หนี้ท่วมตัว

เฟซบุ๊กโชว์เพจนึงขึ้นมาบนฟีด เป็นเพจเกี่ยวกับการให้คำแนะนำแก้ปัญหาเรื่องหนี้ส่วนบุคคล ลองไถ ๆ ดูแต่ละโพสต์จะเป็นรายละเอียดหนี้ของลูกเพจแต่ละคนที่มาขอคำปรึกษา

นั่งไล่อ่านดูแล้วมีข้อสังเกตสองสามเรื่องตามนี้

ข้อแรก คนมีปัญหาหนี้ท่วมตัว (หนี้ส่วนบุคคลไม่ใช่หนี้จากการทำธุรกิจ) เดี๋ยวนี้ขยับขึ้นมาเป็นคนมีรายได้ระดับเดือนละแปดหมื่นถึงหนึ่งแสนบาทกันแล้ว ไม่ใช่แค่สองสามหมื่นอย่างเมื่อก่อน

เอาจริงเรื่องนี้ก็เคยได้ยินมาก่อนแล้ว แต่ไม่เคยเห็นรายละเอียดว่า คนที่มีรายได้ระดับนี้เขาเป็นหนี้อะไรเท่าไหร่กันบ้าง แต่ข้อมูลในเพจนี้ทำให้เห็นรายละเอียดมากขึ้น

ข้อสอง คนที่มาขอคำปรึกษาจากเพจนี้จำนวนมาก (เกิน 90% ของเคสที่โพสต์) เป็นหนี้นอกระบบด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ไม่ได้เป็นหนี้นอกระบบแค่เจ้าหนี้รายเดียวแต่หลายรายเลย

ในโพสต์ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าทำไมถึงเป็นหนี้นอกระบบ แต่เดาว่าเริ่มจากเป็นหนี้ในระบบจนเอาไม่อยู่ ผ่อนจ่ายไม่ไหว หันไปทางไหนไม่ได้แล้วก็เลยต้องหันไปพึ่งหนี้นอกระบบเพื่อเอามาหมุนจ่ายหนี้ในระบบ

ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนจะช่วยได้ แต่ความจริงแล้วการทำแบบนี้เป็นการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นหายนะ เพราะพอเดินทางนี้แล้วอีกสักพักก็จะเอาไม่อยู่อีก ก็จะต้องหาเจ้าหนี้นอกระบบรายที่สอง สาม สี่ ไปเรื่อย ๆ จนหนี้ที่ท่วมตัวกลายเป็นท่วมมิดหัวหายใจไม่ออกเลยทีนี้

ข้อสาม ลูกหนี้หลายคนมีหนี้จากการซื้ออสังหาริมทรัพย์เยอะมาก บางคนผ่อนบ้านอยู่สามหลังทั้งที่ฐานเงินเดือนไม่น่ากู้ผ่านได้ขนาดนี้ บางคนมีทั้งหนี้บ้านหนี้คอนโดฯ โดยที่รายได้ไม่น่ากู้ได้

อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นผลมาจากการโหมประโคมการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ คิดว่าซื้อไว้แล้วจะปล่อยขายทำกำไรแต่ปล่อยไม่ได้ หรือว่ามาจากความต้องการจริงที่อยากซื้อบ้านซื้อคอนโดฯ เก็บไว้ แต่มันเกินกำลังผ่อนไม่ไหว

อีกเรื่องที่น่าสงสัยคือ สถาบันการเงินปล่อยกู้มาได้ยังไงขนาดนี้ หลงหูหลงตาพลาดจริง ๆ หรือมันมีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้กู้ผ่านได้ ถ้าใครรู้วิธีช่วยบอกทีจะขอบคุณมากครับ

เลิฟ เลิฟ ♥️♥️

สองเรื่องที่คนวัยทำงานควรทำ

มีสองเรื่องที่คนในวัยทำงานสามารถทำได้และจะช่วยให้ชีวิตของพ่อแม่พี่น้องหรือครอบครัวเราง่ายขึ้นถ้าเราตาย สองเรื่องนี้จะลดความวุ่นวายปวดหัวไปได้เยอะ

เรื่องแรก ทำรายการทรัพย์สินที่มีเอาไว้ให้ครบและบอกให้ครอบครัวรู้ว่ารายการนี้อยู่ที่ไหน

รายการทรัพย์สินนี่ใส่ไว้ให้ครบเลยนะ เพราะทุกวันนี้ asset class มีหลายแบบมาก ทั้งบัญชีเงินฝาก มีกี่สถาบันการเงิน มีกี่บัญชี บัญชีละเท่าไหร่ หุ้นกู้มีมั้ย ตัวไหนบ้าง ตัวละเท่าไหร่ หุ้นล่ะมีมั้ย อยู่โบรกฯ ไหน ในพอร์ตมีตัวไหนบ้าง บางคนมีทองคำด้วย มีกี่บาท ฯลฯ

แล้วยังต้องรวมพวกเงินประกันชีวิต กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสงเคราะห์ศพ ทั้งหลายทั้งปวงอีกนะ ลิสต์มาให้ครบว่าต้องได้เท่าไหร่ ติดต่อใคร

ส่วนว่าทำรายการเสร็จแล้วจะให้ใครเก็บเอาไว้บ้าง อันนี้ก็ตามสะดวกเลยนะฮะ แต่อย่าลืมอัปเดตรายการเรื่อย ๆ ด้วยล่ะ

เรื่องที่สอง เขียนพินัยกรรมให้เรียบร้อย อะไรจะให้ใคร แล้วก็ตั้งผู้จัดการมรดกระบุเอาไว้ด้วย อย่าให้คนข้างหลังต้องมาวุ่นวายทะเลาะกันเสียเวลา

คนเราจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ถ้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ปุบปับไม่หายใจขึ้นมาอย่างน้อยคนข้างหลังก็ไม่ต้องมาวุ่นวายกับเรื่องนี้นะฮะ

เลิฟ เลิฟ ♥️

ค่าครองชีพปี ๒๕๖๖

เมื่อเช้าเห็นโพสต์ fb ในกลุ่ม นึงพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจตอนนี้ หลายคอมเมนต์บอกตรงกันว่าทำมาหากินลำบากขึ้น ค่าใช้จ่ายประจำวันก็สูงขึ้น หลายคนบอกว่าอย่าพูดถึงเงินออมเลยเอาให้ชักหน้าถึงหลังได้ก่อนมั้ย

เห็นคอมเมนต์มาแนวนี้ก็เลยลองเอาข้อมูลตัวเองที่บันทึกเอาไว้มาลองคำนวณดู เออ น่าสนใจ เลยเอามาแชร์เป็นข้อมูล เผื่อใครมีความคิดเห็นยังไงมาถกกันได้

จากข้อมูลพบว่า ค่าใช้จ่ายรวมทั้งปีของปี ๒๕๖๖ เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๖๕ อยู่ ๘.๙๗% (ถ้าปัดกลม ๆ ก็ ๙%)

หมายเหตุไว้ก่อนว่า ไลฟ์สไตล์เป็นแบบเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรนะ

โดยที่ค่าใช้จ่ายนี้รวมทุกอย่างแล้ว ทั้งค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่าสาธารณูปโภค ค่าส่วนกลางหมู่บ้าน ไปยันค่าสมัครงานวิ่งและอุปกรณ์ทั้งหลายทั้งปวง

แต่ถ้าแยกหมวดออกมาเฉพาะค่าอาหารจะพบว่า ค่าอาหารของปี ๒๕๖๖ เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๖๕ อยู่ ๑๓.๙๘% (ปัดกลม ๆ ก็ ๑๔%)

แปลว่าอะไร?

เอาคร่าว ๆ นะ ข้อแรก ถ้าปี ๒๕๖๖ ได้เงินเดือนขึ้นไม่ถึง ๘.๙๗% แปลว่า รายได้จริง ๆ ลดลง (ชิหายล่ะ 5555)

ข้อสอง อัตราการเพิ่มขึ้นของค่าอาหารเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าใช้จ่ายหมวดอื่น ๆ 

อันนี้แก้ไม่ยาก กินให้น้อยลงมั้ย?

เดี๋ยววววววว มันได้เหรอ

อย่างที่บอกข้างต้นว่าอันนี้คิดจากไลฟ์สไตล์ตัวเอง ซึ่งของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป ถ้าใครผ่อนบ้านอยู่มีดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายด้วย ถ้าเมื่อไหร่ดอกเบี้ยขยับขึ้นก็จะกระทบกับยอดค่าใช้จ่ายรวมไปด้วย อันนี้ก็ต้องระวัง

ถ้าใครว่าง ๆ ก็ลองคำนวณของตัวเองดูแล้วมาแชร์กันนะฮะ… ❤

เงินเก็บเพื่อใช้หลังเกษียณ

An old Thai man with lots of money

วันก่อนได้คุยกับน้องที่สนิทกันเรื่องที่ว่าต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ถึงจะพอใช้ยามหลังเกษียณ?

(อันนี้เนื่องจากเรามาถึงวัยที่ควรจะคิดถึงเรื่องนี้กันได้แล้วนะถึงปากจะไม่ยอมรับก็เถอะ 😆🤣)

คำตอบของคำถามนี้สำหรับแต่ละคนแตกต่างกันไป สำหรับตัวเองมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาสองข้อ

ข้อแรก ไลฟ์สไตล์หลังเกษียณที่ต้องการจะใช้เงินเดือนละเท่าไหร่ อันนี้เอาตามที่ใจอยากเลย

ข้อสอง เงินเก็บก้อนที่มีอยู่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนได้ปีละเท่าไหร่?

อันนี้หมายเหตุไว้นิดนึงว่าความต้องการส่วนตัวคืออยากให้ผลตอบแทนของเงินเก็บมีพอ (หรือเกินพอ) กับเงินที่ต้องใช้แต่ละเดือน เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับตัวเงินต้นเลย เผื่อเอาไว้กรณีฉุกเฉินหรือที่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่จริง ๆ ค่อยดึงเงินต้นมาใช้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรากะว่าชีวิตหลังเกษียณจะใช้เงินเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท น่าจะอยู่ได้ (อ๋าาาาา จริง ๆ อยู่ได้มั้ย?) -> อันนี้เสียงพี่จอง 😆🤣

และคาดว่าเงินเก็บที่เราทำงานหลังขดหลังแข็งอดออมมาทั้งชีวิตน่าจะได้ผลตอบแทนซัก ๓.๕% ก็พอ (ตัวเลขนี้ประเมินคร่าว ๆ จากอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้บริษัทที่พอไว้ใจได้ อาจจะไม่ถึงขนาดปตท หรือเอสซีจี แต่ก็ยังพอหาได้)

คำนวณย้อนกลับไปจะได้ว่าเงินเก็บที่ต้องมีคือ สิบล้านบาท!!! (เอากลม ๆ นะ)

ถ้าใครประเมินว่าหลังเกษียณจะต้องใช้เงินแต่ละเดือนมากกว่านี้ก็มีสองทางเลือกคือ เพิ่มตัวเลขเงินเก็บก่อนที่จะเกษียณให้มากขึ้นอีก

หรือหาวิธีเพิ่มผลตอบแทนจากเงินเก็บให้สูงขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องความเสี่ยงที่อาจจะเพิ่มขึ้นไปด้วย เพราะวัยนี้แล้วถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาเงินหดหายไปจะกลับไปทำงานใหม่ก็ลำบากแล้ว

หรือถ้าเห็นตัวเลขสิบล้านแล้วถอดใจ (เหมือนที่พี่เป็นอยู่) ก็พยายามทำใจว่าอาจต้องทำงานต่อหลังจากที่ชีวิตถึงวัยเกษียณแล้วนะฮะ

ชีวิตมันก็แบบนี้ จะให้ได้อย่างใจทุกอย่างก็คงยากอ่ะนะ…

ไม่เข้าใจ SCB

วันนี้มีเรื่องที่ไม่เข้าใจ แล้วก็หาคนอธิบายให้เข้าใจไม่ได้ด้วย เลยมาลองเล่าตรงนี้ละกัน เผื่อมีคนอธิบายให้เข้าใจได้

เช้านี้เข้าแอป SCB Easy เพื่อจะไปเปลี่ยนวงเงินการทำรายการในบัญชี ด้วยความตั้งใจที่จะลดความเสี่ยง หากเกิดความผิดพลาดไม่ว่าจะโดยระบบของแบงก์หรือ user error ผู้ใช้เอ๋อ ๆ (ซึ่งก็คือพี่นี่แหละ)

พอทำการลดวงเงินที่จะโอนออกจากบัญชีเรียบร้อย (ระบบแม่งตั้งไว้สิบล้าน บ้านมึงเถอะ ถ้ากุมีขนาดนั้นกุไปนอนเล่นไข่หมาอยู่บ้านแล้วมั้ย) พบว่ามีสามรายการที่ทำผ่านแอปไม่ได้ คือ การชำระบิล การเติมเงิน และวงเงินบัตรเติมเงิน ก็เลยโทรเข้า call center ด้วยความมั่นใจว่า ทาง call center ต้องทำให้ได้

หลังจากเล่าความต้องการให้น้อง call center ฟังแล้ว น้องพักสายไปครู่นึง เข้าใจว่าไปถามคนอื่น แล้วกลับมาบอก ซึ่งเป็นความประหลาดใจข้อแรกคือ call center ทำให้ไม่ได้ว่ะ

เอาน่า ไม่เป็นไร อาจจะเป็นระบบความปลอดภัยของแบงก์ อยากให้ผู้ใช้ไปยืนยันตัวตนงี้ งั้นพี่ไปทำที่สาขาธนาคารก็ได้ ก็มาเป็นความประหลาดใจข้อสอง คือ ที่สาขาก็ทำไม่ได้เว้ยยยยยย!!

น้อง call center บอกว่า สามรายการนี้ถูกตั้งค่ามาจากระบบ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องแจ้งไปที่ฝ่าย IT อย่างเดียว

เดี๋ยวนะ มึงตั้งค่าในระบบให้ทำรายการชำระบิลได้สองล้านบาท เติมเงินได้ห้าแสนบาท แล้วก็มีวงเงินบัตรเติมเงิน (ซึ่งคืออะไรก็ไม่รู้) อีกห้าแสนบาท แต่ไม่ให้เจ้าของบัญชีเปลี่ยนวงเงินได้เนี่ยนะ

แล้วถ้าเกิดปัญหาโดนแฮกจะด้วยจากทางแบงก์เองหรือจากทางผู้ใช้ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีแต่ประสงค์ทรัพย์มาทำการจ่ายบิลหรือเติมเงินอะไร ทำให้เงินไหลออกจากบัญชีไปได้ จะต้องทำยังไงฟระ

น้อง call center ก็ดีมาก บอกว่า เดี๋ยวจะแจ้งความต้องการของลูกค้าไปที่ฝ่ายไอที เมื่อได้คำตอบแล้วจะติดต่อกลับ

ถามไปว่าใช้เวลานานแค่ไหน น้องบอกปกติจะภายใน ๒๔ ชั่วโมง โอเค ได้เลย พี่จะรอ

ไม่เกินครึ่งชั่วโมงน้องโทรมา อันนี้ดี พี่ต้องชม แต่ข้อความที่น้องบอกทำให้ประหลาดใจครั้งที่สาม ฝ่ายไอทีบอกว่าเปลี่ยนวงเงินให้ไม่ได้ เพราะเป็นการตั้งค่าทั้งระบบ หมายความว่าถ้าเปลี่ยนให้พี่คนเดียว จะส่งผลกับลูกค้า SCB ทั้งหมด

เยสเข้!!!!!!!

กุว่าไม่ปกติล่ะ

น้องยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่าทำให้ไม่ได้จริง ๆ ฝ่ายไอทีแจ้งมาแบบนั้น เราก็เข้าใจคนหน้างานก็ไม่ได้ว่าอะไรน้อง แต่ขอฝากคอมเมนต์เข้าระบบไปหน่อย เผื่อว่าจะผ่านตาใครที่มีอำนาจตัดสินใจได้อ่านแล้วจะแก้ไขหรือมีคำตอบที่ช่วยให้พี่เข้าใจได้นะ

แล้วก็มาโพสต์ที่นี่อีกทางเผื่อจะได้คำตอบนะฮะ… เลิฟ เลิฟ

SCB Easy app
สามรายการที่ว่าครับ

ประสบการณ์มนุษย์เงินเดือนฝ่าวิกฤติต้มยำกุ้ง

เผื่อจะเป็นประโยชน์ในวันข้างหน้า แต่หวังว่าจะไม่มีใครต้องเจอนะฮะ

๑. ตั้งสติให้มั่น เตือนใจตัวเองไว้ว่า นี่เป็นช่วงเวลาไม่ปกติ มันจะ (โคตร) เหนื่อยกายเหนื่อยใจ แต่สุดท้ายมันจะผ่านไป อย่าท้อ เสียอะไรเสียไป ใจอย่าเสีย

๒. ทำรายการรายรับ-รายจ่ายให้พร้อม ยึดหลักการ ลด – ละ – เลิก อย่างน้อยซักสาม scenario

– ถูกตัดเงินเดือน ๑๐% จะลดอะไร จะเลิกอะไร

– ถูกตัดเงินเดือน ๓๐% รายการไหนที่จะโดน ฝืนใจแค่ไหนก็ต้องตัด

– ถูกเลิกจ้าง ลืมไลฟ์สไตล์เดิม ๆ ไปได้เลย นี่แม่งต้องเข้าโหมด survive แล้ว ต้องอยู่ให้ได้ด้วยค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เพื่อประคองตัวไปให้นานที่สุด ก่อนจะได้งานใหม่

รายการ ลด – ละ – เลิก พวกนี้ของใครของมันนะครับ อยู่ที่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน อันนี้ต้องประเมินตัวเอง ถามว่า ทำไมต้องคิดตั้งแต่ตอนนี้? ก็เพราะตอนนี้ยังมีสติและยังมีเวลาให้เตรียมการล่วงหน้าได้ ถ้าไปคิดตอนนั้นอาจจะกำลังเมาหมัดอยู่ คงไม่ค่อยดีนัก

๓. ในยามวิกฤติคนที่มีสภาพคล่อง (หรือเงินสด) จะได้เปรียบและยืนระยะได้นานกว่า (ซึ่งจะนำไปสู่ข้อถัดไป)

๔. แปลงสินทรัพย์เป็นทุน ของสะสมส่วนตัวหรือสมบัติบ้าห้าร้อยจำพวก กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกา อะไรที่คิดว่าไม่จำเป็น ตอนนั้นลืมตัวกดสั่งซื้อหรือรูดบัตรมา แต่ไม่ได้ใช้ ใช้ไม่คุ้ม ไม่ต้องมีก็ได้ เอามาขายแปลงเป็นเงินสดซะ อย่าเสียดาย เพราะถ้าวิกฤติมาจริงถึงตอนนั้นทุกคนจะระดมเอาออกมาขาย ราคาจะตกฮวบ กลายเป็นโอกาสช้อนซื้อของคนที่มีสภาพคล่อง (และไม่เดือดร้อน)

๕. หา value ตัวเองให้เจอแล้วแปลงเป็นรายได้ ลองหาดูว่าตัวเองมี skill อะไรที่พอจะเอามาสร้างรายได้ได้บ้าง พยายามขุดให้เจอ ทำกับข้าว ทำขนม ถ่ายรูป วาดรูป อะไรซักอย่างที่วันข้างหน้าอาจช่วยชีวิตเราได้

๖. สมัครบัตรเครดิตเก็บไว้ แต่อย่าเพิ่งใช้นะ เอาไว้ยามจำเป็นจริง ๆ จะช่วยเรื่องสภาพคล่องของเราได้ ส่วนตัวตอนต้มยำกุ้งนี่ได้บัตรกสิกรไทย ช่วยหมุนเงินรูดเติมน้ำมัน ซื้อของซูเปอร์ฯ ได้

ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน ด้วยรักจากใจหนุ่มใหญ่วัยเกรียนย่านบางบัวทองฮะ…

อย่าคิดว่าจะชนะเจ้ามือแชร์ลูกโซ่

Image Source – http://www.pulse.ng/gist/ponzi-scheme-twinkas-makes-wave-among-nigerians-as-mmm-fades-away-id6322118.html

เรื่องแชร์ลูกโซ่ (ในภาพรวมนะ ไม่ได้เจาะจงถึงเคสไหน) เอาจริง ๆ จะมีผู้เสียหายที่เป็นผู้เสียหายจริง ๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร เข้ามาเพราะอยากได้ผลตอบแทนเกินจริง นี่เป็นกลุ่มนึง

และจะมีอีกกลุ่มนึง กลุ่มนี้รู้แหละว่าไอ้เนี่ยเป็นแชร์ลูกโซ่ แต่เชื่อว่าตัวเองจะ beat the system ได้ เชื่อว่าตัวเองสามารถเข้าเร็วออกเร็ว ทำกำไรได้ก่อนที่เจ้าจะหนี (เจ้า ในที่นี้คือ เจ้ามือ นะฮะ เข้าใจเนอะ)

เปรียบเหมือนคนเล่นหุ้นปั่น รู้ว่าตัวนี้เจ้ากำลังปั่น แต่คิดว่าตัวเองเร็วพอ เข้าเร็วออกเร็ว ออกได้ก่อนที่เจ้าจะเท

ซึ่งสุดท้ายก็รอดบ้างมอดไหม้ไปบ้างนะครับ

If it’s too good to be true then it probably is! ดำรงชีวิตอย่างมีสติและระมัดระวัง ด้วยรักจากใจหนุ่มใหญ่วัยเกรียนย่านบางบัวทองนะฮะ… 😊

เล่าเรื่องแบงก์ออมสิน

เมื่อวาน (วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่สองของเดือน) ไปทำธุรกรรมที่ธนาคารในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ไล่เรียงไปตั้งแต่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทหารไทย และออมสิน ความที่ไม่ได้เข้าแบงก์มานานประมาณนึงสังเกตเห็นความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ คือ ที่ธ.อ.ส.กับทหารไทย ไม่มีลูกค้ารอคิวอยู่เลย พอเข้าไปกดบัตรคิวระบบก็เรียกเข้าไปทำธุรกรรมได้เลย

ส่วนที่ออมสินต่างออกไป เดินเข้าไปก็เห็นว่ามีคนนั่งรอคิวอยู่เกินสิบคน พอกดบัตรคิวตัวเลขบอกว่า มีคิวก่อนหน้าอยู่ ๑๕ คิว โดยที่เป็นคิวของการเปิดบัญชีใหม่อย่างเดียว ไม่นับการฝาก-ถอนที่ใช้คิวอีกชุดนึง

ระหว่างที่รอก็เดินไปเดินมาอยู่หน้าแบงก์ทำให้เห็นว่าแบงก์ออมสินมีนวัตกรรมที่ยังไม่เคยเห็นมาก่อน (ใครเคยเห็นแล้วไม่ว่ากันนะ) คือ เครื่องเปิดบัญชีใหม่ เห็นมีปุ่มเปิดบัญชีใหม่ให้กดก็เลยลองกดดู เซอร์ไพรส์มาก แม่งคอนเน็กไปหาเจ้าหน้าที่โผล่เป็นตัวเป็น ๆ ขึ้นมาบนหน้าจอ แล้วคุยโต้ตอบกับเราได้เว้ย เหมือนวิดีโอคอลคุยกัน

นี่นึกในใจว่า เสร็จกู จะมานั่งรอทำไมให้เมื่อย ใช้เครื่องนี้เลยสิวะ ปรากฎว่า แห้ว ใช้ไม่ได้ เพราะบริการนี้ต้องใช้เปิดบัญชีแล้วฝากเงินสด แต่เมื่อวานไปฝากแคชเชียร์เช็คก็เลยใช้ไม่ได้ เข้าไปนั่งรอเคาน์เตอร์เรียกตามเดิม รวมเบ็ดเสร็จกว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้นใช้เวลาไปสองชั่วโมงกว่า ไม่รู้ว่าที่นานนี่เพราะคนนิยมมาใช้บริการแบงก์ออมสินมากกว่าแบงก์อื่น หรือระบบมันหลายขั้นตอนทำให้ใช้เวลานาน

จะว่าไปตั้งแต่ที่ได้ผู้อำนวยการคนใหม่ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงมาจากแบงก์เขียว แบงก์ออมสินทันสมัยขึ้นมาก มีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก บริการกดเงินโดยไม่ใช้บัตรก็มี แอปทางมือถือก็มี เวนเจอร์แคปก็มี บริการใหม่ ๆ พวกนี้ต้องชมเลย และไหน ๆ ก็พัฒนาเครื่องเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมาแล้วอยากให้มีพนักงานมายืนโปรโมตกระตุ้นลูกค้าให้ไปลองใช้บริการดู เผื่อจะช่วยลดปริมาณลูกค้าที่เคาน์เตอร์ไปได้อีกทางนึงนะครับ

ตลาดหุ้นไทยเจอ AI หรือ Flash Boys?

เมื่อเช้ามีคนส่งรูปนี้เข้ามาในกรุ๊ปไลน์ เห็นพาดหัวข่าวลีดแล้วนึกถึงสองเรื่องนะฮะ

เรื่องแรก นึกถึงหนังสือ flash boys ของคุณพี่ michael lewis หนึ่งในนักเขียนเรื่องไฟแนนซ์ที่ดีที่สุดในโลก (อันนี้ไม่มีใครตั้ง ผมตั้งเอง)

ที่นึกถึงหนังสือเล่มนี้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันช่างใกล้เคียงกับสิ่งที่พี่ lewis เล่าไว้ในหนังสือมาก ๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องของ AI แต่เป็นเรื่องอื่น ซึ่งเป็นการเอาเปรียบนักลงทุน

สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ลองอ่านรีวิวสั้น ๆ ดูก่อนได้ที่นี่ครับ

https://buak.net/2016/02/27/review-flash-boys-michael-lewis/

(ขายของเก่ากันหน้าด้าน ๆ หยั่งงี้แหละ 😂)

เรื่องที่สองที่นึกถึงคือ เมื่อสองสามปีก่อนตอนทำหนังสือให้ผู้หลักผู้ใหญ่คนนึง แกอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนกัน ที่สำคัญ แกบอกว่า แกเห็นเหตุการณ์คล้าย ๆ กับในหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยด้วย

ตอนนั้นด้วยความอยากให้ชัวร์ ถามแกไปว่า รู้ได้ไง? แกตอบว่า ก็ตอนแกเคาะแป้นกดคำสั่งซื้อ/ขาย ออเดอร์อีกฝั่งมันหายไปเฉย ๆ ต่อหน้าต่อตาเลย (แกเป็นรายใหญ่ประมาณนึงนะฮะ)

ด้วยความอยากรู้อีก ถามแกว่า คิดว่าโบรกไหนที่ใช้ระบบนี้?

แกให้ชื่อมาโบรกนึง…

ย้ายกองทุน LTF ข้ามบลจ.

เมื่อวานไปทำธุรกรรมทางการเงินที่ไม่เคยทำมาก่อนคือ การเปลี่ยนกองทุน LTF ข้ามบลจ. (ด้วยเหตุว่ากองนี้มัน performance ไม่ดีเอาเลย ไปรวมอยู่กับกองแรกที่เคยซื้อไว้เมื่อหลายปีก่อนดีกว่า)

ธุรกรรมนี้ตัวเองไม่เคยทำนี่ไม่แปลก เพราะใครมันจะไปย้ายกองทุนเล่นกันบ่อย ๆ แต่ปรากฏว่าน้องพนักงานที่แบงก์ก็ไม่เคยทำด้วยนี่สิ เป็นทั้งขาย้ายออกและขารับเข้าเลย

ขนาดหาข้อมูลไปล่วงหน้า เตรียมตัวไปก่อนแล้วว่า ไปที่ขาย้ายออกก่อนนะ แจ้งความต้องการไป ได้แบบฟอร์มมา กรอกให้เรียบร้อย เอาไปยื่นที่ฝั่งรับเข้า ให้เขาทำรายการ แล้วเอาเอกสารกลับมาส่งคืนที่ฝั่งย้ายออก

ฟังดูเหมือนไม่มีอะไรเลย ง่าย ๆ เลยใช่มะ

ตัดภาพมาของจริง พนักงานที่ฝั่งย้ายออกทำไม่เป็น ต้องโทรถามศูนย์ตลอดทุกสเต็ป กระทั่งว่าพนักงานจะต้องเซ็นชื่อตรงช่องไหนยังต้องถาม

ได้เอกสารมา ไปฝั่งรับเข้าบ้าง ไม่น้อยหน้ากัน ต้องโทรถามศูนย์ทุกขั้นตอนเหมือนกัน สุดท้ายเสร็จแล้วเดินเอาเอกสารไปส่งที่ฝั่งย้ายออกแล้ว พนักงานฝั่งรับเข้ายังมีโทรมาตามให้ไปประเมินความเสี่ยงใหม่ เพราะของเดิมหมดอายุแล้ว

บอกตรง ๆ นี่ไม่มั่นใจเลยว่ากองทุนมูลค่าไม่กี่สิบบาทของพี่จะย้ายได้สำเร็จมั้ย จะถูกตามไปกรอกเอกสารหรือแก้ไขอะไรอีกหรือเปล่า

อ้อ ที่เล่ามานี่แม่พดด้วงเป็นคนจัดการนะ พี่แค่ไปเซ็นชื่อ บอกแล้วว่าเรื่องเงินนี่เราดูแค่นโยบาย ดูภาพรวม เรื่องรายละเอียด เรื่องหยุมหยิมให้เขาจัดการไป ทุกวันนี้ในกองทุนมีอยู่กี่บาทยังไม่รู้เลย เรื่องเล็กน้อยแบบนี้เราอย่าไปเสียเวลา โอเคนะ…