ณ ร้าน H&C ริมคลองบางกอกน้อย
Author: Buak Bangbuathong
เฉียด (Seconds Away)
นิยายสืบสวนสอบสวนจากฮาร์ลาน โคเบน (Harlan Coben) ชุดนี้ตัวเอกชื่อ Mickey Bolitar ซึ่งเป็นหลานของ Myron Bolitar (ตัวเอกของชุดก่อนหน้า)
Mickey Bolitar เป็นนักเรียนมัธยมปลายที่บังเอิญสาวสวยเพื่อนร่วมโรงเรียนและแม่ถูกยิง จนแม่ของเพื่อนเสียชีวิต ก็เลยต้องออกแรงสืบเพื่อหาตัวผู้ลงมือตามแนว Whodunit โดยในระหว่างนั้นก็มีความวุ่นวายในชีวิตประจำวันตามประสาวัยรุ่นในโรงเรียนมัธยมปลายเข้ามาประกอบเป็นน้ำจิ้ม
สนุกไม่แพ้ชุด Myron Bolitar นะครับ
เฉียด (Seconds Away)
ผู้เขียน : ฮาร์ลาน โคเบน (Harlan Coben)
ผู้แปล : มณฑารัตน์ ทรงเผ่า
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
หมายเหตุ : เล่มนี้พบจุดที่ปรู๊ฟผิดอยู่ ๓-๔ จุด คาดว่าทางสำนักพิมพ์จะแก้ไขให้เรียบร้อยถ้ามีโอกาสพิมพ์ซ้ำ
พลาด (One False Move)
นิยายสืบสวนสอบสวนในชุด Myron Bolitar ซึ่งเป็นชื่อของตัวเอกที่ไม่ได้เป็นตำรวจ ไม่ได้เป็นนักสืบ แต่เป็นตัวแทนนักกีฬา (แบบเดียวกับ Tom Cruise ใน Jerry Maguire) ในเล่มนี้ตัวเอกเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่ทำให้ต้องสืบหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อยี่สิบปีก่อนและส่งผลต่อเนื่องให้มีคนตายหลายคน
นอกจากพลอตเรื่องแล้วจุดที่ชอบอีกอย่างคือ ตัวเอกมีลักษณะชอบกล่าวถึงเหตุการณ์หรือคนอื่นเชิงเปรียบเทียบในแบบ “เหน็บ” และเสียดสี เช่น เอ่อ…อย่าเล่าดีกว่า ต้องอ่านเจอเอง
อ่านสนุกจนตั้งใจว่าต้องหาเล่มอื่นในชุดเดียวกันมาอ่านอีก ขนาดนั้น…
พลาด (One False Move)
ผู้เขียน : ฮาร์ลาน โคเบน (Harlan Coben)
ผู้แปล : อริณี เมธเศรษฐ
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
วาระแห่งปี ๒๕๕๗
ปกติแล้วปีใหม่แต่ละปีที่มาถึงผมไม่เคยมีวาระที่จะทำอะไรเป็นพิเศษ (อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า resolution) แต่เมื่อต้นปีนี้ (๒๕๕๖) เกิดนึกคึกอะไรขึ้นมาไม่รู้ นั่งทำรายการสิ่งที่อยากจะทำให้ได้ในปีนี้เอาไว้ ๔-๕ ข้อ แล้วก็พยายามตั้งใจทำให้ต่อเนื่อง ปรากฎว่าเวิร์ค ทำได้หลายข้อ แล้วก็รู้สึกดีเพราะแต่ละข้อเป็นเรื่องที่อยากทำมานานแต่ไม่เคยทำได้สำเร็จซักที อย่างเช่น การออกกำลังกาย ซึ่งทีแรกเขียนไว้ว่าจะปั่นจักรยาน แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นการวิ่งตอนเช้าแทน ซึ่งก็โอเคมาก หรือการเขียนบันทึก (journal) ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เขียนๆ หยุดๆ พอลิสต์ลงรายการเอาไว้ก็ทำได้บ่อยครั้งขึ้น
สำหรับปี ๒๕๕๗ นี้ หลังจากลิสต์รายการสิ่งที่อยากทำมาแล้ว ตัดเอาเฉพาะเนื้อๆ คัดเฉพาะที่อยากทำให้ได้จริงๆ จะเหลืออยู่ ๓ ข้อ
- Learn to code
- Live minimally
- Keep blogging
ถ้าทำได้จริง ปีนี้จะฟินมาก สาธุ…
Quote : the Internet and pee
You can’t take something off the Internet. That’s like trying to take pee out of a swimming pool.
– Grant Robertson, Digg member; May 1, 2007
Quote : Practice
When you are not practicing, remember, someone somewhere is practicing, and when you meet him he will win.
Ed Macauley, a Basketball Hall of Famer
ฉากประทับใจ : Jerry Maguire

หมายเหตุก่อนอ่าน : ถ้ายังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้อาจไม่ปะติดปะต่อถึงประเด็นที่เขียนถึงครับ
ในบรรดาหนังที่ดูมา Jerry Maguire เป็นหนึ่งในหนังที่ผมชอบมากที่สุด ชอบโดยที่ไม่ได้มีสเปเชี่ยลเอฟเฟคต์ตื่นตาตื่นใจ ไม่ได้บู๊ล้างผลาญประเภทถล่มภูเขาเผากระท่อม แต่ชอบที่เนื้อเรื่องล้วนๆ และคิดเอาเองว่าคนที่จะดูหนังเรื่องนี้แล้วชอบเลยทันทีน่าจะต้องมีอายุสักยี่สิบปลายๆ ถึงสามสิบกว่าๆ ขึ้นไปและผ่านชีวิตการทำงานมาแล้วระยะหนึ่ง ถึงจะเข้าใจหรือมีอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อเรื่องของหนังได้
ตัวผมเอง ช่วงแรกๆ ก็ชอบฉากโน้นฉากนี้ จะเพราะพระเอกเท่ หรือเพราะมันดราม่าอะไรก็ว่าไป แต่พอย้อนกลับไปดูหนังเรื่องนี้ในช่วงหลังๆ ผมกลับชอบฉากที่ Jerry คุยเปิดใจกับ Rod Tidwell ในห้องแต่งตัว (ขอเรียกว่าฉาก Help Me Help You ก็แล้วกัน) มากกว่า
สิ่งที่ Jerry คุยกับ Rod ในฉากนี้เป็นเรื่องจริงที่คนทำงานส่วนใหญ่ต้องเจอสักครั้งในชีวิต นั่นก็คือหลังจากทำงานไปได้สักพักเราจะเริ่มมองเห็นแต่ปัญหา เราจะรู้สึกว่างานที่ทำอยู่มันมีแต่เรื่องวุ่นวาย ลูกน้องก็สร้างแต่เรื่อง นายก็จะเอาโน่นเอานี่ ลูกค้าอีกล่ะ เงินเดือนก็ได้น้อย โบนัสก็น้อย กฎระเบียบก็ยุ่บยั่บหยุมหยิม อะไรกันวะ ฯลฯ
แล้วความรู้สึกดีใจอยากทำงานเมื่อตอนที่บริษัทตอบรับเราเข้ามาทำงานมันหายไปไหน เพราะงานก็งานเดิม บริษัทก็บริษัทเดิม หัวหน้าก็คนเดิมนั่นแหละ
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือใจของเราต่างหาก
ถ้าเรารักษาความรู้สึกของการทำงานวันแรกเอาไว้ได้ ทำงานทุกวันให้เหมือนกับเป็นการทำงานวันแรก เราจะสนุกและมีความสุขกับการทำงานได้ทุกวัน ไม่เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคิดให้วุ่นวาย เหมือนกับที่ Jerry ให้ Rod ย้อนนึกถึงความรู้สึกในวันที่เริ่มเล่นอเมริกันฟุตบอลนั่นแหละครับ
จุด ‘ไฟ’ ในใจตน

เมื่อคืนผมกลับบ้านดึกกว่าปกติ
เปล่าครับ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนแล้วก็ไม่ได้ติดงานอยู่ที่ออฟฟิศ ผมแวะไปงาน Digital Matters ครั้งที่ ๔ มา ธีมของงานครั้งนี้ก็คือ Content Marketing ทำอย่างไรให้ work
สำหรับรายละเอียดว่างาน Digital Matters เป็นงานเกี่ยวกับอะไร ใครเป็นคนจัด สาระของงานเมื่อคืนนี้มีอะไรบ้าง ขอเชิญติดตามได้ที่ลิ้งค์นี้ http://thumbsup.in.th/2013/10/digital-matters-4-slides-dmatters/ ซึ่งมีรายละเอียดครบถ้วนดีมากอยู่แล้ว
สิ่งที่ผมอยากเล่าไม่ได้เป็นเรื่องของเนื้อหาและสาระภายในงาน แต่เป็นเรื่องของบรรยากาศของงาน
งานเมื่อคืนเป็นการรวมตัวกันของคน ๓๐๐ กว่าคน ตั้งแต่วัย ๒๐ กว่าๆ จนถึง ๔๐ ปลายๆ ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน นั่นคือ สื่อดิจิตอล แม้ว่าแต่ละคนจะอยู่ในสถานะและบทบาทที่แตกต่างกันไป มีตั้งแต่เจ้าของเว็บไซต์ สื่อมวลชน นักการตลาด ดิจิตอล เอเจนซี่ ไปจนถึงผู้บริหารแบรนด์ต่างๆ ที่เริ่มมองเห็นความสำคัญของการใช้สื่อดิจิตอลเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย มีอยู่จำนวนหนึ่งที่เคยมาร่วมงานนี้แล้วในครั้งก่อนๆ แต่มีอีกไม่น้อยที่มาเป็นครั้งแรก (ผมเป็นหนึ่งในนั้น)
สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้เลยจากบรรยากาศที่อบอวลอยู่ภายในงานก็คือ แทบทุกคนในที่นั้นทำบทบาทของตัวเองด้วยความสนุก ทำเพราะอยากจะทำ ไม่ได้ทำเพราะคิดแค่ว่ามันเป็นหน้าที่
แปลกเหมือนกันที่เราสามารถสัมผัสได้ถึงพลังและความมุ่งมั่นที่คนอื่นส่งออกมาได้ โดยที่ไม่ต้องเปิดปากคุยกันด้วยซ้ำ
ตลอดเวลาสองชั่วโมงกว่าที่อยู่ในงาน พลังที่ว่านี้ค่อยๆ จุด ‘ไฟ’ บางอย่างในตัวขึ้นมา และพาผมนึกย้อนไปถึงบางสิ่งบางอย่างที่เคยริเริ่มเอาไว้แต่ก็ไม่ได้สานต่อมานานแล้วด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา
ผมจะลองลบข้ออ้างออกทีละข้อ แล้วเอากลับมาทำด้วยความสนุก ทำเพราะอยากทำเหมือนเมื่อครั้งที่เริ่มต้นดูอีกซักที ผลจะออกมายังไงก็ช่างมัน
นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ได้โดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน จากการไปงาน Digital Matters เมื่อคืนครับ
แรงบันดาลใจอยู่ที่ร้านหนังสือ

ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือคนทำงาน ผมเชื่อว่าในบางห้วงเวลาแต่ละคนล้วนต้องการ “แรงบันดาลใจ”
แรงบันดาลใจที่จะช่วยดึงตัวเองขึ้นมาจากเตียงในตอนเช้าเพื่อมาทำงาน แรงบันดาลใจที่จะออกกำลังกาย แรงบันดาลใจที่จะลดน้ำหนัก ฯลฯ
แน่นอนว่า่แต่ละคนจะมีแหล่งแรงบันดาลใจแตกต่างกันไป อาจเป็นได้ทั้งสถานที่ กิจกรรม หรือตัวบุคคล หลายคนใช้โรงภาพยนตร์เป็นที่สร้างแรงบันดาลใจ บางคนไปทะเล ภูเขา คนจำนวนไม่น้อยใช้การช็อปปิ้งเป็นการเติมพลัง
สำหรับผม แรงบันดาลใจอยู่ที่ร้านหนังสือ
เมื่อหมดพลังจากการทำงาน ขาดแรงใจ หรือรู้สึกอับทึบทางปัญญา ผมใช้ร้านหนังสือเป็นที่บำบัด การขลุกอยู่ในร้านหนังสือเป็นชั่วโมงๆ อาจฟังดูแปลกและไม่ใช่พฤติกรรมที่คุ้นเคยของใครหลายคน แต่เวลาที่หยิบจับ สัมผัสเนื้อกระดาษ พลิกอ่านเนื้อหา เลือกดูอาร์ตเวิร์คอยู่นั้น ผมรู้สึกเหมือนมีพลังงานชาร์จเข้ามาในตัว เป็นเหมือนคนไข้ที่ผ่านการเยียวยา บางครั้งแม้ยังไม่หายขาดแต่อาการก็ดีขึ้นมาก พร้อมที่จะออกไปสู้ชีวิตกันต่อ
ในบรรดาร้านหนังสือ (ในประเทศ) ที่มีโอกาสได้เข้าไปใช้บริการ ขอบอกว่าอันดับหนึ่งในดวงใจในตอนนี้ผมยกให้ Kinokuniya สาขาสยามพารากอน
ด้วยปริมาณหนังสือที่มี บวกกับประเภทหนังสือแต่ละปกที่เลือกมาวาง ไปจนถึงบรรยากาศของร้าน รวมๆ กันแล้วโดนมาก
พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า ผมไม่สนใจร้านหนังสือขนาดเล็ก ร้านหนังสืออิสระ และร้านหนังสือมือสอง ซึ่งแต่ละร้านก็มีข้อดีและจุดเด่นของตัวเอง เอาไว้มีโอกาสเรามาแลกเปลี่ยน “ร้านหนังสือในดวงใจ” กัน
สำหรับเครือข่ายร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศสองเครือนั้น ในฐานะคนอ่านต้องบอกว่ายังไม่ใช่และยังไม่โดนครับ
9/11 วันนี้ไม่เหมือนเดิม
เมื่อหลายปีก่อนจังหวะชีวิตการทำงานของผมเปิดโอกาสให้ได้ไปเยือนกรุงนิวยอร์คเป็นเวลาสั้นๆ แน่นอนว่าเด็กต่างจังหวัดในครอบครัวข้าราชการอย่างผมย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา นิวยอร์คเป็นนครแห่งเงินตรา แสงสีและมีเดีย เป็นเมืองหลวงแห่งโลกการเงิน Wall Street อยู่ที่นี่ FED ก็อยู่ที่นี่ สื่อระดับโลกมากมายอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น TIME BusinessWeek Fortune Vanity Fair ที่เคยพลิกอ่านล้วนอยู่ที่นี่ ยังมีหนังสือพิมพ์ที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดในโลกอย่าง The New York Times ก็อยู่ที่นี่
ก่อนออกเดินทางผมใช้เวลาพักใหญ่ไปกับการเตรียมตัว นั่นคือ การลิสต์รายชื่องานศิลปะ ศิลปะวัตถุ รวมไปถึงสถานที่ต่างๆ ที่อยากดูอยากไปเห็น
หนึ่งในนั้นคือ Wall Street
ผมไป Wall Street ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งผู้คนไม่พลุกพล่านวุ่นวาย สามารถเดินดูเดินถ่ายรูปได้ไม่เกะกะใคร หลังจากเดินวนไปวนมาจนหนำใจ (ถ้ามีโอกาสจะเก็บมาเล่าอีกที) ก็ตัดสินใจเดินไป Ground Zero ที่เคยเป็นที่ตั้งของตึกแฝด World Trade Center
Ground Zero ในวันนั้นรื้อถอนขนย้ายซากปรักหักพังออกไปแล้ว เริ่มมีการเคลียร์พื้นที่เพื่อเตรียมก่อสร้างโครงการใหม่ที่จะขึ้นมาแทนตึกแฝดในวันข้างหน้า บริเวณโดยรอบยังคงมีภาพถ่ายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีศิลปินมาทำงานศิลปะเพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิต และมีนักท่องเที่ยวมาชมสถานที่ที่ครั้งหนึ่งได้เคยเกิดเหตุการณ์เศร้าสลดขึ้น
ก่อนหน้าเหตุการณ์ 9/11 ผมเคยได้ยินได้อ่านคำกล่าวที่ว่า Everyone remember where were they and what were they doing when Kennedy was shot. (แปลคร่าวๆ ตามประสาเด็กต่างจังหวัดได้ว่า ทุกคนล้วนจำได้ว่าตอนที่ Kennedy โดนยิง ตัวเองอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่) ผมไม่เข้าใจเลยว่ามันหมายความว่ายังไง ถามฝรั่งที่ทำงานด้วยกันก็ไม่ได้คำตอบที่ช่วยให้กระจ่าง
จนกระทั่งเกิดเหตุ 9/11 ผมถึงเข้าใจ
วันนี้เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ๑๒ ปีเต็ม ผมยังจำได้แม่นเลยว่า ตอนที่รู้ข่าวเครื่องบินพุ่งชนตึกแฝดตอนนั้นผมอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ โทรหาใคร จำได้กระทั่งว่าฟีลของตัวเองตอนนั้นเป็นยังไง
นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะมีเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิต ถึงจะไม่ได้เกิดกับเราโดยตรงแต่มันจะฝังอยู่ในใจและคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเลือนหายไป
ร่างแรกของโพสต์นี้ครับ





