What We Read: กนกวรรณ บัวงาม

Kanokwan

ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้นครับ

ชื่อ-นามสกุล : กนกวรรณ บัวงาม

อาชีพ : บรรณารักษ์ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
ปกติไม่ได้จัดสรรเวลาการอ่านหนังสือเท่าไหร่ ถ้าช่วงไหนว่าง อยู่บ้านไม่ได้มีกิจกรรมก็จะหยิบหนังสือเล่มเก่าๆ ที่เคยชอบอ่านมาอ่านใหม่ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นอยู่ในอารมณ์ไหน ช่วงเหนื่อยๆ อยากหาเรื่องสนุกๆ อ่านก็หยิบวรรณกรรมเยาวชนมาอ่าน ที่ชอบหยิบมาอ่านมากบ่อยมาก คือ เรื่อง นิกกับพิม กับ เรื่อง ปุลากง ชอบมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เพราะเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสมัยเรียนมัธยม อย่าง นิกกับพิม ที่ชอบเพราะเป็นเรื่องที่ใช้ตัวละครเอกเป็นสุนัขเล่าเรื่องแทนที่จะเป็นพระเอก นางเอกเหมือนเรื่องอื่นๆ หรือ อย่างปุลากง ก็ยังคิดถึงภาพคุณเข้มอยู่เสมอ และชื่นชมคนที่ทำงานในพื้นที่ภาคใต้โดยเฉพาะครูในโรงเรียนที่ต้องเสียสละตัวเองมากๆ

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
ตอนนี้กำลังอ่านหนังสือเรื่อง การเดินสู่อิสรภาพ ของ อ.ประมวล เพ็งจันทร์ เล่มนี้เคยอ่านจบไปรอบหนึ่งแล้วค่ะ แต่เอากลับมาอ่านซ้ำอีกรอบ เพราะช่วงนี้อยากหาแรงบันดาลใจให้ตัวเอง การเดินสู่อิสรภาพ เล่มนี้เป็นเรื่องราวการเดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่ถึงเกาะสมุย ของอาจารย์ประมวลเอง ด้วยวิธีการเดินด้วยเท้า ผ่านหมู่บ้าน ผ่านชุมชนต่างๆ ซึ่งอาจารย์มีความตั้งใจเพื่อค้นหาตัวเอง และมีการตั้งกฎของการเดินทางครั้งนี้ จะไม่ใช้เงินเลย ถ้าเป็นคนปกติธรรมดาคงไม่กล้าที่จะคิดหรือทำเรื่องแบบนี้ ซึ่งในแต่ละจังหวะของการเดินทางอาจารย์ประมวลจะเล่าถึงความรู้สึกและมุมมองจากสิ่งที่เห็น จากสิ่งที่ได้รับจากการเดินทาง ทั้งจากคน และสิ่งรอบๆ ตัว มันช่วยให้เรามองชีวิตและคนที่อยู่รอบๆ เราได้ลึกซึ้งมากขึ้น เป็นหนังสือที่ชอบมากๆ ค่ะ

walktofreedom

หนังสือที่อ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
หนังสือที่เพิ่งอ่านจบไป คือ เรื่อง The Notebook หรือ ปาฏิหาริย์บันทึกรัก ของ นิโคลัส สปาร์กส์ (Nicholas Sparks) เป็นเรื่องความรักของ โนอาห์ และ แอลลี ที่ซาบซึ้งมากๆ เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า ความรักมีพลังที่จะทำให้คนคนหนึ่งทำอะไรก็ได้เพื่อคนที่เขารัก โนอาห์ครองคู่กับแอลลี มานานจนสุดท้ายแอลลีป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ถึงขนาดจำอะไรไม่ได้เลย แต่โนอาห์ก็ยังดูแลแอลลีอยู่ไม่ห่าง และพยายามใช้สื่อคือ สมุดบันทึก เล่าเรื่องราวความรักในสมัยวัยรุ่นให้แอลลีฟังทุกๆ วันโดยไม่เบื่อ และมีความหวังอยู่เสมอว่าจะมีปาฏิหาริย์ให้แอลลีจำเขาได้ มันมีทั้งความโรแมนติกและชวนให้หดหู่ ถ้าเราต้องเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้จะทำยังไง เราจะหาคนรักที่ทำได้เหมือนโนอาห์ไหม อันนี้แอบคิดไว้ในใจ

thenotebook

หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร?
ตอนนี้ยังไม่มีหนังสือที่ตั้งใจจะอ่านจริงๆ จังค่ะ ช่วงนี้กำลังศึกษาเรื่องการทำขนม ก็ได้แต่เปิดดูหนังสือหาสูตรทำขนม แล้วค้นทางอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ซื้อหนังสือ a day เล่ม bread issue ตั้งแต่เดือนที่แล้ว กะว่าจะหาเวลาว่างอ่านสักที ช่วงนี้กำลังอยากหัดทำขนมเค้ก ขนมปัง จริงๆ จังๆ พอดีเห็นเล่มนี้แล้วสะดุดตา ได้เปิดผ่านแล้วมีเรื่องราวเกี่ยวกับขนมปังและขนมเค้กต่างๆ น่าสนใจดีค่ะ

adaybread

หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
ถ้าคนไหนช่วงนี้รู้สึกท้อกับหลายๆ เรื่อง เบื่อสังคม เบื่องาน เบื่อคน อยากหาแรงบันดาลใจ อยากให้ลองอ่านหนังสือ การเดินสู่อิสรภาพ ของ อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ดูนะคะ เพราะหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ได้เห็นมุมมองที่ดีๆ ของคน หรือสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว บางเรื่องมันสะเทือนใจมากๆ เช่น การไม่มีที่นอน หรือการนอนกับหมาขี้เรื้อนในวัด มันสะเทือนใจจนต้องร้องไห้ แต่ที่ร้องไห้มันไม่เหมือนกับการอ่านนิยายที่เราอินไปกับเรื่องนั้นๆ ตามจินตนาการของนักเขียน แต่เป็นเรื่องเล่าและการเดินทางของอาจารย์ที่เกิดขึ้นจริงๆ และเป็นความรู้สึกจริงๆ ที่อาจารย์เล่าให้ฟัง อยากให้ลองหามาอ่านกันดูค่ะ

กว่าจะมาเป็น “ปก”

เรามักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า Don’t judge a book by its cover ในความหมายทำนองว่าบางทีเราอาจไม่ชอบไม่ถูกใจปกหนังสือบางเล่ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มนั้นจะไม่ดีหรือไม่ถูกใจเราตามไปด้วย ให้ลองหยิบอ่านดูก่อน เราอาจจะชอบหนังสือเล่มนั้นก็ได้

คำกล่าวนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวหลายครั้งก็จริงตามนั้น แต่จะเหมารวมไปถึงขนาดว่าปกหนังสือไม่มีความสำคัญก็ดูจะเกินความจริงไป คนออกแบบปกที่นั่งทำงานหลังขดหลังแข็งแก้แล้วแก้อีกกว่าจะได้ปกหนังสือที่เราเห็นกันทุกวันนี้จะพาลน้อยใจเอา เพราะเอาเข้าจริงการออกแบบปกหนังสือแต่ละเล่มก็จะต้องอิงกับเนื้อหา อารมณ์และบรรยากาศของหนังสือเล่มนั้นๆ ด้วย แล้วที่สำคัญก็คือ ยอดขายหนังสือจะดีไม่ดีส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ปกนี่แหละ เพราะปกที่ดีต้องดึงดูดสายตาและมีความน่าสนใจมากพอที่จะชวนให้นักอ่านหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาพลิกดูให้ได้แม้ว่าจะวางอยู่ในร้านที่มีหนังสืออีกหลายร้อยหลายพันเล่มวางเรียงรายแย่งความสนใจกันอยู่ก็ตาม ถ้าได้ถึงขนาดที่ว่าเดินเข้าไปในร้านหนังสือแล้วปกเล่มนี้มันเด่นเด้งกระแทกสายตาขึ้นมาได้ตั้งแต่ก้าวแรกนั่นแหละถือว่าตอบโจทย์

เล่าเป็นตัวหนังสือแบบนี้อาจไม่เห็นภาพ ต้องดูคลิปด้านล่างที่ทาง Random House สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของโลกเขาทำขึ้นมาเพื่อให้เห็นกระบวนการออกแบบปกหนังสือ โดยใช้ Hausfrau : A Novel ของ Jill Alexander Essbaum เป็นตัวอย่าง

งานนี้ Executive Art Director ของ Random House เล่าว่า ใช้ดีไซเนอร์ห้าคน คนวาดภาพประกอบคนนึง แล้วยังมีคนออกแบบตัวอักษรอีกสองคน ออกแบบทำงานกันมากว่าจะลงตัวได้แบบที่ถูกใจทำไปทั้งหมดร้อยกว่าแบบ (เท่านั้นเอง)

ส่วนว่าปกนี้จะเข้ากับเนื้อหายังไง ขอเชิญผู้สนใจลองซื้อหามาอ่านดูแล้วมาเล่าบอกกันบ้างนะครับ

What We Read: นพพร พวงสมบัติ

Nopphorn

ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้นครับ

ชื่อ-นามสกุล : นพพร พวงสมบัติ

อาชีพ : นักวิเคราะห์นโยบายและแผน คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ก่อนจะเล่าเรื่องการอ่าน ขอขอดเกล็ดตัวเองนิดนึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่โดนคำถามเรื่องการอ่านนี่ก็นึกย้อนมาสงสัยตัวเองเหมือนกันว่า “เฮ้ย! ทำไมกูอ่านหนังสืออย่างนี้วะครับ” เลยนึกย้อนไปถึงสมัยเด็กๆ เพราะคิดว่าเรื่องราวสมัยนู้นมันคงมีส่วนทำให้เราเป็นอย่างทุกวันนี้นี่แหละ ที่บ้านเป็นครอบครัวข้าราชการระดับล่างๆ มีหนังสือในบ้านก็ไม่มากอะไร แต่ผมจะสนใจไปทำไมเพราะโลกของเด็กคือการออกไปวิ่งเล่นซนกับเพื่อนข้างนอก เล่นดีดลูกแก้ว โยนหุ่น ปีนต้นไม้ ฯลฯ อะไรกันไป หนังสือที่อยู่ในบ้านหากพอจะมีเวลาอ่านผ่านตาบ้าง ก็เป็นพวกหนังสือของพ่อกับแม่ที่ได้อภินันทนาการจากการทำงานหรือใช้ทำงาน ตำรับอาหารนานาชาติ ของแม่นี่เป็นเล่มนึงเลยที่นั่งอ่านมาตั้งแต่เด็ก เคยมีเอามาลองทำขนมกินกันเองด้วย…แต่ไม่สำเร็จเพราะเมนูอาหารนานาชาติไม่เหมาะกับอุปกรณ์ในครัวไทยสไตล์ Local เรื่องที่จำขึ้นใจเรื่องนึงคือ เมนูยำผ้าขี้ริ้ว ก็แบบสงสัยมากประสาเด็กๆ ว่า “เฮ้ย! ผ้าขี้ริ้วที่กูใช้ถูบ้านนี่เอามากินได้ด้วยเหรอวะเนี่ย เอาเหอะใครจะกินก็กิน…กูคนนึงล่ะที่จะไม่กิน” กว่าจะรู้ว่า “ผ้าขี้ริ้ว” ที่ว่าเป็นชิ้นส่วนเครื่องในของวัวก็โตจนนั่งกระดกเหล้ากับเพื่อนแล้วมีผ้าขี้ริ้วลวกจิ้มวางแนมอยู่ข้างวงเหล้าแล้ว อีกเล่มคือหนังสือสุขภาพอะไรซักอย่างที่จดจำเอาท่าโยคะมาฝึกเล่นส่วนตัว โดยเฉพาะท่าศพอาสนะที่เซียนมาก ทำแล้วหลับยาวเลย

ด้วยความที่ไม่ได้เป็นครอบครัวมีตังค์อะไรมาก หนังสือเลยดูเหมือนจะเป็นของใช้ฟุ่มเฟือยขึ้นมาทันที ซื้อหนังสือมาอ่านจึงเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีอยู่ในหัว แบบว่าถ้ามีตังค์กูซื้อของเล่นก่อน…ฮ่าฮ่าฮ่า นอกจากหนังสือเรียนที่ต้องอ่านสอบแล้ว หนังสือที่ต้องถือว่าเป็นการอ่านแบบนักอ่านในสมัยเด็ก ก็มีมาจากหนังสืออ่านนอกเวลาที่ครูบังคับให้อ่านนั่นแหละ กับหนังสือในห้องสมุดที่ต้องเอามาทำรายงานส่งครู และแม้ว่าโตมาจะชอบไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือใหญ่ประจำจังหวัดอยู่บ่อยๆ แต่โซนที่ไปเดินดูกลับเป็นแผนกเครื่องเขียน ส่วนหนังสือเล่มที่ยอมควักกระตังซื้อมาลองอ่านบ้าง จำได้ว่าเป็นพ๊อคเกตบุ๊คชื่อดัง ต่วยตูน เพราะดูชื่อแล้วท่าทางจะมีเรื่องสนุกกับภาพการ์ตูนเยอะ…เออ! ดูมันสิครับ

โตมาจนเข้ามหาวิทยาลัยผมยังหลงระเริงกับการเฮฮาไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้จักโลกแห่งการอ่านอะไรเลย รู้จักชื่อนักเขียนบ้างก็เพราะเคยได้ยินหรืออ่านข่าวคราวในหนังสือพิมพ์-ดูทีวีเท่านั้น เรื่องจะตามอ่านน่ะเรอะ…ไม่มีซะหรอก ก็เชื่อมั้ยเล่าว่าวันที่ได้ย้ายเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ เพื่อนรักชวนเดินเข้าร้านหนังสือดอกหญ้าท่าพระจันทร์ ผมก็ไม่รู้จะเลือกอ่านอะไร จนเพื่อนมันเลือกหนังสือชุดสามก๊กฉบับวณิพกไปได้ ๓-๔ เล่มแล้วก็จะกลับกันแล้ว สุดท้ายผีห่าก็ดลใจให้ผมหยิบ ปีศาจ ของเสนีย์ เสาวพงศ์ ซึ่งจัดพิมพ์เป็นไซส์พ๊อกเกตบุ๊กพื้นสีเทา มีภาพผู้หญิงผู้ชายตัวสีแดงยืนชี้ไปในท้องฟ้า ไอ้ที่หยิบขึ้นมาก็เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นหนังสือแนว Thriller สมกับชื่อ ปีศาจ เท่านั้นแหละ ไม่ได้คิดเป็นอื่นเล้ย หยิบมานอนอ่านเล่นที่คณะรุ่นพี่ยังแซวว่า “แหม! หัวก้าวหน้าเชียวนะมึง” ก็ไม่ได้ get (เชี่ย) อะไรเลยครับ บอกกลับแค่ว่า “เฮ้ย! พี่ผมอ่านมาเกือบจะครึ่งเล่มแล้วนี่ยังไม่เห็นมีปีศาจซักตัวเลยครับพี่” …ดูเอาเหอะว่าผมนี่แม่งหน่อมแหน้มเรื่องการอ่านขนาดไหน

วันที่ผลักให้ผมดูเหมือนจะเข้าสู่โลกการอ่านอย่างจริงจัง (หมายถึงอ่านในแบบของผม..ไม่ได้เทียบกับใคร) คือ หลังจากวันที่มหาวิทยาลัยสั่งทัณฑ์บนผมไว้จนกว่าจะจบการศึกษาตั้งแต่ปลายๆ ปีที่สอง ผลของการโดนทัณฑ์บนเลยทำให้ผมต้องออกไปจากเวทีกิจกรรมนักศึกษาที่ทำอยู่ (และใช้เวลามากกว่าในห้องเรียน) ผนวกกับวิชาที่เรียนก็ต้องอ่านหนังสือเยอะพอควร ก็เลยได้ฤกษ์เข้าไปฝังตัวในห้องสมุดตั้งแต่นั้น อ่านหนังสือเรียนเบื่อ ก็หาหนังสือนู่นนี่นั่นอ่าน อ่านเล่มนี้เลยเถิดต่อไปถึงเล่มนั้น เพื่อนนักอ่านเปรยๆ ว่าเล่มนั้นดีก็ลองไปหยิบมาอ่านมั่ง อ่านเองตีความเอง เข้าใจเอง อ่านไม่เข้าใจลองไปหาหนังสือวิจารณ์อ่านเพิ่มเติมบ้างว่าที่ว่าดีนั้นยังไง…เอ้อ! ถึงพอได้รู้เลาๆ ว่าโลกหนังสือและวรรณกรรมมันเป็นอย่างนี้เอง

อินโทรกันพอหอมปากหอมคอก็จะขอกลับมาตอบปัญหาดังนี้

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
ไม่ได้จัดสรรจริงจัง แต่พยายามอ่านทุกครั้งที่ว่างจากการงานจิปาถะ ชดเชยการอ่านในวัยเด็กที่เอาเวลาไปบ้าพลังอยู่อย่างเดียว พอดีเป็นคนที่ถ้าได้อ่านแล้วมันสนุก ก็จะตะบี้ตะบันอ่านทุกครั้งที่มีเวลา เคยอ่านนิยายจีนจนกระทั่งเพื่อนบ้านเคยแซวว่า มึงสำเร็จวิทยายุทธ์ขั้นไหนแล้ว แต่ปกติคือจะพยายามอ่านหนังสือ ๑ – ๒ บทก่อนนอน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องพยายามสร้างวินัยฝ่ายดีให้กับตัวเองบ้าง อีกเรื่องที่รู้สึกคืออ่านก่อนนอนนี่เหมือนเป็นการชะลอตัวเองให้นิ่งลง เหมือนสวดมนต์อะไรอย่างนั้นข้อสุดท้ายคือพยายามทำเป็นตัวอย่างให้ไอ้ตัวเล็กในบ้านดูว่า “ก่อนนอนเอ็งไม่ต้องเล่นเกมได้มั้ยเนี่ยเฮ้ย”

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
ด้วยความที่อ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยไร้รูปแบบ และก็พยายามใฝ่ดีอยู่บ้าง..ว่างั้น เลยมีหนังสือที่กำลังอ่านกองไว้ในที่ต่างๆ ให้ใกล้มือ ๒ – ๓ เล่ม เล่มที่อ่านๆ อยู่ช่วงเวลาพักระหว่างวัน คือ เพลงของพอล —หนังสือรวมบทวิจารณ์เพลงของพอล เฮง จากหน้าหนังสือพิมพ์มติชน เป็นคอลัมน์ที่แนะนำเพลงในอัลบั้มของศิลปินต่างๆ

PaulSong

อีกเล่มนึงคือ ไอ้หนูซามูไรวิถีแห่งนักรบ —หนังสือเยาวชนที่เขียนโดยฝรั่งเล่าเรื่องซามูไร แปลโดยคนไทยนามปากกว่า “ธารพายุ” พอดีก่อนหน้านี้อ่านวรรณกรรมเยาวชนเล่มนึงชื่อ หอบช้างหนีสุดแผ่นดิน ที่แปลโดยผู้ใช้นามปากกาเดียวกัน ก็เลยค่อนข้างเชื่อมั่นในคุณภาพของหนังสือที่ผู้แปลเลือกมาและสำนวนการแปลที่อ่านสนุก

Samurai

อีกเล่มนึงที่อ่านเป็นยานอนหลับก่อนนอน คือ ไวโอลินของไอน์สไตน์ —เป็นบันทึกข้อเขียนทัศนะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ สังคมและดนตรีของวาทยากรที่สนใจฟิสิกส์ ผู้เขียนชื่อโจเซฟ อีเกอร์ ตัวโปรยหนังสือที่เขียนความในใจของไอน์สไตน์ที่ว่า “หากไม่ได้เป็นนักฟิสิกส์ผมคงเป็นนักดนตรี” ผมว่าโจเซฟ อีเกอร์คงรำพึงในทางกลับกันว่า “ถ้าไม่ได้เป็นนักดนตรี ผมคงเป็นนักฟิสิกส์” เหมือนกัน ก็คงจะน่าสนุกดีสำหรับผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับฟิสิกส์ แต่คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องฟิสิกส์และดนตรีก็ยังจะได้เห็นเรื่องราวบันทึกสังคมในมิติวิทยาศาสตร์และดนตรีได้เพลินอยู่บ้าง แล้วถ้าเผื่อสนใจสนุกกับทฤษฎีฟิสิกส์และประวัติศาสตร์ดนตรี เล่มนี้ก็น่าจะเป็นเชื้อปะทุที่พอใช้ได้เล่มนึง —ทั้งสามเล่มได้มาจากแผงหนังสือลดราคาในวาระต่างๆ แบบว่าอ่านอะไรก็ได้ข้อให้ไม่แพงนักก็พอ.. ฮ่าฮ่า

Einstein
หนังสือที่คุณอ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
หนังสือเล่มที่เพิ่งอ่านจบ คือ หูหาเรื่อง ของเผ่าจ้าว กำลังใจดี หนังสือรวมบทวิจารณ์ศิลปิน-ดนตรีในรูปของเรื่องสั้น ได้มาจากกองหนังสือข้างเคียงกันกับหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ จะว่าไปหยิบหนังสือวิจารณ์บันเทิงมาอ่านนี่ก็ดูจะมีเหตุผลลึกๆ อยู่บ้าง คือสมัยเรียนหนังสือนี่มีโอกาสได้อ่านนิตยสารสีสัน เป็นประจำ ก็ได้ใช้ข้อมูลจากสีสัน ในการไปดูหนังฟังเพลงอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่พอชีวิตเข้าสู่วัยทำงานนี่เหมือนจะฟังเพลงอะไรน้อยลง พื้นที่ที่อยู่ก็มีการฟังเพลงอะไรต่างไปจากสมัยเรียน ก็เลยไม่ค่อยได้ติดตามสนใจอะไร ฟังเพลงไปตามกระแสที่เปิดๆ กันเท่านั้น พอเห็นหนังสือแนววิจารณ์เพลงก็ลองหยิบมาอ่านดูบ้างว่าช่วงที่ผ่านๆ มานี่มันมีอะไรที่เราพลาดไปหรือเปล่า ซึ่งก็ดูจะได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมมามากกว่าราคาที่จ่ายไปพอควร ตอนนี้เลยมีโอกาสกลับไปหาเพลงในยูทูบจากศิลปินและอัลบั้มที่แนะนำไว้ในหนังสือมาฟังระหว่างทำงานอยู่บ้าง

หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร?
ที่จริงหนังสือที่ตั้งใจจะอ่าน ก็คือกองหนังสือที่ไปซื้อมาอ่านแล้วยังไม่ได้อ่านนั่นแหละ มีหลายเล่มมากซึ่งบางเล่มก็อ่านๆ ไปแล้วแต่มีอะไรมาขัดจังหวะทำให้อ่านไม่จบซะที ถ้าจะให้เลือกเอามาซักเล่มก็น่าจะเป็น รุกสยามในนามของพระเจ้า เป็นวรรณกรรมขนาดยาวเขียนยั่วล้อประวัติศาสตร์ไทยในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยใช้ข้อมูลจากบันทึกจดหมายเหตุมาอ้างอิงประกอบด้วย มันสนุกก็ตรงนี้แหละ ตรงที่มันเป็นประวัติศาสตร์นิพนธ์มุมกลับที่เล่นตลกเอากับวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของคนในประวัติศาสตร์ไทย เล่มนี้อ่านไปได้พอควรแล้ว แต่ไปสะดุดความใหญ่ของหนังสือเลยทำให้เอาไปอ่านที่ไหนไม่ค่อยสะดวก ต้องอ่านไปวางไปจนสุดท้ายวางไปมากกว่าอ่านไป เลยไม่จบซักที ถ้าให้แถมอีกเล่มที่คิดจะอ่าน ก็คือเรื่อง สามก๊ก นี่แหละครับ เผอิญช่วงนึงมีโอกาสได้อ่าน โจโฉนายกตลอดกาล ของหม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช ก็เลยมีแรงกระตุ้นให้อยากกลับไปอ่านสามก๊กที่วางอยู่บนชั้นหนังสือในบ้านมานานแล้ว

Naraya

หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
สำหรับคนที่เพิ่งมาหัดอ่านหนังสือตอนโตอย่างผม ถ้าให้เลือกหนังสือที่อ่านจบแล้วอยากแนะนำให้คนอื่นอ่านต่อ ก็เป็นร้อยล่ะครับ เพราะชั่วโมงการบินด้านการอ่านน้อยเหลือเกิน คืออ่านเจออะไรดีนิดนึงก็ดีไปหมดทั้งเล่มเลยนั่นแหละ แต่ถ้าจะมีให้เลือกมาบ้างเท่าที่นึกออกก็จะมี

ติสตูนักปลูกต้นไม้ —วรรณกรรมเยาวชนที่เล่าเรื่องของเด็กชายผู้มีมืออันวิเศษสามารถปลูกต้นไม้ให้งอกงามได้อย่างอัศจรรย์ แต่นอกจากต้นไม้ที่ติสตูปลูกแล้วเด็กน้อยยังปลูกความรักในหัวใจของผู้คนด้วย

โต๊ะก็คือโต๊ะ —เรื่องเล่าสำหรับเด็กที่น่าจะมี “วาทกรรม” เยอะที่สุดในโลกนี้ละ เล่มนี้อ่านตอนที่มีโอกาสกลับเข้าชั้นเรียนในช่วงที่โลกสังคมศาสตร์กำลังเข้าสู่ยุคโพสต์ และมีโอกาสรู้จักโรลองด์ บาร์ท (Roland Barthes) ซึ่งได้สร้างความเชื่อชุดใหม่ในหัวผมว่า เฮ้ย!…“อเมริกาไม่มีจริง”

ภูเขาวิหารและโดมแห่งศิลา —ข้อเขียนของชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันเป็นรากฐานความขัดแย้งของยูดาห์ คริสต์และอิสลามในเขตตะวันออกกลางผ่านศาสนสถานอันเป็นที่เคารพร่วมกันของทั้งสามศาสนา เล่มนี้มาโนช พุฒตาล บุตรของฯ ยังเอ่ยปากว่าถ้าจะมีหนังสือซักเล่มที่เขียนเพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ (ขัดแย้ง) ของยิว-คริสต์-อิสลาม ก็น่าจะเป็นหนังสือเล่มนี้นี่แหละ

Dome

ผมเพียงแต่จะบอกว่า —รวมบทบรรณาธิการคัดสรร บ.ก.นิตยสารจีเอ็ม คุณปกรณ์  พงศ์วราภา คือ ถ้าเคยอ่านข้อเขียนในเว็บประเภทสิ่งที่ควรรู้ก่อนตาย สิ่งที่ควรรู้เมื่อวัย ๔๐ รู้งี้ตั้งใจเรียนตั้งแต่เด็กแล้ว ฯลฯ อะไรประมาณนี้ คือเฮียปกรณ์เค้าเขียนบอกไว้เมื่อปีมะโว้แล้วเว้ยเฮ้ย คือแกไม่ได้เขียนอะไรพรรค์อย่างนั้นจริงๆ หรอกนะครับ แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่แกเขียนนี่แกได้มาจากประสบการณ์การใช้ชีวิตของแกเองนั่นแหละ และก็ถ่ายทอดด้วยคำง่ายๆ เพื่อบอกคน “หนุ่ม” รุ่นต่อๆ ไปว่า…นะชีวิตมันเป็นของมันอย่างนี้เว้ยเฮ้ยหนุ่มสาว จงใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ที่เหลือก็ไปหาอ่านเอาเองละกัน

Pakorn

จิมกระดุม —เริ่มจากจิมกระดุมกับลูคัสคนขับหัวรถจักร และต่อเนื่องไปยัง จิมกระดุมกับ 13 ป่าเถื่อน คือถ้าจะมีอะไรที่สื่อถึงคุณค่าของ Positive Thinking ล่ะก็ จิมกระดุมนี่คือหนึ่งในเรื่องราวนั้น

Jim

ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน (The Alchemist) —-เขียนโดยเปาโล โคเอโย (Paulo Coellho) นักเขียนชาวบราซิล แปลโดย อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เอาแค่ชื่อคนแปลก็คาดหวังได้ว่าท่านจะเชื้อเชิญให้เราออกไปค้นพบ ”ปัญญา” สมกับที่ท่านเป็นโต้โผของโครงการจัดพิมพ์หนังสือและตำรา “คบไฟ” เรื่องเล่าของเด็กหนุ่มที่ออกท่องไปในดินแดนทะเลทราย ซึ่งจะนำเราไปเรียนรู้ ค้นหาความหมายของชีวิตและ….ฯลฯ

PauloCoellho

ส่งท้าย….ผมเคยอ่านหนังสือจนเกือบเชื่อว่า You are what you read หรือแบบว่า “เฮ้ย! ถ้าคุณมึงอยากรู้จักผมก็เอาหนังสือที่ผมอ่านไปอ่านดู แล้วคุณจะรู้ว่าผมเป็นยังไง” คือ ที่ต้องบอกว่า “เกือบ” นั่นก็เพราะผมเจอมากับตัวเองว่าเพื่อนที่มันนั่งอ่านหนังสือเล่มเดียวกับเราอยู่ มันยังคิดไม่เหมือนกันเลยว่ะเฮ้ย มันก็น่าจะใช่อยู่เหมือนกันนิครับ เราถูกหล่อหลอมเติบโตขึ้นมาต่างกัน วิถีในการรับรู้เข้าใจโลกก็ต่างกัน การตีความสารที่วิ่งพล่านในโลกนี้ก็คงต่างกันไป นะไม่งั้นเราก็คงไม่เถียงกันเรื่องประชาธิปไตยกันจนเอาเป็นเอาตายหน้าดำคร่ำเครียดจนต้องมีคนมาคืนความสุขให้เราอย่างทุกวันนี้

เราไม่ได้ดีเลวเก่งแย่ถ้าไม่หรือเคยอ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้หรือเล่มไหนๆ หนังสือมันรับใช้ผู้เขียนแค่เมื่อมันเขียนจบพิมพ์เป็นเล่มเท่านั้นแหละ ส่วนที่ว่ามันจะรับใช้ผู้อ่านอย่างไร ก็เป็นเรื่องของผู้อ่านแต่ละคนจะเลือกตามแนวทางของตนเอง ยังไงก็…ขอให้มีความสุขในการอ่านหนังสือที่คุณเลือกเรื่อยไปขอรับ

หนังสือในดวงใจ ๑๐ เล่ม (ตอนที่ ๒)

My shelf

หมายเหตุ : โพสต์นี้ผมเขียนและโพสต์เอาไว้ในบลอกส่วนตัวตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๗ แต่เอามาโพสต์ซ้ำอีกครั้งที่นี่เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกันครับ

ต่อจากโพสต์ที่แล้วที่เล่าถึงหนังสือในดวงใจ ๕ เล่มไปแล้วนะครับ โพสต์นี้มาว่ากันต่อ

๖. ฤทธิ์มีดสั้น โดย โกวเล้ง

นิยายกำลังภายในนี่ผมถือว่าเป็นหนังสือที่มี learning curve สูงมากนะครับ พยายามจะอ่านมาตั้งแต่ช่วงมอปลาย แต่ก็ไปไม่รอด เข้ามหา’ลัยลองเช่ามาอ่านอีกทีก็ยังไม่รอด สาเหตุเป็นเพราะรายละเอียดมันเยอะเหลือเกิน ต้องใช้เซลล์สมองเยอะมาก ตัวละครมีเพียบ และในบรรดานั้นแต่ละคนมีไม่ต่ำกว่า ๓ ชื่อ มีทั้งชื่อปกติสามัญ มีฉายาอีก แล้วมีชื่อแบบไม่ปกติด้วย ยกตัวอย่างเรื่องฤทธิ์มีดสั้น ตัวเอกชื่อ ลี้คิมฮวง แต่ฉายาพี่เค้าคือ เซี่ยวลี้ปวยตอ เท่านั้นยังไม่พอ คุณพี่ยังมีชื่อที่เรียกขานกันว่า ลี้ถ้ำฮวย อีกชื่อนึง นี่ยังไม่นับคำเรียกนับญาติกันอีกนะ จะเป็น ตั่วกอ อาอึ้ม อาเจ่ก อีกสารพัดอ่ะ และตัวละครแต่ละตัวก็มีวิชาฝีมือแตกต่างหลากหลายจากหลายสำนักวิชา อ่านๆ ไปก็นึกในใจ กูจะรอดมั้ย?

ฤทธิ์มีดสั้น / โกวเล้ง

สุดท้ายตัดสินใจ เอาวะ เห็นใครบอกเป็นเสียงเดียวว่า เล่มนี้แหละ แม่มสุดยอด ผมอดทนอ่านจนพ้นช่วง learning curve มาได้ ทีนี้ยาวเลยครับ จบฤทธิ์มีดสั้น ต่อด้วยเหยี่ยวเดือนเก้า ไปจอมดาบหิมะแดง ข้ามฟากไปหาพี่กิมย้ง เล่นมังกรหยก ก๊วยเจ๋ง อึ้งย้ง ต่อภาคเอี้ยก้วย เซียวเหล่งนึ่ง ยาวไปเตียบ่อกี้ ต่อไปถึง ๘ เทพอสูรมังกรฟ้า แล้วข้ามมาเล็กเซี่ยวหงส์ ฯลฯ ฟังดูเหมือนจะเยอะแต่ถ้าเทียบกับบรรดาเซียนหนังสือกำลังภายในแล้วผมอ่อนด้อยมาก

ในบรรดาหนังสือกำลังภายในทั้งหมดผมยกให้ฤทธิ์มีดสั้นนี่แหละ เหตุที่ช่วยเปิดโลกบู๊ลิ้มให้ผมได้ในที่สุด

๗. Liar’s Poker โดย Michael Lewis

ในช่วงปี ‘๙๐ มีคำพูดทำนองว่า อย่าเพิ่งเข้าทำงานใน Wall Street หากยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง Wall Street (กำกับโดย Oliver Stone) และยังไม่ได้อ่าน Bonfire of the Vanities (ของ Tom Wolfe) และ Liar’s Poker เล่มนี้

Liar's Poker / Michael Lewis

ความหมายของคำพูดที่ว่าคือ ถ้ายังไม่ได้ดูหนัง ไม่ได้อ่านหนังสือ ๒ เล่มนี้ก็จะยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมของแวดวง Wall Street ยังไม่รู้ซึ้งถึงเล่ห์เหลี่ยมและความโลภ หากเข้าไปทำงานก็จะโดนกินทั้งเป็นซะเปล่าๆ

Michael Lewis เขียนหนังสือเล่มนี้จากประสบการณ์การทำงานเป็นเซลส์ขายบอนด์อยู่ที่ Salomon Brothers ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในตลาดบอนด์ในยุคนั้น โดยเล่าให้เห็นถึงความโลภและเห็นแก่ตัวของคนในวงการ ทำได้ทุกอย่างแม้แต่การขายขยะให้กับลูกค้า (ได้อย่างหน้าตาเฉย แถมพนักงานที่ขายได้ยังได้คำชมอีกต่างหาก) Liar’s Poker เป็นหนังสือเล่มแรกๆ (หรือเล่มแรก) ที่คนในวงการมาเขียนเล่าเรื่องวงการของตัวเองในทำนอง insider tells all และเป็นต้นแบบให้กับหนังสือแนวเดียวกันนี้ในยุคหลังๆ

ตัวละครในเล่มนี้บางคนเป็นหนึ่งในพวกตัวจี๊ดที่มาถล่มค่าเงินบาทของไทยในช่วงต้มยำกุ้งด้วยนะครับ

 Liar’s Poker ประสบความสำเร็จสูงมาก ส่งให้ Lewis มาเป็นนักเขียนเต็มตัวและเขียนงานดีๆ น่าอ่านตามมาอีกหลายเล่ม อย่าง The New New Thing ที่เป็นเรื่องราวของ Jim Clark หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Netscape และมีส่วนทำให้เกิดยุคดอทคอมในช่วงปี ‘๙๐ หรือ The Blind Side เรื่องของนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่นำมาสร้างเป็นหนังและส่งให้ Sandra Bullock ได้ออสการ์

Lewis เคยให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า เขาเจตนาเขียน Liar’s Poker เพื่อเตือนสติคนหนุ่มสาวถึงความโลภ ความไร้จริยธรรม ไร้เหตุผลของแวดวง Wall Street และหวังว่าจะช่วยให้คนหันไปทำงานด้านอื่น แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะหนังสือเล่มนี้กลับยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้คนสนใจที่จะเข้าทำงานใน Wall Street มากขึ้น เป็นอย่างนั้นไป

๘. One Up On Wall Street โดย Peter Lynch

ผมสนใจเรื่องหุ้นตอนเรียนปีสามในมหา’ลัย ปัญหาสำคัญที่เจอตอนนั้นคือ หนังสือที่เกี่ยวกับการเลือกหุ้น วิเคราะห์หุ้นมีน้อยมาก ที่พอจะมีอยู่บ้างก็เป็นพวกตำราเรียน ซึ่ง (โคตร) จะวิชาการ กับหนังสือเรื่องการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค ซึ่งก็เป็นพวกแท่งเทียน เขียนกราฟ ลากเส้น แต่ต้องใช้โปรแกรม ซึ่งเราไม่มี ยุคนั้นไม่ต้องพูดถึงอินเทอร์เน็ตนะครับ คนรู้จักน่าจะมีแค่หยิบมือ จะเข้ากูเกิ้ลหาแบบสมัยนี้ก็ทำไม่ได้ ก็ต้องคอยอ่านเอาจากนิตยสารเล่มไหนที่พอจะมีลงบทความเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง

จนกระทั่งจบออกมาทำงาน ผมไปอ่านเจอจากที่ไหนก็จำไม่ได้ว่ามีหนังสือเกี่ยวกับการเลือกหุ้นในแนวปัจจัยพื้นฐานที่ดีมากๆ อยู่เล่มนึง เขียนโดย Peter Lynch ผมได้เล่มนี้จากเอเชียบุ๊คส์ สาขาสุขุมวิท เหลืออยู่เล่มนึงพอดี จริงๆ ตอนนั้นก็ยังอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ความนะ (ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ได้ความ) แต่อารมณ์ประมาณ กูเอาไว้ก่อนล่ะ

One Up On Wall Street / Peter Lynch

Peter Lynch เป็นซูเปอร์สตาร์ในแวดวงกองทุนรวมสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในนักการเงินที่ชาวบ้านชาวช่องรู้จักดี กองทุนที่พี่เค้าบริหารเติบโตได้กำไรต่อเนื่อง ถ้าจำไม่ผิดสถิติคือ ลงทุน ๑๐ ปีกำไร ๑๙ เท่า ขนาดนั้นเลยนะ ด้วยเครดิตขนาดนี้พอพี่ Lynch เขียนหนังสือว่าด้วยการเลือกหุ้นออกมาก็เลยขายดีถล่มทลาย แล้วที่เจ๋งก็คือ หนังสือของพี่เค้าดีจริงๆ สอนวิธีเลือกหุ้นแบบดูปัจจัยพื้นฐาน ใช้ภาษาแบบง่ายๆ ชาวบ้านก็เข้าใจงี้

ช่วงนั้นถ้ามีใครมาถามผมว่าจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเล่นหุ้นเล่มไหนดี ผมจะแนะนำเล่มนี้ตลอดนะครับ จนหลังๆ มานี้มีหนังสือของไทยหลายเล่มที่ออกมาแล้วเขียนดี เข้าใจง่ายประมาณเดียวกัน ถึงได้เปลี่ยนมาแนะนำเล่มอื่นไปแทน

 ๙. The World Is Flat โดย Thomas L. Friedman

Friedman เป็นคอลัมนิสต์ (ที่ดังมาก) ของหนังสือพิมพ์ The New York Times เขียนเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจาก The Lexus and the Olive Tree ที่ว่าด้วยเรื่องราวและบทบาทของ Globalization ที่มีต่อประเทศต่างๆ สำหรับเล่มนี้เป็นเรื่องราวของ Globalization และเทคโนโลยีที่ช่วยให้ประเทศด้อย เอ่อ… กำลังพัฒนาสามารถมาแข่งขันกับประเทศพัฒนาได้ ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือ ธุรกิจเอาต์ซอร์สของอินเดีย ที่ทำเอาคนอเมริกันตกงานกันเพียบบบบ

The World Is Flat / Thomas L. Friedman

สำหรับเล่มที่มีอยู่จะเห็นว่าหน้าปกแปลกไปไม่เหมือนเล่มอื่นๆ ที่เป็นรูปโลกแบนๆ เพราะเล่มนี้เป็น First Edition ที่ทางสำนักพิมพ์ทำพลาด ไปเอารูปมาทำปกโดยไม่ได้ขอลิขสิทธิ์จากเจ้าของ (เป็นตัวอย่างที่ดีว่า สำนักพิมพ์ระดับโลกแม่มก็พลาดโง่ๆ กันได้) พอออกวางขายได้ไม่นานก็โดนฟ้อง เลยต้องเก็บกลับมาพิมพ์ปกใหม่ เวอร์ชั่นนี้เลยมีน้อยนิดนึง รูปที่อยู่บนปกนี่ชื่อว่า I Told You So หรือแปลได้ว่า กูบอกมึงแล้ว (ว่าโลกแบน)

๑๐. Live Love Laugh โดย มนูญ ทองนพรัตน์

คอนเซ็ปต์หนังสือเล่มนี้แข็งแรงมากและถูกใจผมมาก เป็นหนังสือที่ไปสัมภาษณ์คนอาชีพต่างๆ ถึงรูปแบบการใช้ชีวิต ความชอบส่วนตัว งานที่ทำและที่สำคัญคือ บ้านที่เขาอยู่เป็นยังไง ซึ่งก็จะแตกต่างกันตามรูปแบบการใช้ชีวิต อาชีพการงานและความชอบของแต่ละคน เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้คล้ายกับรายการทีวีที่ผมชอบมากรายการนึงทางช่อง ThaiPBS คือ เป็น อยู่ คือ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะผู้เขียนเล่มนี้เป็นทีมงานคนนึงของรายการเป็น อยู่ คือ ด้วย

Live Love Laugh / มนูญ ทองนพรัตน์

จริงๆ ครบ ๑๐ เล่มแล้ว แต่มันเหมือนยังไม่สุด ขออนุญาตแหกกฎ เพิ่มอีกสองสามเล่มคงไม่ว่ากันนะ

๑๑. TIME ฉบับ August 18, 1997

ผมเป็นติ่งพี่’ตีฟ จ็อบส์มาตั้งแต่ม.๒ พอมีงานมีการทำแล้วก็พอจะอ่านภาษาอังกฤษได้บ้างก็เริ่มซื้อหนังสือและแมกกาซีนเกี่ยวกับพี่จ็อบส์ Apple และ Pixar เก็บไว้ ในบรรดาคอลเล็คชั่นทั้งหมดนี่ ต้องยกให้เล่มนี้

TIME / August 18, 1997

ในปี ๑๙๙๗ จ็อบส์เพิ่งกลับมาที่ Apple และในวันนั้นจ็อบส์และ Apple ต่างจากวันที่จ็อบส์เสียชีวิตมากนะครับ Apple กำลังแย่ ใกล้จะล้มละลายเต็มที เรื่องและภาพจากปกเล่มนี้เป็น exclusive story ที่เป็น behind the scene ก่อนที่จ็อบส์จะขึ้นพูดที่งาน MacWorld และประเด็นสำคัญของงานวันนั้นก็คือ การประกาศดีลที่ไม่น่าเป็นไปได้ คือ Microsoft จะลงทุนใน Apple จำนวน ๑๕๐ ล้านเหรียญและสัญญาว่าจะผลิตซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องแมคต่อไป

ดีลนี้โคตรสำคัญสำหรับ Apple ในเวลานั้น ประมาณว่าถ้าดีลล้ม Apple ก็อาจล้มนะครับ

ทีเด็ดของเรื่องนี้ก็คือ ก่อนวันงานแค่ ๑๒ ชั่วโมงจ็อบส์ยังโทรเจรจาดีลกับบิลล์ เกตส์อยู่เลย นักข่าว Time ก็อยู่แถวนั้นด้วย รายละเอียดของดีลอาจจะไม่ได้ยิน แต่หลังจากที่ปิดดีลได้นี่สิครับ จ็อบส์บอกกับเกตส์ว่า

“Thank you for your support for this company. I think the world’s a better place for it”

ครับ ถ้าใครเป็นสาวก Apple ในเวลานั้น ได้ยินประโยคนี้คงจี๊ดดดดดดดน่าดู

๑๒. The Godfather โดย Mario Puzo

 ไม่รู้จะพูดยังไงเล่มนี้ ผมเริ่มจากดูหนังก่อน โคตรชอบ แล้วก็ซื้อเล่มฉบับแปลภาษาไทยมาอ่าน พอเริ่มอ่านภาษาอังกฤษได้ก็ซื้อเล่มภาษาอังกฤษมาอีก หยิบมาอ่านแต่ละครั้งได้มุมมองใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกครั้ง ทีแรกก็อ่านเอามันนะ ครั้งต่อไป เฮ้ย นี่มันเรื่องของครอบครัวนะ ครั้งถัดมา อ้าว มีเรื่องบิสสิเนสด้วยนะ อ่านอีกที อืม นี่มันมีการบริหารบุคคลด้วยนะมึง สุดที่จะเอ่ยอ่ะ

The Godfather / Mario Puzo

๑๓. งานเขียนของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล

ผมเป็นศิษย์สำนักผู้จัดการนะครับ ถึงวันนี้ออกจากสำนักมาแล้วก็ยังสำนึกตัวอยู่เสมอและถือว่าโชคดีมากที่มีโอกาสได้อ่านงานเขียนของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ท่านเจ้าสำนักมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นทำงาน

คุณสนธิมีความสามารถพิเศษในการอธิบายเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่ายๆ บวกกับภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้การเล่าเรื่องของคุณสนธิดึงดูด น่าติดตามและมีพลังอย่างมาก ใครที่เคยดูรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ทางช่อง ๙ โมเดิร์นไนน์เมื่อหลายปีก่อนคงจะพอจำกันได้

ถ้าจะเอาให้ใกล้กว่านั้นก็ลองนึกถึงภาพคุณสนธิบนเวทีพันธมิตรนะครับ

โลกานุวัตร / สนธิ ลิ้มทองกุล

เวลาเขียนหนังสือแล้วเขียนไม่ออก อาจจะตื้อด้วยการเล่าเรื่อง หรือ สำนวนภาษา ผมมักจะหยิบงานเขียนของคุณสนธิมาเปิดดู ซึ่งข้อเสียของการอ่านงานของคุณสนธิที่เจอทุกครั้งก็คือ อ่านแล้วมันเพลิน ลืมเวลา บ่อยครั้งที่ต้องตัดใจวางเพราะไม่งั้นจะเขียนงานตัวเองไม่ทันครับ

 ๑๔. เชอร์ลอคโฮล์มส์ โดย Sir Arthur Conan Doyle

พี่โฮล์มส์นี่น่าจะเป็นนักสืบในดวงใจของเด็กผู้ชาย (และผู้ใหญ่) จำนวนไม่น้อยนะครับ และผมเชื่อว่า ถ้าไปถามเด็กผู้ชายว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร? เด็กส่วนหนึ่งจะอยากเป็นนักสืบ โดยมีที่มาจากความเท่ของพี่โฮล์มส์นี่แหละ (แต่เด็กยุคนี้ไม่รู้แล้วนะ อาจจะอยากโตขึ้นมาเป็นณเดชน์ หรือเจมส์ จิ กันหมดแล้ว)

เชอร์ลอคโฮล์มส์ / Sir Arthur Conan Doyle

ชุดนี้อ.สายสุวรรณเป็นผู้แปล ผมซื้อเอง อ่านมาตั้งแต่เด็ก เพิ่งมาเปิดดูวันนี้ว่าพิมพ์มาตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๖ คลาสสิกมากกกกก

ครบแล้วครับ ยาวมาก ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ใครคิดเห็นยังไง อยากแชร์หนังสือเล่มไหน เชิญได้ในคอมเม้นต์นะครับ

หนังสือที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

หนังสือที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

ปีที่ผ่านมาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีอายุครบ ๑๐๐ ปี ทางโรงพยาบาลได้จัดทำหนังสือที่ระลึกในโอกาสนี้ขึ้น ๒ เล่มนะครับ มีหนังสือที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และหนังสือภาพที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

เล่มแรกจะเป็นเรื่องราวประวัติความเป็นมาของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตั้งแต่เมื่อแรกกำเนิดสภาอุณาโลมแดง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แล้วได้พัฒนามาตามลำดับจนตั้งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ของแต่ละรัชกาล และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นไล่เรียงมาตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีที่แล้ว

ส่วนเล่มที่สองจะเป็นการรวบรวมภาพถ่ายของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งที่เป็นภาพอาคารสถานที่ ภาพการตรวจรักษาของแผนกต่างๆ การแต่งกายของบุคลากรทางการแพทย์ในยุคก่อน ฯลฯ

หนังสือภาพที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

ผมเข้าใจว่าสองเล่มนี้ไม่ได้มีวางจำหน่าย หากใครสนใจก็ลองสอบถามไปที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ดูนะครับ

What We Read: อำนาจ ลิมป์บรรจงกิจ

Amnaj

ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้นครับ

ชื่อ-นามสกุล : อำนาจ ลิมป์บรรจงกิจ

อาชีพ : Senior Graphic Designer ที่ Car Thailand Magazine

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
การจัดสรรเวลาอ่านหนังสือของผม คือแค่ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็จะอ่าน ส่วนใหญ่จะเป็นก่อนนอน ก่อนทำงานหรือว่าเวลาตอนรอที่หน้าโรงหนัง แต่ถ้าจะมีเวลาได้อ่านจริงจังแบบต่อเนื่องน่าจะเป็นก่อนนอนของทุกๆ วัน นิตยสารบ้าง พ็อกเก็ตบุ๊คบ้างแล้วแต่ว่าช่วงนั้นๆ จะสนใจอะไร

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
หนังสือที่อ่านในตอนนี้คือนิตยสาร คิด (Creative Thailand) ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เนื้อหาเกี่ยวกับการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ที่มีส่วนช่วยในการผลักดันเศรษฐกิจไทย ที่จัดทำโดย TCDC

คิด

หนังสือที่คุณอ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
หนังสือที่อ่านจบเล่มล่าสุดคือ ฤทธิ์มีดสั้น นวนิยายกำลังภายใน บทประพันธ์ของโกวเล้ง แปลโดย ว. ณ เมืองลุง

ฤทธิ์มีดสั้นเป็นเรื่องราวของลี้คิมฮวง อดีตบัณฑิตหน้าบัลลังค์ฮ่องเต้ที่สืบทอดความยิ่งใหญ่ระดับ ๗ บัณฑิต ๓ ถ้ำฮวย ที่ตัวเอกของเราก็เก่งและฉลาดขนาดเป็น ๑ ในถ้ำฮวยที่ว่า และมีเพื่อนสนิทชื่อว่า อาฮุย (ฉบับ น. นพรัตน์ออกเสียงเป็น อาเฟย) แต่เพราะแกเป็นคนมากน้ำใจแบบที่ว่ามิตรภาพย่อมมาก่อนเสมอจนลืมนึกถึงตัวเอง…ชีวิตก็เลยต้องระทมชนิดกู่ไม่กลับ เพราะแกถือคติอภัยให้ทุกคนยกเว้นอภัยให้ตัวเอง

ฤทธิ์มีดสั้น

หนังสือชุดนี้เป็น ๓ เล่มจบ และมีการออกแบบรูปเล่มให้เหมือนตำราโบราณแบบในหนังจีนเลยช่วยเพิ่มอรรถรสในการอ่านดีนักแล

หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร?
หนังสือที่ตั้งใจจะอ่านเล่มต่อไป คือ The Name of The Rose (สมัชชาแห่งดอกกุหลาบ) ผลงานของ Umberto Eco แปลโดย ภัควดี วีระภาสพงษ์ เคยถูกทำเป็นภาพยนตร์มาแล้วเมื่อปี ๑๙๘๖ เรื่องราวเกี่ยวกับการสืบสวนคดีฆาตกรรมโดยบาทหลวงชาวอังกฤษตามติดด้วยลูกศิษย์ เหตุการณ์ในเรื่องมีแค่ ๗ วัน ส่วนหนังสือก็มีถึง ๗๐๐ กว่าหน้า พร้อมด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคกลาง และเรื่องราวเชิงปรัชญา (นี่มัน Sherlock Holmes แบบฉบับวาติกันเลยนะ Davinci Code ยังมาทีหลังเลย) ความจริงเป็นหนังสือที่พี่ชายคนโตซื้อไว้นานแล้ว ตอนนี้ไม่ทราบว่าหายไปไหน แต่ยังฝังใจว่าจะต้องอ่านให้ได้ คงต้องไปหาซื้อมาอ่านและเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวซะแล้ว

The name of Rose (Old Cover)

หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
เล่มนี้ผมอ่านมานานมากแล้วตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ  คือ แล่เนื้อ เถือหนัง เล่มแรก โดย ประชา สุวีรานนท์ เป็นหนังสือรวบรวมบทวิจารณ์ภาพยนตร์ที่ไม่ธรรมดา ลึกซึ้ง สอนในเรื่องการตีความภาพยนตร์อย่างมีชั้นเชิง ที่ร่วมสมัยไม่มีเชย แม้ว่าจะเป็นการรวบรวมบทความจากนิตยสารสารคดี เมื่อปี ๒๕๓๕-๒๕๓๙ แต่ที่ผมได้อ่านคือเล่มที่พิมพ์ครั้งที่ ๒ ปี ๒๕๔๐ รับรองว่าการชมภาพยนตร์ของใครก็ตามที่ได้อ่านจะเปลี่ยนไปไม่ใช่แค่ดูหนังแล้วสนุกไม่สนุก ดีหรือไม่ดี จะตีความได้มากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา คุณจะเข้าใจอุปนิสัยและสิ่งที่เป็นลายเซ็นเฉพาะของผู้กำกับคนนั้นๆ กันเลยทีเดียว

แล่เนื้อเถือหนัง

หนังสือในดวงใจ ๑๐ เล่ม (ตอนที่ ๑)

My desk / September 7, 2014

หมายเหตุ : โพสต์นี้ผมเขียนและโพสต์เอาไว้ในบลอกส่วนตัวตั้งแต่เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๗ แต่เอามาโพสต์ซ้ำอีกครั้งที่นี่เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกันครับ

สืบเนื่องจากน้องเมย์ แห่ง Openrice.com ได้แถ่กมาในเรื่อง ๑๐ อันดับหนังสือในดวงใจ หลังจากที่ใช้เวลาพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว (แปลว่า อู้) ก็ได้มาดังรายการต่อไปนี้ครับ

(หมายเหตุ : ไม่ได้เรียงตามลำดับความชอบ ความสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น ชอบเท่ากันหมด)

๑. หนังสือแปลของคุณสุวิทย์ ขาวปลอด

ผมได้อ่านหนังสือฝีมือแปลของคุณสุวิทย์ ขาวปลอด มาตั้งแต่ช่วงเรียนมอปลาย อ่านแล้วชอบสไตล์ เรื่องที่พี่เค้าเลือกมาแปลก็ใช่เลย บู๊ ล้างผลาญ เขย่าขวัญ สั่นประสาท อะไรแนวนี้ ตามอ่านได้สักพักมั่นใจว่าใช่แน่ ก็ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกสำนักพิมพ์วรรณวิภาของคุณพี่ เป็นแบบพรีเพด ส่งเงินไปให้ก่อน (นี่มาก่อนบริษัทมือถืออีกนะ ใครว่าวงการหนังสือเชย) เวลาหนังสือเล่มใหม่ออกก็จะส่งมาให้ที่บ้าน ทางสำนักพิมพ์ก็ตัดยอดเงินไป ให้ส่วนลดด้วย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ ๓๐%

วิธีนี้คนอ่านกับสำนักพิมพ์ซื้อใจกันขนาดที่ว่า คนอ่านไม่ต้องรู้ว่าเล่มหน้าจะเป็นเรื่องอะไร ของนักเขียนคนไหน ขอให้เชื่อมือเชื่อรสนิยมคุณสุวิทย์เถอะว่า ไม่มีผิดหวัง ส่วนสำนักพิมพ์ก็แฟร์ว่า ถ้าส่งไปแล้ว ลองอ่านดูแล้วคิดว่าไม่ใช่แนว ก็ส่งมาคืนได้ ไม่คิดเงินด้วย เชื่อใจกันขนาดนั้นเลย

ผมได้อ่านงานของนักเขียนดังๆ หลายคนในสมัยนั้นก็จากการแปลของคุณสุวิทย์และนักแปลคนอื่นในสำนักพิมพ์นี่เอง อย่าง Stephen King (นี่ไม่ต้องแนะนำ) Michael Crichton (นี่ดังมาตั้งนานก่อนจะมาระเบิดระเบ้อกับ Jurassic Park) Tom Clancy (พี่คนนี้ชอบเหลือเกินกับแนว techno thriller รบกันเนี่ย) ผมอ่านงานแปลของคุณสุวิทย์มาตั้งแต่เรียนมอปลาย เข้ามหา’ลัย จนจบออกมาทำงาน ต่อมาอีกหลายปีจนคิดว่าน่าจะพออ่านงานฉบับภาษาอังกฤษได้แล้วถึงได้เลิกราการอ่านงานแปลของคุณสุวิทย์ไป

ในบรรดาหนังสือแปลของคุณสุวิทย์ ขอเลือกเล่มนี้ เพราะเป็นเล่มแรกๆ ที่ได้อ่าน (ดูสภาพเอาแล้วกันว่านานแค่ไหนแล้ว) และทำให้ซื้ออ่านมาเรื่อยๆ อย่างที่ว่ามาครับ

ท้าสู้ผีนรก / Stephen King - สุวิทย์ ขาวปลอด

๒. On Writing โดย Stephen King

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน จะมีหนังสืออยู่ประเภทนึงที่ผมมักจะซื้อเก็บไว้ ว่างๆ ก็หยิบมาอ่าน ตอนนี้ก็มีหลายเล่มอยู่ ก็คือหนังสือเกี่ยวกับการเขียน โดยเฉพาะถ้าเป็นนักเขียนมาเขียนเองนี่ชอบมาก แต่ในบรรดาทั้งหลายทั้งปวงที่มีชอบเล่มนี้มากที่สุด

On Writing / Stephen King

ผมได้อ่านงานของ King มานานจากการแปลของคุณสุวิทย์ (ตามที่เล่ามาในข้อ ๑) King เป็นนักเขียนเรื่องสยองขวัญที่ขายดีโคตรๆ (จริงๆ ถ้าใช้สำนวนผม อาจจะหยาบนิดนึงนะ ต้องบอกว่า ขายดีเหี้ยๆ ถ้าเจ๊ J.K. Rowling ไม่ได้พิมพ์ Harry Potter ก็น่าจะยังครองอันดับ ๑ นักเขียนขายดีที่สุดของโลกอยู่) มีนิยายและเรื่องสั้นที่เอาไปทำหนังหลายเรื่อง ที่ติดตาตรึงใจใครหลายๆ คนก็อย่างเช่น Stand By Me หรือ The Shawshank Redemption แต่เล่มนี้ King เขียนเรื่องการเขียนหนังสือบวกกับอัตชีวประวัติตัวเอง จากเด็กที่ชอบเขียนหนังสือจนโตขึ้นมาเป็นนักเขียนที่ดิ้นรนพยายามเลี้ยงชีพตัวเองด้วยงานเขียน จนมาถึงวันที่ประสบความสำเร็จ

King เขียนหนังสือเล่มนี้หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนจนเกือบเสียชีวิตและได้เล่าประสบการณ์เฉียดตายวันนั้นเอาไว้ด้วย

เล่มนี้ครั้งแรกผมซื้อเป็นฉบับปกอ่อนมาก่อน แล้วมีวันนึงไปเจอเล่มปกแข็งที่ร้านหนังสือมือสองเจ้าประจำก็เลยซื้อเก็บไว้อีก

๓. พันธุ์หมาบ้า โดย พี่ชาติ กอบจิตติ

แต่ไหนแต่ไรมาผมเป็นคนไม่อ่านหนังสือแนวเพื่อชีวิต เพื่อสังคม ชีวิตทุกข์ยาก ลำบากลำบน รวมถึงวรรณกรรมเข้มข้น จริงจัง เลยนะครับ จะหยิบอ่านก็ชวนให้หาวเรอเสียทุกครั้งไป ซึ่งพี่ชาติมาแนวนี้ เพราะฉะนั้นวางใจได้ว่าไม่เคยคิดอ่านงานของพี่เค้าเลย ยิ่งพี่เค้าได้ซีไรต์จาก คำพิพากษา ด้วยนะ ผมยิ่งมั่นใจว่าไม่ใช่แนวกูแน่ๆ

พันธุ์หมาบ้า / ชาติ กอบจิตติ

จนกระทั่งพี่เขียนพันธุ์หมาบ้าออกมานี่แหละ ทีแรกก็นึกว่าแนวนั้นแหละ เลยไม่ได้สนใจ จนกระทั่งได้อ่านคำวิจารณ์กับมีคนพูดถึง โดยเฉพาะเรื่อง “กล้วย” และ “เครื่องปอกกล้วย” ก็เลยลองไปพลิกๆ ดูในร้านหนังสือ ถึงได้รู้ว่า เฮ้ย แม่มใช่เลย เกือบพลาดแล้วกู เล่มนี้ก็เลยเป็นงานเขียนเล่มแรกของพี่ชาติที่ได้อ่าน แล้วต่อมาก็ลามไปเล่มอื่น แม้กระทั่งคำพิพากษาที่ทีแรกไม่เอาเลย สุดท้ายก็กลับมาอ่าน รวมไปถึงงานและบทสัมภาษณ์พี่ชาติหลังจากนั้นด้วย

เรียกได้ว่าพันธุ์หมาบ้าเป็นเล่มที่ทำให้ได้อ่านงานพี่ชาติและติดตามมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อสิบกว่าปีก่อนร้านนายอินทร์ ท่าพระจันทร์ จะมีจัดงานเสวนาพบนักเขียนทุกบ่ายวันศุกร์ ครั้งนึงเชิญพี่ชาติมา ผมแว่บออกไปฟังแล้วเอาหนังสือให้พี่เค้าเซ็น เป็นการขอลายเซ็นคนครั้งแรกในชีวิตอ่ะ

(หมายเหตุ : มีเรื่องนึงที่สงสัย เด็กยุคนี้ยังอ่านพันธุ์หมาบ้ากันอยู่มั้ย?)

๔. ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน โดย พี่วินทร์ เลียววาริณ

เล่มนี้ซื้อมาแล้ววางไว้ กว่าจะอ่านก็นานมาก เหตุที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองนะครับ แต่พอเริ่มอ่านแล้วสนุกมาก โคตรทึ่งที่พี่วินทร์เอาประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาเป็นแบคกราวน์แล้ววางโครงเรื่องทับซ้อนลงไป แล้วเล่าออกมาได้สนุกขนาดนี้

ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน / วินทร์ เลียววาริณ

ตอนที่อ่าน The Da Vinci Code ของ Dan Brown ยังนึกถึงเล่มนี้อยู่เลยว่ามาสไตล์คล้ายกัน เอาประวัติศาสตร์เป็นพื้นหลังแล้วเขียนเติมเข้าไป อาจจะบิดหรือเติมบางอย่างเข้าไปให้เรื่องสนุกขึ้น เล่มนี้เป็นอีกเล่มนึงที่อ่านแล้วหยิบมาอ่านซ้ำ

๕. งู โดย วิมล ไทรนิ่มนวล

คุณวิมลเป็นอีกคนนึงที่ผมจัดอยู่ในกลุ่มนักเขียนวรรณกรรมเข้มข้น จริงจัง แนวเพื่อชีวิต ก็เลยไม่เคยสนใจจะอ่านงานของพี่เค้าเลย โดยเฉพาะงานก่อนหน้าเล่มนี้คือ คนทรงเจ้า ดูคร่าวๆ แล้วไม่ใช่แนวแน่ๆ แต่เล่มนี้ก็มีเหตุบังเอิญไปเจอในร้านหนังสือแล้วปกสะดุดตาเลยหยิบมาพลิกๆ ดู (เป็นบทเรียนว่า ปกหนังสือ ช่วยกระตุ้นยอดขายได้นะครับ) แล้วเรื่องที่เขียนตรงกับที่ใจคิดพอดี ก็เลยซื้อมาอ่านและชอบมาก สุดท้ายก็กลับไปอ่านคนทรงเจ้าต่อนะ (เหมือนเคสพี่ชาติเลย)

งู / วิมล ไทรนิ่มนวล

งู เป็นเรื่องที่พูดถึงคนในผ้าเหลืองที่สูบกินจากสังคมรอบข้าง โดยอาศัยความเชื่อและศรัทธาของชาวบ้านเป็นเครื่องมือ (ฟังดูคุ้นๆ มั้ย?) จริงๆ มีประเด็นและสาระอื่นอยู่ด้วยนะ แต่ผมอ่านแล้วมีปัญญาจับมาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

 

ทีแรกว่าจะเขียนให้ครบทั้ง ๑๐ เล่ม แต่นี่แค่ ๕ เล่มแรกก็ยาวขนาดนี้แล้ว ที่เหลือขอเอาไว้ต่อโพสต์หน้านะจ๊ะ (แปลว่า อู้อีกแล้ว)

รีวิวหนังสือ : ระวังหลัง – นิยายที่อาจเกิดขึ้นจริงในโลกธุรกิจ

ระวังหลัง (Paranoia)

ตามที่ได้เล่าไว้ในโพสต์ก่อนหน้านี้ว่าปีนี้ผมตั้งใจจะอ่านหนังสือและได้ประเดิม Gone Girl เป็นเล่มแรกไปแล้ว เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหลังจากที่หยิบวางหยิบวางมาสองสามเล่มก็สรุปที่เล่มนี้ครับ ระวังหลัง (Paranoia)

เล่มนี้น่าสนใจตรงที่เป็นเรื่องราวของการล้วงข้อมูลในแวดวงธุรกิจ ซึ่งน่าแปลกที่ไม่ค่อยมีใครหยิบประเด็นนี้มาเขียน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมีเรื่องราวทำนองนี้อยู่เยอะมาก เมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อนในประเทศไทยเองก็เคยมีเรื่องทำนองนี้ที่ดังจนขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ นั่นก็คือ บริษัททำปลากระป๋องขนาดใหญ่แห่งหนึ่งจับได้ว่ามีการดูดแฟกซ์ของตัวเองไปโผล่ที่บริษัทคู่แข่ง เป็นเรื่องเป็นราวกันพักใหญ่และก็ต่อเนื่องให้มีคนเอาเครื่องแฟกซ์ที่ปลอดภัยจากการดูดข้อมูลมาวางขายกันด้วย

กลับมาที่เล่มนี้ ตัวเอกของเรื่องถูกซีอีโอบริษัทส่งเข้าไปในบริษัทคู่แข่งเพื่อหาทางสืบข้อมูลโครงการลับที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญที่คาดว่าจะโกยรายได้มหาศาล ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ตัวเอกจำเป็นต้องรับเพื่อแลกกับการที่จะไม่ถูกส่งเข้าคุกจากความผิดที่ได้ก่อเอาไว้ แม้ว่าตัวเอกจะเป็นคนที่ไม่ได้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีและการตลาดอะไรเลยแต่ด้วยการติวเข้มและข้อมูลสนับสนุนจากซีอีโอ ประกอบกับสถานการณ์เอื้ออำนวย ทำให้หน้าที่การงานของตัวเอกของเรื่องโดดเด่นและก้าวหน้าเกินคาดคิด จนกระทั่งได้ทำงานใกล้ชิดกับซีอีโอผู้เป็นเป้าหมาย

ผู้เขียนวางคาแรกเตอร์ตัวละครบางตัวโดยหยิบลักษณะเด่นบางประการของซีอีโอในแวดวงไอทีโลกมาใช้ เช่น ซีอีโอที่ใส่เสื้อคอเต่าสีดำ ซึ่งอ่านแล้วจะนึกถึงใครไปไม่ได้นอกจากสตีฟ จ็อบส์

เรื่องราวดำเนินไปอย่างตื่นเต้น ตัวเอกต้องตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงและหมิ่นเหม่ที่จะถูกจับได้หลายต่อหลายครั้ง รวมไปถึงต้องหาทางเอาตัวรอดจากซีอีโอของตัวเองที่อาจจะหักหลังเมื่อไหร่ก็ได้ จนกระทั่งไปสู่จุดไคลแมกซ์

ถ้าเรื่องนี้จะมีจุดอ่อนอยู่บ้างก็น่าจะตรงที่เป็นนิยายที่เขียนไว้ตั้งแต่ปี ๒๐๐๔ (แต่ทางสำนักพิมพ์เพิ่งจะแปลและพิมพ์เมื่อปีที่แล้วนี่เอง) โดยเป็นเรื่องราวของบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ก็เลยมีการพูดถึงบางบริษัทหรือบางเทคโนโลยีที่ในขณะนั้นยังเป็นที่นิยม แต่ในปัจจุบันเหลือคนใช้ไม่มากแล้ว และบางบริษัทก็ถูกซื้อไปแล้ว ตัวอย่างเช่น ในเรื่องนี้ยังไม่มีใครใช้ iPhone และ Android (เพราะยังไม่ผลิตออกมา) โทรศัพท์ยอดฮิตยังเป็น BlackBerry กันอยู่ เนื้อหาลักษณะนี้อาจทำให้คนอ่านรู้สึกได้ถึงความเก่าของเรื่อง

แต่โดยรวมแล้วเล่มนี้สนุกมาก ใครที่หาอ่านแนวนี้อยู่แนะนำเลยครับ

ระวังหลัง (Paranoia)
ผู้เขียน : โจเซฟ ไฟน์เดอร์
ผู้แปล : ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
ราคา : ๓๒๕ บาท

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘ : ระวังหลัง

ระวังหลัง (Paranoia)

ตามที่ได้เล่าไว้ในโพสต์ก่อนหน้านี้ว่าปีนี้ผมตั้งใจจะอ่านหนังสือและได้ประเดิม Gone Girl เป็นเล่มแรกไปแล้ว เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหลังจากที่หยิบวางหยิบวางมาสองสามเล่มก็สรุปที่เล่มนี้ครับ ระวังหลัง (Paranoia)

เล่มนี้น่าสนใจตรงที่เป็นเรื่องราวของการล้วงข้อมูลในแวดวงธุรกิจ ซึ่งน่าแปลกที่ไม่ค่อยมีใครหยิบประเด็นนี้มาเขียน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมีเรื่องราวทำนองนี้อยู่เยอะมาก เมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อนในประเทศไทยเองก็เคยมีเรื่องทำนองนี้ที่ดังจนขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ นั่นก็คือ บริษัททำปลากระป๋องขนาดใหญ่แห่งหนึ่งจับได้ว่ามีการดูดแฟกซ์ของตัวเองไปโผล่ที่บริษัทคู่แข่ง เป็นเรื่องเป็นราวกันพักใหญ่และก็ต่อเนื่องให้มีคนเอาเครื่องแฟกซ์ที่ปลอดภัยจากการดูดข้อมูลมาวางขายกันด้วย

กลับมาที่เล่มนี้ ตัวเอกของเรื่องถูกซีอีโอบริษัทส่งเข้าไปในบริษัทคู่แข่งเพื่อหาทางสืบข้อมูลโครงการลับที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญที่คาดว่าจะโกยรายได้มหาศาล ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ตัวเอกจำเป็นต้องรับเพื่อแลกกับการที่จะไม่ถูกส่งเข้าคุกจากความผิดที่ได้ก่อเอาไว้ แม้ว่าตัวเอกจะเป็นคนที่ไม่ได้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีและการตลาดอะไรเลยแต่ด้วยการติวเข้มและข้อมูลสนับสนุนจากซีอีโอ ประกอบกับสถานการณ์เอื้ออำนวย ทำให้หน้าที่การงานของตัวเอกของเรื่องโดดเด่นและก้าวหน้าเกินคาดคิด จนกระทั่งได้ทำงานใกล้ชิดกับซีอีโอผู้เป็นเป้าหมาย

ผู้เขียนวางคาแรกเตอร์ตัวละครบางตัวโดยหยิบลักษณะเด่นบางประการของซีอีโอในแวดวงไอทีโลกมาใช้ เช่น ซีอีโอที่ใส่เสื้อคอเต่าสีดำ ซึ่งอ่านแล้วจะนึกถึงใครไปไม่ได้นอกจากสตีฟ จ็อบส์

เรื่องราวดำเนินไปอย่างตื่นเต้น ตัวเอกต้องตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงและหมิ่นเหม่ที่จะถูกจับได้หลายต่อหลายครั้ง รวมไปถึงต้องหาทางเอาตัวรอดจากซีอีโอของตัวเองที่อาจจะหักหลังเมื่อไหร่ก็ได้ จนกระทั่งไปสู่จุดไคลแมกซ์

ถ้าเรื่องนี้จะมีจุดอ่อนอยู่บ้างก็น่าจะตรงที่เป็นนิยายที่เขียนไว้ตั้งแต่ปี ๒๐๐๔ (แต่ทางสำนักพิมพ์เพิ่งจะแปลและพิมพ์เมื่อปีที่แล้วนี่เอง) โดยเป็นเรื่องราวของบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ก็เลยมีการพูดถึงบางบริษัทหรือบางเทคโนโลยีที่ในขณะนั้นยังเป็นที่นิยม แต่ในปัจจุบันเหลือคนใช้ไม่มากแล้ว และบางบริษัทก็ถูกซื้อไปแล้ว ตัวอย่างเช่น ในเรื่องนี้ยังไม่มีใครใช้ iPhone และ Android (เพราะยังไม่ผลิตออกมา) โทรศัพท์ยอดฮิตยังเป็น BlackBerry กันอยู่ เนื้อหาลักษณะนี้อาจทำให้คนอ่านรู้สึกได้ถึงความเก่าของเรื่อง

แต่โดยรวมแล้วเล่มนี้สนุกมาก ใครที่หาอ่านแนวนี้อยู่แนะนำเลยครับ

ระวังหลัง (Paranoia)
ผู้เขียน : โจเซฟ ไฟน์เดอร์
ผู้แปล : ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
ราคา : ๓๒๕ บาท

What We Read: กุศลิน ศิริสนธิ

Kusalin
ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้นครับ

ชื่อ-นามสกุล : กุศลิน ศิริสนธิ

อาชีพ : บรรณาธิการเว็บไซต์รีวิวร้านอาหาร OpenRice.com

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
ส่วนใหญ่ชอบอ่านหนังสือช่วงก่อนนอน เพราะรู้สึกว่าเป็นเวลาที่ได้อยู่กับตัวเอง บรรยากาศเงียบๆ ทำให้มีสมาธิ บางทีนอนไม่หลับก็จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อให้หลับ แต่ถ้าเจอหนังสือดีๆ ก็จะกลายเป็นว่าอ่านหนังสือจนไม่ได้นอนแทน 555 หรือถ้าเสาร์อาทิตย์ไหนมีเวลาว่างๆ ชิลล์ๆ ก็จะหยิบหนังสือไปนั่งอ่านในร้านกาแฟบ้างเหมือนกัน (แอบมีไลฟ์สไตล์ฮิปสเตอร์เบาๆ) ถ้าไม่ได้มีหนังสือที่อ่านค้างไว้หรือกำลังติดพันเล่มไหนเป็นพิเศษ เวลาออกไปร้านกาแฟก็จะดูนิตยสารน่าสนใจที่มีในร้านมาอ่าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเลือกอ่านนิตยสารแฟชั่น ท่องเที่ยว และอาหาร ตามปกที่ตัวเองสนใจแต่ด้วยความที่ทำงานเขียนคอนเทนต์ออนไลน์ ต้องมีไอเดียเพื่อเป็น output เยอะ บางครั้งก็จะนั่งอ่านนิตยสารอาหารต่างๆ ในเวลาทำงานเหมือนกัน เวลาที่คิดงานไม่ออก ไม่มีไอเดีย เริ่มตัน ก็จะหยิบนิตยสารอาหารมาอ่านค่ะ รวมถึงพวก Free Copy ต่างๆ ที่เจอแล้วเก็บมาด้วย

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
อยากบอกว่าเป็นคนอ่านหนังสือตามอารมณ์มากกกกก หัวเตียงจึงเต็มไปด้วยหนังสือหลายเล่มที่อ่านค้างไว้ คือบางทีเราอารมณ์ชิลล์ๆ ก็อยากอ่านอะไรเบาสมอง วันไหนเครียดก็อยากอ่านอะไรเหงาๆ วันไหนจริงจังก็อยากอ่านหนังสือจริงจังเสียดสีสังคมการเมืองตอนนี้มีอ่านค้างอยู่ ๓ เล่ม คือ อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง โดย อภิชาติ เพชรลีลา เราไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่คนเดียว โดย jirabell และ 1984 โดย George Orwell (พูดว่ากำลังอ่านเล่มนี้จะโดนเรียกไปปรับทัศนคติมั้ยเนี่ย แฮ่…) เล่มแรกได้รู้จักจากเพื่อนที่เรียนจบจาก ม.ช. คนนึง ช่วงก่อนหน้านี้ในเฟซบุคฮิตแท็คเพื่อนเพื่อแนะนำ ๑๐ หนังสือในดวงใจของแต่ละคน เราอ่านคำแนะนำที่เพื่อนเขียนไว้ว่าชอบเล่มนี้เพราะอะไรก็ประทับใจ เลยไปซื้อมาอ่านบ้าง

winter

เป็นเรื่องราวชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่กลุ่มนึงผ่านมุมมองการเล่าเรื่องของตัวเอกที่ชื่อ ธันวา อ่านมาได้เกือบๆ ครึ่งเล่มแล้ว ช่วงเวลาในเรื่องน่าจะเป็นยุคเดียวกับที่เราเองเรียนอยู่มหาวิทยาลัยศิลปากรทับแก้วเหมือนกัน จึงค่อนข้างประทับใจเพราะวิถีชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยต่างๆ ใกล้เคียงกันมาก  ทั้งเรื่องการเรียน การรับน้อง ชีวิตเด็กหอ ความรักวัยใส แล้วก็เมืองเชียงใหม่ในสมัยนั้น ส่วนตัวหลงเสน่ห์เชียงใหม่อยู่เป็นทุนเดิม ไปเที่ยวเกือบทุกปี ก็เลยจะพอนึกออกว่าย่านไหนอยู่ตรงไหน ก็เลยทำให้ยิ่งสนุกกับเล่มนี้ไปใหญ่ อีกอย่างที่ชอบคือ มีรูปวาดสีน้ำมันสวยๆ ประกอบแต่ละบทให้เห็นภาพอยู่ตลอดเรื่องด้วย ช่วงนี้เลยมุ่งมั่นอ่านเล่มนี้เป็นพิเศษ พยายามอ่านให้จบอยู่

สำหรับเล่มนี้เป็นความเรียงสั้นๆ ๕๐ เรื่อง พูดถึงเรื่องทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวันธรรมดาๆ นี่ล่ะ ความเหงา ความสูญเสีย ความทรงจำวัยเด็ก อ่านไปก็จะรู้สึกเหมือนนั่งคุยกับเพื่อนถึงเรื่องคนนู้นคนนี้ที่เคยรู้จัก อะไรทำนองนั้น

wearenotalone

จริงๆ ที่ซื้อเล่มนี้มาอ่านเพราะตามทวิตเตอร์ของคนเขียนมาก่อน @jirabell คือรู้สึกว่าเป็นผู้ชายที่มีประเด็นความคิดที่มีเสน่ห์ดี และหลายๆ เรื่องในเล่มนี้ก็แตกประเด็นมาจากทวีตที่เราเคยเห็นผ่านตามาแล้วนี่ล่ะ เหมือนเป็นการขยายความทวีตอีกที แต่เหตุที่อ่านได้ไม่จบซักที เพราะบางทีฟิลในความเรียงมันเหงาๆ อ่านรวดเดียวหลายๆ เรื่องมันก็จะทำให้จิตใจห่อเหี่ยวไปด้วย ก็เลยเอาไว้อ่านเวลาเบื่อๆ เรื่องสองเรื่องก่อนนอนมากกว่า

สุดท้าย หนังสือต้องห้ามแห่งยุคสมัย จริงๆ อ่านมาตั้งแต่ก่อนจะเกิดการรัฐประหารแล้วนะ แต่ยังอ่านไม่จบซักที อ่านๆ หยุดๆ เพราะเนื้อหาค่อนข้างเครียด อ่านแล้วต้องคิดตามเยอะ และหนังสือค่อนข้างหนา เลือกอ่านฉบับแปลไทยเพราะอยากดูสำนวนการแปลด้วยว่าดีงามมั้ย เพราะเล่มนี้ถือว่าเป็นงานขึ้นหิ้งเลยเรื่องการใช้คำที่สื่อความหมายหลายนัย ซึ่งเท่าที่อ่านสำนวนแปลฉบับนี้ทำได้ดีมากทีเดียว แปลได้เป็นธรรมมชาติและสื่อนัยยะได้ดี

1984

เนื้อหาของหนังสือเกี่ยวกับยุคสมัยหนึ่งที่ผู้ปกครองหรือ Big Brother (พี่เบิ้ม) มีอำนาจสูงสุดต่อทุกชีวิตในสังคม สามารถส่องกล้องดูความประพฤติของทุกคนได้ตลอดเวลา ห้ามทุกคนแสดงออกทางความคิด ต้องทำตามตารางชีวิตที่ทางการขีดเส้นและเขียนบทบาทมาแล้ว ห้ามแม้กระทั่งการมีความรักหรือการมีอารมณ์สุนทรีต่างๆ เรื่องราวเล่าผ่านมุมมองของ วินสตัน ผู้ชายที่คิดจะกบฎเพราะไม่อยากตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพี่เบิ้มอีกต่อไป เขาพยายามจดบันทึก และยังได้ทำผิดกฎอย่างมหันต์ด้วยการลักลอบมีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่หญิงของพรรคแรงงานที่มีความคิดหัวกบฏเช่นเดียวกัน

สำหรับเล่มนี้คิดไว้ว่าถ้าอ่านเล่มแรกจบแล้ว จะมาอ่านต่อให้จบเป็นเล่มต่อไป

หนังสือที่คุณอ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
จริงๆ หนังสือที่อ่านจบเป็นเล่มล่าสุดเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นตาหวานเพ้อฝัน เพราะชอบอ่านเวลาเครียดๆ ทำให้เราเหมือนหลุดไปจากโลกความเป็นจริงได้ชั่วคราว แต่ถ้าเป็นหนังสือจริงจัง เรื่องล่าสุดที่อ่านจบคือ ความไม่เรียบของความรัก โดย ฮิโรมิ คาวาคามิ

lovebump

เป็นเรื่องสั้นโดยนักเขียนญี่ปุ่น เนื้อหาเป็นเรื่องความรักที่ผิดหวังในรูปแบบต่างๆ (ดูจากชื่อก็น่าจะเดาได้ไม่ยาก) อารมณ์เวลาอ่านมันก็เลยจะ เหงา เศร้า ซึม ซะมาก แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของเล่มนี้ รวมถึงเรื่องสั้นญี่ปุ่นหลายๆ เรื่องที่เคยอ่าน คือ ถึงจะเศร้าแต่ก็แฝงด้วยความสุข อ่านจบแล้วมันเลยรู้สึกเต็มตื้น รู้สึกว่า เออ เจอเรื่องแบบนี้มันก็เศร้าแหละ แต่มันก็เป็นความทรงจำที่ดี ใครชอบอ่านเรื่องสั้นแนะนำเลย

หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร?
อย่างที่บอกไปแล้วว่าอ่าน 1984 ค้างไว้ ก็ตั้งใจจะกลับมาอ่านเล่มนี้ให้จบเป็นลำดับถัดไป ยิ่งสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ก็ยิ่งอยากกลับมาอ่าน ไม่ได้อ่านเพื่อนจะลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลหรืออะไร แต่อ่านเพื่อสะท้อนมุมมองทางการเมืองต่างๆ วิเคราะห์เปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน และดูสำนวนการแปลไปพร้อมๆ กันด้วย

หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
เป็นคำถามที่ตอบยากมาก เพราะแต่ละคนก็คงชอบหนังสือคนละแนว แต่ถ้าจะให้แนะนำหนังสือที่น่าจะมีประโยชน์กับทุกคนก็ขอเลือก Tuesdays with Morrie โดย Mitch Albom

tuesdaywithmorrie

จะสังเกตว่าเล่มที่มีเป็นแบบที่ซีรอกซ์มาจากหนังสือจริง เพราะนี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่ใช้เรียนสมัยมหา’ลัย ทุกวันนี้ยังรู้สึกขอบคุณอาจารย์ที่เลือกเล่มนี้มาให้นักศึกษาที่กำลังอยู่ในวัยคะนองอ่าน

เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนและครูมอร์รี่ ผู้ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (โรคที่ช่วงปีที่แล้วทุกคนลุกขึ้นมาทำ Ice Bucket Challenge เพื่อรณรงค์กันนั่นล่ะ) เนื้อหาของหนังสือเป็นสิ่งที่เขาและครูมอร์รี่ได้เรียนรู้จากช่วงสุดท้ายของชีวิตของครูก่อนที่ครูจะเสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าว

การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้เราค้นพบว่า การเรียนรู้ที่จะตายคือแนวทางในการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด  นั่นก็คือ เมื่อเราตระหนักถึงความจริงที่ว่าคนเราเนี่ยมันสามารถตายไปได้ทุกเมื่อ เราก็จะรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต อะไรคือสิ่งที่เราควรใส่ใจ อะไรคือสิ่งที่เราควรเลือกทำ จะได้ไม่มัวแต่ยึดติดกับอะไรโง่ๆ แล้วต้องมาเสียดายหรือเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

จริงๆ เนื้อหาและแนวคิดต่างๆ ในเล่มนี้เป็นแนวคิดแบบพุทธมากๆ แต่อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อเหมือนอ่านหนังสือธรรมะ และก็ไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดหลักการการทำดีมากมายด้วย อ่านแล้วจะมีความคิดขึ้นมาได้เองว่าเราควรใช้ชีวิตให้มีสติ

เล่มนี้แนะนำสำหรับคนที่อยากฝึกอ่านภาษาอังกฤษด้วยนะ เพราะผู้เขียนเลือกเล่าเรื่องด้วยภาษาง่ายๆ เข้าใจง่าย มีศัพท์เกี่ยวกับโรคที่ยากนิดหน่อย แต่รูปประโยคอื่นๆ เหมาะกับคนเริ่มอ่านภาษาอังกฤษทีเดียว