีคุณรุ่งมณี เมฆโสภณ ที่กลับมาจาก BBC ที่อังกฤษมารับหน้าที่หัวเรือใหญ่ เนื้อหาของรายการต่าง ๆ ก็จะเป็นการรายงานข่าว การวิเคราะห์ข่าว การสัมภาษณ์แหล่งข่าว ฯลฯ รวมไปถึงรายการเพลงคลาสสิกก็มีนะ ทำเป็นเล่นไป
คนที่เคยจัดรายการที่นี่หลายคนต่อมาก็ไปเติบโตมีชื่อเสียงโด่งดังกัน อย่างเช่น คุณธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย และคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ครั้งหนึ่งก็เคยร่วมกันจัดรายการ MBA On Air อยู่ที่นี่ ก่อนที่คนแรกจะไปโด่งดังกับการเป็นคอมเมนเตเตอร์ในรายการ SME ตีแตก ส่วนคนหลังก็ก้าวไปเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Open
โครงการวิทยุผู้จัดการปิดตัวไปตอนไหน อันนี้ผมจำไม่ได้แล้ว ต้องรอผู้รู้ที่มีข้อมูลแน่ ๆ มาบอกกันอีกทีนะฮะ
พูดถึงค่ายผู้จัดการ รวมทั้งตัวคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้เป็นเจ้าสำนักด้วย หลายคนอาจนึกภาพไม่ออกว่าเมื่อก่อนเคยยิ่งใหญ่ขนาดไหน ขอเล่าให้ฟังคร่าว ๆ เท่าที่รู้ก็คือ นอกจากสื่อสิ่งพิมพ์ที่เป็นหัวผู้จัดการ ทั้งหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือนแล้ว คุณสนธิยังมีความฝันที่จะสร้างสื่อที่ก้าวไปยืนในระดับภูมิภาคได้ จึงเป็นที่มาของหนังสือพิมพ์ Asia Times และนิตยสาร Asia Inc. ซึ่งเป็นสื่อภาษาอังกฤษ
ส่วนตัวของคุณสนธินั้น เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทในตลาดหุ้นหลายแห่งด้วยกัน นอกจากบริษัท ผู้จัดการ แล้ว ยังมีโรงพิมพ์ตะวันออก ที่เป็นโรงพิมพ์ใหญ่ระดับประเทศ มีบริษัท ไออีซีซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ในเวลานั้น (ถ้าจำไม่ผิด ในยุครุ่งเรืองบริษัทนี้สร้างความฮือฮาด้วยการประกาศจ่ายเงินโบนัสพนักงาน ๓๖ เดือนนะฮะ) มีบริษัทให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) อันนี้จำชื่อไม่ได้แล้ว มีโครงการสร้างโรงแรมระดับหรูที่เวียงจันทน์ และอภิมหาโปรเจ็กต์คือ ดาวเทียมสื่อสารของประเทศลาว ในชื่อ ลาวสตาร์
ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานี่แค่ส่วนหนึ่งของอาณาจักรของคุณสนธิ ซึ่งพอเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในอีกไม่กี่ปีต่อมาภาพที่เล่ามานี่ก็เป็นอดีตไปนะครับ
ประการที่สอง งาน Thailand Lectures นี้จัดที่ Regent Bangkok ซึ่งในวันนี้เปลี่ยนชื่อไปเป็น Four Seasons เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งโรงแรมหรูแห่งนี้ได้กลายเป็นที่หมายปองของกลุ่มทุน จนเกิดการแย่งซื้อหุ้นกันระหว่างทุนต่างชาติและทุนต่างชาติที่อยู่ในไทย (งงมั้ย คือ เป็นคนต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย) เรื่องราวตอนนั้นสนุกมากและตัวละครที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้คนนึงต่อมาเข้ามาเล่นการเมืองและประสบความสำเร็จได้เป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนะฮะ
ประการต่อมา คุณบัณฑูรมาพูดอะไรเรื่อง Reengineering? เป็นนายแบงก์มาพูดเรื่องวิศวะเหรอ?
สำหรับคนที่เกิดไม่ทัน (หรือเกิดทันแต่โตไม่ทัน เพราะยังใส่ขาสั้น คอซองอยู่นะฮะ) เรื่อง Reengineering เป็นเรื่องที่โด่งดังมากในประเทศไทยเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว (ขอไม่ลงรายละเอียดเรื่องนี้นะ ใครอยากรู้เพิ่มเติมลองเสิร์ชดู ชื่อ Michael Hammer ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวงแฮมเมอร์ของไทย) แล้วก็เป็นกระแสเปรี้ยงปร้างออกสื่อ มีคนพูดถึงเกือบทุกวันทั้งในภาครัฐและเอกชนก็เพราะคุณบัณฑูร นั่นล่ะ ที่ลุกขึ้นมา reengineering ธนาคารกสิกรไทยหลังจากที่รับหน้าที่กรรมการผู้จัดการได้ไม่นาน
ถึงแม้ว่าธนาคารพาณิชย์ไทยในยุคนั้นจะเอาระบบคอมพิวเตอร์มาใช้งานแล้ว แต่คุณภาพการบริการและระบบงานต่าง ๆ ยังมีหลายขั้นตอน การไปแบงก์ในยุคนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับไปติดต่อหน่วยราชการสักแห่ง ภาพที่จำติดตาก็คือ คนแน่น นั่งรอกันเต็มแบงก์ไปหมด จนมีคนตั้งสโลแกนถึงการไปแบงก์ในเวลานั้นว่า “จะฝากจะถอน เอาหมอนไปด้วย”
จนกระทั่งคุณบัณฑูรลุกขึ้นมา reengineering แบงก์กสิกรไทยนี่แหละ ลูกค้าที่เคยนั่งรอกันแน่นอยู่ในสาขาก็ลดน้อยลง เพราะให้บริการได้เร็วขึ้น พนักงานรู้สึกยังไงไม่รู้ รู้แต่ลูกค้าแฮปปี้
ความสำเร็จของการ reengineering ธนาคารกสิกรไทยทำให้คุณบัณฑูรดังเปรี้ยงปร้างมาก ใคร ๆ ก็อยากฟังเรื่องนี้ สื่อก็อยากสัมภาษณ์เรื่องนี้ แล้วก็เกิดเป็นกระแสใคร ๆ ก็อยากทำ reengineering ภาคเอกชนก็อยากทำ กระทั่งหน่วยงานรัฐยังอยากทำ เพราะทุกคนรู้สึกว่า พ อ พูดเรื่องนี้แล้วมันเท่ มีคนสนใจ สื่อลงข่าว ถ้าอยู่ในตลาดหุ้น หุ้นก็ขึ้น ขนาดนั้นเลยนะ
ก็เลยกลายเป็นทุกขลาภของบัณฑูร เพราะทุกคนก็ล้วนอยากฟังว่า การ reengineering นี่มันทำยังไง? แล้วคุณบัณฑูรซึ่งมีประสบการณ์ตรง ทำมาแล้วเนี่ย ทำยังไง? ต้องเดินสายออกไปพูดที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง รวมถึงที่งาน Thailand Lectures อันเป็นที่มาของเทปม้วนนี้
ส่วนเนื้อหาภายในเทปว่าคุณบัณฑูรพูดอะไรบ้างนั้น แน่นอน ขอยกไว้โอกาสหน้านะฮะ… ❤
จากประสบการณ์ส่วนตัว จะทำนิตยสารให้ยืนระยะถึงสิบปีได้นี่ไม่ใช่ง่าย ยิ่งในยุค Winter is coming รัว ๆ อย่างทุกวันนี้ด้วยแล้วไม่ง่ายเลย แต่ Monocle ทำได้ แถมแตกไลน์ขยายอาณาจักรออกไปได้อีก กลายเป็น case study ของคนในวงการสิ่งพิมพ์ที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงแทบทั้งโลก
เล่มนี้เป็นเล่มฉลองวาระพิเศษ ก็เลยมีเนื้อหาพิเศษแทรกมาให้อ่าน เป็นเรื่องราวของ Monocle ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ใครที่เป็นแฟนไม่อยากให้พลาด
แถมอีกนิด เล่มนี้มีบทความเกี่ยวกับธุรกิจไทยที่ไปซื้อกิจการต่างแดนให้อ่านกันด้วย เจาะไปหลัก ๆ ที่สามบริษัท เป็นใครกันบ้าง อันนี้ต้องลองเปิดดู…
ผมเป็นคนที่ติดว่าจะต้องมีสมุดบันทึกกับปากกาอยู่ใกล้ตัว เผื่อว่าจู่ ๆ เกิดนึกอะไรขึ้นมาได้จะได้จดเก็บไว้ได้ทันก่อนที่จะลืม ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยได้ใช้อะไรเท่าไหร่หรอก เพราะช่วงหลังนี่มีสมาร์ตโฟนติดตัวก็ใช้แอปในโทรศัพท์นั่นแหละ เร็วดี แต่ก็ยังมีหลายเรื่องที่เหมาะกับสมุดบันทึกมากกว่า หรือให้ความรู้สึกดีกว่า ตามประสาคนเกิดในยุคอนาล็อก
นอกจากการบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นหรือความคิดในแต่ละวันในลักษณะของ journal แล้ว อีกอย่างนึงที่จดลงสมุดบันทึกก็คือ กิจกรรมที่ตั้งใจจะทำ (เขียนอย่างนี้ไม่ค่อยตรงนะ จริง ๆ มันคือ habits tracker อ่ะ)
คอนเซ็ปต์ไอเดียของ habits tracker นี่ไม่มีอะไรมาก ปกติแต่ละคนจะมีเรื่องที่เราตั้งใจว่าอยากจะทำอยู่ใช่มะ อย่างหลายคนพอขึ้นปีใหม่ทีก็มาเลย นิวเยียร์เรสโซลูชั่นของฉันปีนี้ ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย ลดน้ำอัดลม บลา บลา บลา วันแรก ๆ ก็ได้อยู่หรอก พอผ่านไปอาทิตย์นึงก็เหลวเป๋ว เพราะหมดไฟ ทีนี้จะทำไง
ในทางจิตวิทยาเขาบอกว่า การตั้งใจทำอะไรเนี่ยถ้าคิดอย่างเดียวมันไม่หนักแน่นมั่นคงพอนะ ถ้าจะเพิ่มขึ้นมาอีกนิดก็ให้เขียนลงไป มันเหมือนกับว่า ในขณะที่เขียนเนี่ย สมองต้องสั่งการไปที่มือ ระหว่างที่มือเขียนเป็นตัวหนังสือมันก็จะย้อนกลับไปสร้างการประทับรับรู้บางอย่างที่สมองของเราไปด้วย ทำให้เราจดจำมันได้ดีขึ้น (อันนี้อย่าถามเพิ่ม พี่ขอ) นี่เป็นสเต็ปแรก ซึ่งก็ได้ผลระดับนึงล่ะ
ทีนี้ถ้าอยากกระตุ้นตัวเองมากขึ้นไปอีก เขาบอกว่า ให้ทำตารางเอาไว้ วันไหนทำได้ตามที่ตั้งใจก็ติ๊กไว้ วันไหนไม่ได้ทำก็ว่างไป การทำอย่างนี้มันจะช่วยแปลงการลงมือทำของเราเป็นภาพ (visualization) ออกมาได้ ก็จะช่วยได้มากขึ้น เพราะจะทำให้เห็นเลยว่า ไอ้ที่เราตั้งใจไว้น่ะ จริง ๆ แล้วเราทำได้ขนาดไหน เช่น ตั้งใจว่าฉันจะวิ่งอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๓ วัน พอมาดูตาราง อ้าว ชิบหาย อาทิตย์นี้วิ่งได้แค่วันเดียวงี้ แล้วที่สำคัญ ห้ามโกง อย่าหลอกตัวเอง อารมณ์แบบ เฮ้ย อาทิตย์นี้ไม่ได้อ่านหนังสือเลย งั้นหยิบมาพลิก ๆ ทำท่าเหมือนอ่านซักหน้าสองหน้าจะได้ไปติ๊กตารางได้ อย่างนี้ไม่ดี หลอกใครก็อาจจะหลอกได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้นาจา
ในทางจิตวิทยาเขายังบอกอีกว่า สำหรับบางคน (พวกที่มี motivate เยอะ ๆ ซึ่งไม่ใช่ผม) พอเห็นที่ติ๊กเอาไว้แล้วมันจะเกิดลูกฮึด อยากให้มีติ๊กเยอะ ๆ ติ๊กติด ๆ กัน ติ๊กทุกวันงี้ มันก็จะเกิดแรงขับเอาชนะความขี้เกียจให้ลุกขึ้นมาทำได้ จนกระทั่งสุดท้ายจะติดเป็นนิสัย สามารถลุกมาทำได้เองไม่ว่าจะมีติ๊กหรือไม่มีติ๊กมาบังคับ ซึ่งถ้าใครมาถึงขั้นนี้ได้ถือว่าเป็นความสำเร็จในระดับถล่มทลายแกรนด์แสลม ประหนึ่งลีโอนาโดได้ออสการ์
ที่เล่ามานั่นคือหลักการ ส่วนลูกเล่นหรือเทคนิคที่ใครจะไปปรับแต่งยังไง หรือจะตกแต่งให้สวยงามตามสไตล์อันนี้ก็สุดแท้แต่นะฮะ
ถ้าใครอ่านแล้วสนใจจะทำบ้างแต่นึกภาพไม่ออก ขออนุญาตแปะรูปตารางของตัวเองให้ดู เป็นของเดือนมกราคมที่ผ่านมา บางรายการทำได้ดีมาก คือ อ่านหนังสือ (อันนี้นับเฉพาะที่อ่านหนังสือเป็นกระดาษ ไม่นับพวกบทความในเน็ต) สามารถอ่านได้เกือบทุกวัน และเป็นสาเหตุที่ทำให้อ่าน everything store ได้จบเล่มตามที่ตั้งใจไว้ บางรายการก็ยังทำได้น้อย อย่างเขียนบล็อก พอเปิดมาดูเห็นแบบนี้มันก็จะเกิดอารมณ์ประมาณ เฮ้ย ไม่ได้ ไม่ได้ อย่าขี้เกียจ อะไรประมาณนี้
ใครมีเทคนิคอะไรเพิ่มเติมในเรื่องนี้ หรือมีเรื่องอื่นที่ใช้จดลงในสมุดบันทึกก็เอามาแชร์กันบ้างนะฮะ…