รีวิวหนังสือ : แกล้ง (Play Dead)

แกล้ง

จบไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับหนังสือเล่มที่ห้าของปีนี้ เล่มนี้เป็นผลงานของนักเขียนที่ผมเพิ่งมารู้จักและเริ่มอ่านเมื่อปีที่แล้วนี่เอง (ทำไมเชยยังงี้วะ?) ก็คือ แกล้ง (แปลจาก Play Dead) โดย Harlan Coben และ คุณมณฑารัตน์ ทรงเผ่า เป็นผู้แปล

เล่มนี้ตอนเห็นทีแรกในร้านหนังสือก็สองจิตสองใจว่าจะซื้อดีมั้ย เพราะโปรยปกเอาไว้ว่าเป็นนวนิยายเรื่องแรกของคุณพี่โคเบน (เออ พอเขียนโคเบนเฉยๆ แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ก็มี Kurt Coben นี่หว่า สองคนนี้เป็นญาติเป็นอะไรกันมั้ยนี่) ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะสนุกมั้ย ลองหยิบพลิกๆ ดู อ่านดูนิดนึงก็ยังตัดสินไม่ได้ แถมเปิดมาหน้ารองปกเจอข้อความที่พี่โคเบนแกเขียนไว้ทำนองว่า ถ้านี่จะเป็นงานแกเล่มแรกที่เราจะอ่าน ให้หยุดเลย เอาไปคืนร้านซะ แล้วเอาเล่มอื่นมาอ่านแทน นี่ขนาดคนเขียนเองนะ ยังบอกยังงี้เลย ผมก็ เอาไงดีวะ ระหว่างที่กำลังสองจิตสองใจในสมองก็แว๊บถึงนิยายเล่มแรกของนักเขียนหลายคนขึ้นมา ไล่มาตั้งแต่ Carrie ของพี่ Stephen King มา A Time to Kill ของพี่ John Grisham แล้วก็ Numbered Account ของ Christopher Reich ซึ่งต่อมาก็โด่งดังระเบิดระเบ้อทุกคนนะครับ ก็เลยเอาวะ มือระดับนี้ถึงจะเป็นเล่มแรกก็ไม่ขี้ไก่หรอกน่า

แล้วก็จริงครับ

อ่านยังไม่ทันจบผมก็เริ่มคิดแล้วว่า ถ้าเล่มแรกพี่เขียนได้ขนาดนี้ ผมไม่แปลกใจเลยที่พี่จะดังและขายดีขนาดนี้ แม่มโคตรสนุกอ่ะ (ขออนุญาตใช้คำเพื่อบอกระดับนิดนึง)

ช่วงเริ่มต้นไปถึงกลางๆ เรื่อง อ่านไปเราจะคิดว่า โห แค่นี้เองเหรอว้า ปมเรื่องที่วางไว้นี่กูเดาได้แต่แรกเลยนะ ชื่อก็บอกไว้โต้งๆ ขนาดนั้น อืม เอาวะ เล่มแรกก็คงได้ประมาณนี้ แต่พอเรื่องเริ่มเข้าใกล้ไคลแมกซ์นะ เฮ้ย นี่พี่ใส่ปมใส่ประเด็นเข้ามาเต็มตั้งแต่เล่มแรกยังงี้เลยเรอะ

องค์ประกอบของเรื่องแนวนี้มีอยู่ครบนะครับ แถมด้วยสไตล์ที่เป็นลายเซ็นของพี่โคเบนก็ครบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในอดีตที่เป็นปมเหตุของสถานการณ์ปัจจุบัน กีฬาบาสเก็ตบอล วิธีการเล่าที่หลอกให้คนอ่านเขว แล้วก็อีกเรื่องที่ผมเห็นโคเบนใส่เข้ามาในหนังสือหลายเล่มแล้วคือ พี่เค้าจะมีอะไรนิดๆ หน่อยๆ เกี่ยวกับเมืองไทย ไม่รู้ติดใจอะไร

เรื่องย่อๆ ก็คือ ตัวเอกเป็นอดีตนางแบบระดับโลกที่ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจ แล้วมาแต่งงานกับซูเปอร์สตาร์ของทีม Boston Celtics ระหว่างฮันนีมูนที่ออสเตรเลียก็เกิดเหตุคุณสามีจมน้ำตาย พอกลับมาจัดการเรื่องทรัพย์สินก็ไปเจอว่าเงินก้อนใหญ่ของสามีถูกโอนหายไป แล้วก็มีเรื่องราวไม่ชอบมาพากลชวนให้สงสัยเกิดตามมาเรื่อยๆ ยิ่งสางไปก็ยิ่งเจอปมใหม่ แค่นั้นยังไม่พอ ระหว่างนั้นก็มีเรื่องส่วนตัวชีวิตครอบครัวเกิดคู่ขนานกันไปอีก นำไปสู่ตอนเฉลยเรื่องราวทั้งหมดนั่นแหละ

เล่มนี้ ๔๔๔ หน้า หนากว่าเล่มอื่นๆ ของพี่โคเบนอยู่พอสมควร แต่อ่านแป๊บเดียวแหละเพราะหยิบแล้ววางไม่ค่อยลงหรอก

ใครที่ชอบแนวนี้และใครที่เป็นแฟนคุณพี่โคเบน ไม่น่าพลาดนะครับ

หมายเหตุ : ที่หน้า ๖๘ มีจุดที่น่าจะใช้คำผิดอยู่จุดนึง ผมไม่มีเล่มภาษาอังกฤษให้เทียบ แต่ดูจากบริบทของกีฬาบาสเก็ตบอลแล้วคิดว่าไม่น่าจะใช่ ถ้ามีโอกาสไปร้านหนังสือจะดูให้แน่อีกทีครับ

 

แกล้ง (Play Dead)
ผู้เขียน : Harlan Coben
ผู้แปล : มณฑารัตน์ ทรงเผ่า
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
ราคา : ๓๒๕ บาท

 

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป…

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่สี่ของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่ห้าของปี ๒๕๕๘ : แกล้ง

แกล้ง

จบไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับหนังสือเล่มที่ห้าของปีนี้ เล่มนี้เป็นผลงานของนักเขียนที่ผมเพิ่งมารู้จักและเริ่มอ่านเมื่อปีที่แล้วนี่เอง (ทำไมเชยยังงี้วะ?) ก็คือ แกล้ง (แปลจาก Play Dead) โดย Harlan Coben และ คุณมณฑารัตน์ ทรงเผ่า เป็นผู้แปล

เล่มนี้ตอนเห็นทีแรกในร้านหนังสือก็สองจิตสองใจว่าจะซื้อดีมั้ย เพราะโปรยปกเอาไว้ว่าเป็นนวนิยายเรื่องแรกของคุณพี่โคเบน (เออ พอเขียนโคเบนเฉยๆ แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ก็มี Kurt Coben นี่หว่า สองคนนี้เป็นญาติเป็นอะไรกันมั้ยนี่) ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะสนุกมั้ย ลองหยิบพลิกๆ ดู อ่านดูนิดนึงก็ยังตัดสินไม่ได้ แถมเปิดมาหน้ารองปกเจอข้อความที่พี่โคเบนแกเขียนไว้ทำนองว่า ถ้านี่จะเป็นงานแกเล่มแรกที่เราจะอ่าน ให้หยุดเลย เอาไปคืนร้านซะ แล้วเอาเล่มอื่นมาอ่านแทน นี่ขนาดคนเขียนเองนะ ยังบอกยังงี้เลย ผมก็ เอาไงดีวะ ระหว่างที่กำลังสองจิตสองใจในสมองก็แว๊บถึงนิยายเล่มแรกของนักเขียนหลายคนขึ้นมา ไล่มาตั้งแต่ Carrie ของพี่ Stephen King มา A Time to Kill ของพี่ John Grisham แล้วก็ Numbered Account ของ Christopher Reich ซึ่งต่อมาก็โด่งดังระเบิดระเบ้อทุกคนนะครับ ก็เลยเอาวะ มือระดับนี้ถึงจะเป็นเล่มแรกก็ไม่ขี้ไก่หรอกน่า

แล้วก็จริงครับ

อ่านยังไม่ทันจบผมก็เริ่มคิดแล้วว่า ถ้าเล่มแรกพี่เขียนได้ขนาดนี้ ผมไม่แปลกใจเลยที่พี่จะดังและขายดีขนาดนี้ แม่มโคตรสนุกอ่ะ (ขออนุญาตใช้คำเพื่อบอกระดับนิดนึง)

ช่วงเริ่มต้นไปถึงกลางๆ เรื่อง อ่านไปเราจะคิดว่า โห แค่นี้เองเหรอว้า ปมเรื่องที่วางไว้นี่กูเดาได้แต่แรกเลยนะ ชื่อก็บอกไว้โต้งๆ ขนาดนั้น อืม เอาวะ เล่มแรกก็คงได้ประมาณนี้ แต่พอเรื่องเริ่มเข้าใกล้ไคลแมกซ์นะ เฮ้ย นี่พี่ใส่ปมใส่ประเด็นเข้ามาเต็มตั้งแต่เล่มแรกยังงี้เลยเรอะ

องค์ประกอบของเรื่องแนวนี้มีอยู่ครบนะครับ แถมด้วยสไตล์ที่เป็นลายเซ็นของพี่โคเบนก็ครบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในอดีตที่เป็นปมเหตุของสถานการณ์ปัจจุบัน กีฬาบาสเก็ตบอล วิธีการเล่าที่หลอกให้คนอ่านเขว แล้วก็อีกเรื่องที่ผมเห็นโคเบนใส่เข้ามาในหนังสือหลายเล่มแล้วคือ พี่เค้าจะมีอะไรนิดๆ หน่อยๆ เกี่ยวกับเมืองไทย ไม่รู้ติดใจอะไร

เรื่องย่อๆ ก็คือ ตัวเอกเป็นอดีตนางแบบระดับโลกที่ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจ แล้วมาแต่งงานกับซูเปอร์สตาร์ของทีม Boston Celtics ระหว่างฮันนีมูนที่ออสเตรเลียก็เกิดเหตุคุณสามีจมน้ำตาย พอกลับมาจัดการเรื่องทรัพย์สินก็ไปเจอว่าเงินก้อนใหญ่ของสามีถูกโอนหายไป แล้วก็มีเรื่องราวไม่ชอบมาพากลชวนให้สงสัยเกิดตามมาเรื่อยๆ ยิ่งสางไปก็ยิ่งเจอปมใหม่ แค่นั้นยังไม่พอ ระหว่างนั้นก็มีเรื่องส่วนตัวชีวิตครอบครัวเกิดคู่ขนานกันไปอีก นำไปสู่ตอนเฉลยเรื่องราวทั้งหมดนั่นแหละ

เล่มนี้ ๔๔๔ หน้า หนากว่าเล่มอื่นๆ ของพี่โคเบนอยู่พอสมควร แต่อ่านแป๊บเดียวแหละเพราะหยิบแล้ววางไม่ค่อยลงหรอก

ใครที่ชอบแนวนี้และใครที่เป็นแฟนคุณพี่โคเบน ไม่น่าพลาดนะครับ

หมายเหตุ : ที่หน้า ๖๘ มีจุดที่น่าจะใช้คำผิดอยู่จุดนึง ผมไม่มีเล่มภาษาอังกฤษให้เทียบ แต่ดูจากบริบทของกีฬาบาสเก็ตบอลแล้วคิดว่าไม่น่าจะใช่ ถ้ามีโอกาสไปร้านหนังสือจะดูให้แน่อีกทีครับ

 

แกล้ง (Play Dead)
ผู้เขียน : Harlan Coben
ผู้แปล : มณฑารัตน์ ทรงเผ่า
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
ราคา : ๓๒๕ บาท

 

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป…

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่สี่ของปี ๒๕๕๘

What We Read: เกรียงไกร พรพิพัฒน์กุล

Kriengkrai
ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้นครับ

ชื่อ-นามสกุล : เกรียงไกร พรพิพัฒน์กุล

อาชีพ : นักข่าวต่างประเทศ (จีน) ASTV ผู้จัดการ

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
เวลาอ่านหนังสือของผมก็จะมีทั้งแบบไปยืนอ่านในร้านเลย (^^) mindmap เอา ระหว่างรอรับลูก และแบบสอง ด้วยความที่หนังสือส่วนใหญ่ที่ซื้ออ่านจะเป็นหนังสือความรู้ มากกว่า บันเทิง มันเลยไม่ต้องอ่านต่อเนื่องรวดเดียว ถึงอ่านรวดเดียว ก็จำไม่ได้อยู่ดี (หงึก) บางเล่มพิเศษนี่ อ่านกันเป็นปี เช่น The Monocle Guide to Better Living ฯลฯ … ส่วนถ้าเป็นหนังสือที่อ่านรวดเดียวจบก็มีครับ คือแบบตีตั๋วดูหนังเลยนะ คืนวันเสาร์จัดไป นั่งเก้าอี้เอน น้ำ ขนมพร้อม ๓ ชั่วโมง อิ่มเลย เช่น ลำนำกระเทียม (มั่วเหยียน)

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
Ernest Hemingway Selected Letters ๑๙๑๗-๑๙๖๑

หนังสือเล่มนี้ กำลังอ่าน (เรื่อยๆ มาสิบกว่าปีแล้ว) ซื้อจากแผงหนังสือมือสองมาเกือบ ๒ ทศวรรษแล้ว ตอนนั้นซื้อเพราะอยากฝึกเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ ไม่ได้จะวรรณกรรมกับเค้าเลย (ประมาณลงคอร์สเขียนจดหมายกับนักเขียนโนเบลมากกว่า) แต่พออ่านๆ ไป … ก็ติดเลย! ‘รวมจดหมายของเฮมิงเวย์’ นักข่าว นักประพันธ์นวนิยายและนักเขียนเรื่องสั้นชาวอเมริกัน นี้ เป็นการรวมจดหมายที่เขาเขียนถึงคนนั้นคนนี้ เกือบ ๖๐๐ ฉบับ ตลอดช่วงชีวิตการทำงานและความสัมพันธ์กับผู้คนในชีวิตของเขา (ประมาณอายุ ๑๗ จนกระทั่งเสียชีวิตวัย ๖๑ ปี) คือตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนก้าวสู่สุดยอด แล้วก็โรยลาลับไป

hemingway
หนังสือที่คุณอ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร
เต๋าเต็กเก็ง
(เต๋าเต๋อจิง, Tao Te Ching, 道德經) เป็นหนังสือเล่มล่าสุดที่อ่าน (จริงๆ ล่าสุด เพราะเป็นหนังสือที่อ่านประจำมากกว่า ๓ – ๔ วัน อ่านทีนึง บทจะสั้นๆ อ่านแค่ย่อหน้าเดียวยังไหว และก็พอจะตีความคิดเอง (เออเอง) ไปได้เรื่อยๆ… อย่างตอนที่ สารคดี “Finding Vivian Maier: คลี่ปริศนาภาพถ่ายวิเวียน ไมเออร์” ฉายในไทย! ทำให้รู้จัก งานถ่ายภาพแนวสตรีทยุคทศวรรษ ๕๐ – ๖๐ ระดับยอดฝีมือของวิเวียน ไมเออร์ สตรีโนเนมฯ ที่ตลอดชีวิตเธอยึดอาชีพเป็นพี่เลี้ยงเด็ก และไม่ยอมให้ใครได้เห็นรูปที่เธอถ่าย จนกระทั่งจากโลกนี้ไป จึงค่อยมีผู้ประมูลกล่องเก็บภาพที่เธอทิ้งไว้ มาเผยแพร่ในภายหลัง

เรื่องนี้ผมนี่คิดถึงเต๋า ในเรื่อง โนเนมฯ เลย – ในโลกมีอะไรอีกมากมายที่ยังไม่ถูกพบเจอ หรือบัญญัติชื่อ ยังมีผู้รู้มากมาย ที่ไม่เคยสอนฯ มีนักเขียนยิ่งใหญ่ที่ไม่พิมพ์หนังสือสักเล่ม วิเวียน ผู้เก็บภาพถ่ายฯ ไว้เพียงในลิ้นชัก ก็เหมือนกัน … ‘เต๋า ที่มีชื่อที่เรียกขานได้ ยังมิใช่ชื่ออันยั่งยืน … เพราะ “ไร้ชื่อ” จึงเป็นต้นกำเนิดแห่งฟ้าดิน … ประโยคนี้ ทำผมคิดนานเลยเนี่ย

(ปล. เต๋าเต็กเก็ง เป็นคัมภีร์ที่เล่าจื๊อแต่งขึ้นเมื่อประมาณ ๖๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช มีเนื้อหากล่าวถึงธรรมชาติและปรัชญาในเรื่องโลกและชีวิต)

tao
หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร
ปฏิจจสมุปบาทกับอานาปานสติ
(พุทธทาสภิกขุ)

เช่นกัน…ด้วยรู้สึกตัวเองว่า ตั้งแต่จำความได้ (น่าจะตั้งแต่อายุ ๑๑ ขวบเป็นต้นมา) เราไม่เคยมีชีวิตแบบ ‘อยู่ ณ ตรงนั้น เวลานั้น’ เลย คือ พอเลยอายุวัยเด็กมานี่ ก็จะเป็นชีวิตแบบจริงมั่ง คิดมั่ง ฝันมั่ง อุปาทานมั่ง แถมยังไม่รู้ตัว ไม่รู้ทันกระแสวงจรเกิด-ดับ ครั้งแล้วครั้งเล่า ของความคิดที่กระพริบอยู่ในหัวตลอดเวลา (ไม่ความคิดที่หนึ่ง ก็ความคิดที่ ๒-๓-๔) ว่ากันที่จริง คือไม่เคยสัมผัสชีวิตตรงๆ ณ ตรงนั้นๆ แบบไร้ปรุงแต่งเจือปนอย่างเด็กเล็กๆ อีกเลย

จริงๆ ไม่กล้าคุยเรื่องธรรมะ ตามความเข้าใจน้อยนิดของผม ‘ปฏิจจสมุปบาท’ อธิบายถึงปฏิกริยาลูกโซ่พฤติแห่งความคิด ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับๆ อาศัยเป็นปัจจัยส่งต่อกันจนครบวงจรสารพัดแห่งเครียด คร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัสบนกองสมมติเสมือนจริง HD ถ้าเราหยุดปฏิกริยาลูกโซ่นี้ไม่ได้ เราก็ไม่เคยสัมผัส มีหรือเห็นชีวิตตามความเป็นจริงเลย (มีเห็นชีวิตตามความคิดไปอย่างเดียว)

ส่วน ‘อานาปานสติ’ คืออุปกรณ์เบรคสำคัญ สามารถฝึกเพื่อหยุดวงล้อปฏิจจสมุปบาท ที่หมุนเร็วรอบจัด ก่อนที่มันจะครบวงจรกลายเป็นตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ …

dhamma
หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
อาจจะเฉพาะตัว และฮาวทูไปหน่อยครับ ที่จะแนะนำใคร (นอกจากลูกเรา) The Greatest Secret in the World, Og Mandino (ภิรมย์ พุทธรัตน์ แปล, เล่มนี้ซื้อเมื่อปี ๒๕๒๕ เพิ่งจะหยิบเสนอขายกับลูกที่กำลังวัยรุ่น เหตุผลคือ … ตอนเราวัยรุ่น (๓๐ ฝ่าปีก่อน) รู้ตัวเลยต้องเผชิญหน้ากับความคิด ความรู้สึกของตัวเองอย่างไร้ประสบการณ์ … ‘ความรู้สึก นึกคิด’ มันแรงงส์ พอที่ทำให้คนดีๆ ก็บ้าได้ … ทำร้ายตัวเองก็ได้ ทำร้ายคนอื่นก็ได้ … หนังสือเล่มนี้ มาในเวลาที่เรา เด็ก ๑๕ ขวบ กำลังต้องการพอดี

๑๐ บท ในเล่มนี้ จัดกระบวนความคิดบางอย่างในเวลาที่สำคัญที่สุดของผม ไม่ว่าจะเป็น ‘ชะตากรรมของคนมาจากนิสัย / ความรักความจริงใจ มีอานุภาพ / อุตสาหะคือหยาดฝนทำลายขุนเขา /เราไม่ได้เกิดมาโดยบังเอิญ / ใช้ชีวิตราววันสุดท้าย / เท่าทันวัฎฎะของอารมณ์ / หัวเราะคือ คุณสมบัติพิเศษของมนุษย์ / น้อมระลึกถึงพลังสรรพสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา ฯลฯ

thegreatestsecret

What We Read: เดียร์

Dear

ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้นครับ

ชื่อ-นามสกุล : เดียร์ (twitter: @ailadear)

อาชีพ : International Marketing officer

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
ที่บ้านฝึกให้อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ มันก็เลยกลายเป็นนิสัยติดตัวมาตลอด เวลาเข้าร้านหนังสือจะอยู่ได้เป็นชั่วโมง มีความสุขกับการหยิบเล่มนั้นเล่มนี้มาดู เรื่องการจัดสรรเวลาในการอ่าน ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนทำงานอยู่กรุงเทพฯ จะใช้เวลาช่วงระหว่างไป-กลับจากบ้าน-ที่ทำงานในการอ่านหนังสืออยู่บ่อยๆ เพราะต้องนั่งรถไฟใต้ดินหลายสถานี พอออกมาจากเมืองหลวง ช่วงเวลาแบบนั้นก็หายไปแล้ว เดี๋ยวนี้ก็จะพยายามอ่านหนังสือเท่าที่จะทำได้ ไปร้านกาแฟก็หยิบหนังสือพิมพ์ นิตยสารที่เค้าวางๆ ไว้มาอ่าน ก่อนนอนก็หยิบหนังสือมาอ่าน คือพยายามให้มันแทรกซึมเป็นกิจกรรมประจำวันของเราไป เดี๋ยวนี้มีนิสัยใหม่เพิ่มมาอีกอย่างคือ หยิบหนังสือธรรมะ หนังสือสวดมนต์มาอ่านด้วย

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
เคยมีคนรู้จักคนนึงเค้าบอกว่าทำไมเราต้องอ่านหนังสือให้จบทีละเล่ม อ่านสองเล่มพร้อมๆ กันไม่ได้เหรอ เราก็เออ จริงด้วย เดี๋ยวนี้เราเลยอ่านหนังสือสองเล่มไปพร้อมๆ กัน คนอื่นว่าไงไม่รู้นะ แต่เราว่ามันก็สนุกดี คล้ายๆ สลับโหมดไปมา

เล่มนึงที่อ่านอยู่ตอนนี้ก็ Message in a Bottle ของ Nicholas Sparks เนื้อเรื่องก็ฟรุ้งฟริ้งมาก

น่าจะรู้กันอยู่แล้ว หญิงสาววิ่งริมหาดแล้วบังเอิญไปเจอจดหมายรักในขวดแก้วที่ชายหนุ่มเขียนถึงภรรยาที่จากไป นางก็ตกหลุมรักชายหนุ่มคนนั้นเข้าซะอย่างนั้น คือจริงๆ เคยอ่านแล้ว แต่วันก่อนไปรื้อเจอ ก็เลยหยิบมาอ่านใหม่ อยากรู้ว่ามาอ่านอีกทีตอนอายุเท่านี้จะอินมั้ย คือเราเชื่อว่าการอ่านหนังสือแต่ละเล่มในช่วงอายุที่ต่างกันมันให้ความรู้สึกทางจิตใจต่างกันนะ

Message in a Bottle

กับอีกเล่ม Like a Virgin เล่มนี้อยากอ่านเพราะชอบ Sir Richard Branson เค้าเป็นคนที่เจ๋ง กล้าได้กล้าเสีย เนื้อหาในหนังสือส่วนใหญ่ก็เป็นการหยิบเอาประสบการณ์ทำธุรกิจของตัวเองมาเล่า ทั้งเรื่องวิสัยทัศน์การทำงาน หลักการบริหาร การเป็นนักคิด การมีความเป็นนักคิดเป็นต้นทุนในชีวิตนี่มันก็ได้เปรียบไปแล้วระดับนึง คือคิดอย่างเดียวไม่พอต้องทำด้วย

Like A Virgin

เวลาอ่านหนังสือแบบนี้แล้วรู้สึกฮึกเหิม มันทำให้เราไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาตัวเอง พออ่านแล้วรู้สึกว่าถ้าเราได้ทำงานกับคนเก่งๆ นี่ชีวิตมันดีนะ คืออ่านแล้วก็อยากสมัครงานกับบริษัทนี้เลย

หนังสือที่คุณอ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร
A day : Human Ride ฉบับ Portland

Human Ride : Portland

คือถ้าคนที่เป็นแฟน Human Ride ก็คงรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นนิตยสารสำหรับคนรักจักรยาน เราไม่ได้อินกับกิจกรรมนี้เท่าไหร่หรอก แต่เราได้ยินถึง Portland มาซักพักแล้วว่ามันเวรี่ Hipster แถมยังเป็นสวรรค์ของคนปั่นจักรยานอีก เกิดอยากรู้จัก เลยสอยมาอ่าน

เออ เวรี่สนุก I love Portland.

(จะบอกว่า ผมเองไปเห็นทวีตของเดียร์ว่า เล่มนี้โอเค สนุกดี ก็เลยไปซื้อมาอ่านบ้าง สรุปได้ว่า การอ่านเป็นโรคระบาดชนิดหนึ่งนะครับ – Buak Bangbuathong)

หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร
หันไปมองชั้นวางหนังสือแล้วก็ อืม น่าจะเป็น The Kite Runner

The Kite Runner

คือซื้อมานานมาก จากร้านหนังสือมือสองที่ไหนซักแห่ง เคยอ่านไปได้ซักสองสามบท แล้วก็หยุดอ่านไป เนื้อเรื่องมันหนัก เกี่ยวกับเด็กผู้ชายสองคนเป็นเพื่อนกัน มีสงครามเป็นฉากหลัง มันไม่ได้อ่านเอาเพลินไง เลยรู้สึกว่าต้องใช้พลังในการอ่าน แต่ก็คิดว่าจะหยิบมาอ่านใหม่ให้จบให้ได้!

หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
เราขอเสนอ Eat Pray Love ตอนนั้นซื้อมาเพราะได้ยินว่าจะเป็นหนัง ไอ้เราก็อยากอ่านหนังสือก่อนจะดูหนัง ก็สั่งซื้อจากร้านหนังสือมือสองออนไลน์ กะว่าอ่านขำๆ อ่านไป มันใช่เลย ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกคนเขียนจะเล่าจากชีวิตจริงของเค้าด้วย

จริงๆ คนเราควรค้นพบตัวเองให้ได้ก่อน ควรจะใช้ชีวิตกับตัวเอง รู้จักตัวเองให้มากที่สุด ก่อนที่จะไปเติมเต็มชีวิตใคร คือไม่งั้นจะกลายเป็นรู้ไปหมดเลยเรื่องคนอื่น แต่กลับไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร การได้ทำอะไรคนเดียว ออกเดินทางคนเดียว มันสอนให้เราเผชิญหน้าและรับมือกับสิ่งเหล่านั้นโดยลำพัง แต่มันทำให้เราเปลี่ยนไปในทางที่ดี ชีวิตจะได้ไม่ต้องมัวแต่กลัว ยิ่งได้ไปเจอเพื่อนใหม่ๆ ซึมซับวัฒนธรรมใหม่ๆ มันเปิดโลกเราไปเลย

ตอนอ่านเล่มนี้เป็นจังหวะที่ไปได้ไปใช้ชีวิตอยู่ออสเตรเลีย เลยรู้สึกว่าเรื่องราวในหนังสือกับสิ่งที่เราเจอ ณ ขณะนั้นมัน connect กัน คนอื่นอ่านแล้วอาจจะไม่อินก็ได้ แต่เราคิดว่ามันก็เป็นหนังสือที่อยากแนะนำให้อ่านนะ

รีวิวหนังสือ : กับดักฆาตกร (I’ll Be Seeing)

กับดักฆาตกร (I'll be  seeing you)

เมื่อหลายวันก่อนผมปิดจ็อบหนังสือเล่มที่สี่ของปีนี้เป็นที่เรียบร้อยครับ คราวนี้เป็นหนังสือสืบสวนสอบสวนจากฝีมือนักเขียนสตรีรุ่นใหญ่สูงวัยอย่าง Mary Higgins Clark ก็คือ กับดักฆาตกร ที่แปลมาจาก I’ll be seeing you แปลโดย วัฒนิจ คงธนารัตน์ ของแพรวสำนักพิมพ์

เนื้อเรื่องคร่าวๆ ก็คือ ตัวเอกของเรื่องเป็นนักข่าวทีวีที่วันนึงตอนกำลังรอทำข่าวอยู่ที่โรงพยาบาลเกิดมีผู้หญิงถูกแทงและนำตัวมาส่งที่โรงพยาบาลนี้ (และสุดท้ายก็เสียชีวิต) เมื่อตัวเอกของเราไปเจอก็ถึงกับผงะ เพราะผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือนเธอยังกับฝาแฝดแถมยังอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ในตัวผู้หญิงคนนี้ยังมีชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเธออยู่ด้วย ที่สำคัญ ชื่อและเบอร์โทรที่ว่านี้เขียนด้วยลายมือของพ่อเธอที่ตายไปเมื่อเก้าเดือนก่อนจากอุบัติเหตุทางรถยนต์

จากจุดเริ่มนี้เองทำให้ตัวเอกของเรื่องต้องสืบหาความจริงว่าผู้หญิงคนตายนี้เป็นใคร ทำไมถึงได้หน้าเหมือนเธอขนาดนี้และทำไมถึงได้มีกระดาษที่เป็นลายมือพ่อเธออยู่กับตัว แต่ดูเหมือนเรื่องราวแค่นี้จะยังไม่สะใจพอ คนเขียนก็เลยเพิ่มประเด็นเข้ามาอีกนั่นก็คือธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลฝั่งแม่เธอกำลังประสบปัญหาทางการเงิน สถานการณ์ร่อแร่จะไปแหล่ไม่ไปแหล่ ให้คนอ่านต้องคอยลุ้นไปด้วย

Mary Higgins Clark เขียนเรื่องนี้ออกมาสนุก ตื่นเต้นและน่าติดตามมากนะครับ แต่ละประเด็นผูกปมเอาไว้ดี มีมุขหลอกให้เขว (ตามสไตล์เรื่องแนวนี้) และค่อยๆ คลี่คลายทีละปมทีละเปลาะจนเฉลยเหตุการณ์ทั้งหมด ใครชอบเรื่องแนวนี้นี่ไม่ควรพลาด

มีเรื่องที่สะดุดอยู่นิดเดียว คือมีบางคำที่ผู้แปลมักจะใช้ แต่ผมอ่านแล้วรู้สึกตะหงิดๆ อย่างคำว่า “ของตน” ซึ่งตรงนี้อาจเป็นที่ความไม่ชินของผมเองนะครับ คนอื่นอ่านแล้วอาจไม่รู้สึกก็ได้

กับดักฆาตกร
ผู้เขียน : Mary Higgins clark
ผู้แปล : วัฒนิจ คงธนารัตน์
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
ราคา : ๒๔๕ บาท

 

ต่ออีกนิด พออ่านจบเล่ม ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ก็เคยซื้อหนังสือแปลในชุดของ Mary Higgins Clark มานี่หว่า ก็เลยไปรื้อชั้นหนังสือดู ก็เจอเล่มนี้ครับ

สืบสยอง (I'll be seeing you)

เล่มเดียวกันเป๊ะ ให้มันได้อย่างนี้ ทำไมไม่นึกได้ก่อนที่จะซื้อ เวอร์ชั่นนี้ของคุณสุวิทย์ ขาวปลอด เป็นผู้แปล เปิดดูรายละเอียดข้างในบอกไว้ว่าพิมพ์ออกมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ ถึงตอนนี้ก็ ๒๑ ปีแล้วนะครับ ก็คงไม่แปลกที่จะจำไม่ได้แล้ว คราวหน้าก่อนจะซื้อคงต้องย้อนไปรื้อดูที่บ้านก่อนว่ามีหรือยัง จะได้ไม่ซื้อซ้ำแบบคราวนี้อีก

 

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป… 

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่สี่ของปี ๒๕๕๘ : กับดักฆาตกร

กับดักฆาตกร (I'll be  seeing you)

เมื่อหลายวันก่อนผมปิดจ็อบหนังสือเล่มที่สี่ของปีนี้เป็นที่เรียบร้อยครับ คราวนี้เป็นหนังสือสืบสวนสอบสวนจากฝีมือนักเขียนสตรีรุ่นใหญ่สูงวัยอย่าง Mary Higgins Clark ก็คือ กับดักฆาตกร ที่แปลมาจาก I’ll be seeing you แปลโดย วัฒนิจ คงธนารัตน์ ของแพรวสำนักพิมพ์

เนื้อเรื่องคร่าวๆ ก็คือ ตัวเอกของเรื่องเป็นนักข่าวทีวีที่วันนึงตอนกำลังรอทำข่าวอยู่ที่โรงพยาบาลเกิดมีผู้หญิงถูกแทงและนำตัวมาส่งที่โรงพยาบาลนี้ (และสุดท้ายก็เสียชีวิต) เมื่อตัวเอกของเราไปเจอก็ถึงกับผงะ เพราะผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือนเธอยังกับฝาแฝดแถมยังอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ในตัวผู้หญิงคนนี้ยังมีชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเธออยู่ด้วย ที่สำคัญ ชื่อและเบอร์โทรที่ว่านี้เขียนด้วยลายมือของพ่อเธอที่ตายไปเมื่อเก้าเดือนก่อนจากอุบัติเหตุทางรถยนต์

จากจุดเริ่มนี้เองทำให้ตัวเอกของเรื่องต้องสืบหาความจริงว่าผู้หญิงคนตายนี้เป็นใคร ทำไมถึงได้หน้าเหมือนเธอขนาดนี้และทำไมถึงได้มีกระดาษที่เป็นลายมือพ่อเธออยู่กับตัว แต่ดูเหมือนเรื่องราวแค่นี้จะยังไม่สะใจพอ คนเขียนก็เลยเพิ่มประเด็นเข้ามาอีกนั่นก็คือธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลฝั่งแม่เธอกำลังประสบปัญหาทางการเงิน สถานการณ์ร่อแร่จะไปแหล่ไม่ไปแหล่ ให้คนอ่านต้องคอยลุ้นไปด้วย

Mary Higgins Clark เขียนเรื่องนี้ออกมาสนุก ตื่นเต้นและน่าติดตามมากนะครับ แต่ละประเด็นผูกปมเอาไว้ดี มีมุขหลอกให้เขว (ตามสไตล์เรื่องแนวนี้) และค่อยๆ คลี่คลายทีละปมทีละเปลาะจนเฉลยเหตุการณ์ทั้งหมด ใครชอบเรื่องแนวนี้นี่ไม่ควรพลาด

มีเรื่องที่สะดุดอยู่นิดเดียว คือมีบางคำที่ผู้แปลมักจะใช้ แต่ผมอ่านแล้วรู้สึกตะหงิดๆ อย่างคำว่า “ของตน” ซึ่งตรงนี้อาจเป็นที่ความไม่ชินของผมเองนะครับ คนอื่นอ่านแล้วอาจไม่รู้สึกก็ได้

กับดักฆาตกร
ผู้เขียน : Mary Higgins clark
ผู้แปล : วัฒนิจ คงธนารัตน์
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
ราคา : ๒๔๕ บาท

 

ต่ออีกนิด พออ่านจบเล่ม ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ก็เคยซื้อหนังสือแปลในชุดของ Mary Higgins Clark มานี่หว่า ก็เลยไปรื้อชั้นหนังสือดู ก็เจอเล่มนี้ครับ

สืบสยอง (I'll be seeing you)

เล่มเดียวกันเป๊ะ ให้มันได้อย่างนี้ ทำไมไม่นึกได้ก่อนที่จะซื้อ เวอร์ชั่นนี้ของคุณสุวิทย์ ขาวปลอด เป็นผู้แปล เปิดดูรายละเอียดข้างในบอกไว้ว่าพิมพ์ออกมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ ถึงตอนนี้ก็ ๒๑ ปีแล้วนะครับ ก็คงไม่แปลกที่จะจำไม่ได้แล้ว คราวหน้าก่อนจะซื้อคงต้องย้อนไปรื้อดูที่บ้านก่อนว่ามีหรือยัง จะได้ไม่ซื้อซ้ำแบบคราวนี้อีก

 

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป… 

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘

What We Read: อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ

โอม

ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้นครับ

ชื่อ-นามสกุล : อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ

อาชีพ : นักเขียน, แฟนพันธุ์แท้วรรณกรรมซีไรต์ ปี ๒๕๕๕

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
ผมจะต้องอ่านหนังสือทุกวัน โดยแบ่งเวลาในการอ่านหนังสือเป็นสองอย่าง คือ จะอ่านหนังสือเกี่ยวการเรียนและการทำงานในตอนกลางวันที่ว่างจากกิจธุระต่างๆ และจะอ่านหนังสืออ่านเล่นอื่นๆ ที่สนใจในตอนก่อนนอนทุกคืน

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
กำลังอ่าน พม่ารำลึก ของ จอร์จ ออร์เวลล์ เป็นหนังสือที่ผมอยากอ่านมานาน และเคยพยายามอ่านภาษาอังกฤษ แต่ยังอ่านได้ไม่เท่าไหร่ ล่าสุดเพิ่งมีแปลเป็นภาษาไทย และผมเพิ่งซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือ ซื้อมาก็อ่านเลยทันที เนื้อหาเกี่ยวกับพม่าในช่วงที่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ผู้เขียนเล่าเรื่องจากประสบการณ์ที่เขาเคยเป็นตำรวจในพม่ายุคสมัยนั้น

พม่ารำลึก

หนังสือที่คุณอ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
เพิ่งอ่านหนังสือ อ่านแล้ว อ่านเล่า ของ ศรีดาวเรือง จบไป เป็นหนังสือที่รวมบทความเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนังสือเก่าและหนังสือหายากหลายเล่ม หลากหลายเรื่องราว ทั้งเกี่ยวกับชีวประวัติ ความทรงจำของบุคคล รวมถึงหนังสือวรรณกรรม ผมเคยอ่านมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นบทความในวารสาร เมื่อมารวมเป็นเล่มแล้วอ่านใหม่ ก็ยังรู้สึกว่าอ่านสนุกและได้ความรู้เป็นอย่างยิ่ง

อ่านแล้วอ่านเล่า

หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร?
 การสอบความของสุนัขตนหนึ่ง เขียนโดย ฟรันซ์ คาฟคา ที่อยากอ่านเพราะผมชอบผู้เขียน คือ คาฟคา ที่สำคัญไปกว่านั้น นี่คือ หนังสือรวมงานเขียนที่ตีพิมพ์หลังคาฟคาตาย เป็นงานที่คาฟคาบอกให้เพื่อนเอาไปเผาทิ้ง แต่เพื่อนไม่ยอมเผา และเอามาตีพิมพ์ ถ้าเพื่อนของคาฟคา เชื่อตามที่คาฟคาสั่ง เราคงไม่มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้

การสอบความของสุนัขตนหนึ่ง

หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
มีหนังสือนวนิยายจีนอยู่เล่มหนึ่งซึ่งผมชอบมากๆ และมักจะแนะนำให้ทุกคนอ่าน นั่นคือเรื่อง พี่กับน้อง ของ หยูหัว เป็นนวนิยายที่ผมรู้สึกว่าอ่านแล้วครบเครื่อง สนุก ทะลึ่ง และเศร้าสลด รวมถึงยังมองเห็นภาพสะท้อนของสังคมจีนได้อย่างน่าสนใจ เรียกได้ว่า เป็นนวนิยายในดวงใจของผมเลยทีเดียว ดังนั้น ผมคิดว่า ผมควรแนะนำหนังสือในดวงใจของผมให้กับคนอื่นได้อ่านด้วยเช่นกัน

พี่กับน้อง

หนังสือเสียง : เรื่องเล่าจากป่า

เรื่องเล่าจากป่า

ช่วงปลายปีที่แล้วทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทำหนังสือออกมาเล่มนึงในโอกาสที่ครบรอบ ๒๐ ปี โครงการปลูกป่า กฟผ. เฉลิมพระเกียรติฯ หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า เรื่องเล่าจากป่า ซึ่งนอกจากจะมีข้อมูลของโครงการปลูกป่าที่ว่าแล้ว ยังมีเนื้อหาและข้อมูลของป่าเมืองไทยด้วย

มีบทสัมภาษณ์สั้นๆ ของผู้คนที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ป่าในพื้นที่ต่างๆ ทั้งที่เป็นชาวบ้านในพื้นที่ และคนที่เป็นที่รู้จักกันดีในสังคม อย่างคุณบัณฑูร ล่ำซำ ซีอีโอ แบงก์กสิกรไทย พระไพศาล วิสาโล ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี เป้ อารักษ์ และดีเจพี่อ้อย (งานนี้มาคนเดียว ไม่มีพี่ฉอดมาด้วย) ฯลฯ

สำหรับคนที่สนใจจะศึกษาธรรมชาติ หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเส้นทางศึกษาธรรมชาติบริเวณพื้นที่รอบเขื่อนและโรงไฟฟ้าจำนวน ๑๒ แห่ง กระจายไปทั่วทั้งประเทศไล่มาตั้งแต่ภาคเหนือที่เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ลงมาภาคตะวันตกที่เขื่อนวชิราลงกรณและเขื่อนศรีนครินทร์ ลงไปภาคใต้ที่เขื่อนรัชชประภาและโรงไฟฟ้ากระบี่ ย้อนกลับขึ้นมาที่ภาคตะวันออกที่โรงไฟฟ้าบางปะกง และขยับต่อไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนสิรินธร เขื่อนอุบลรัตน์และโรงไฟฟ้าลำตะคอง

ซึ่งแต่ละจุดที่ว่ามานี้จะมีรายละเอียดทั้งที่เป็นแผนที่เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง ฤดูกาลที่เหมาะสม (จะได้ไม่พลาดมาแล้วเสียเที่ยว) รวมไปถึงข้อมูลที่บอกให้รู้ว่าจุดไหนมีอะไรให้ดู อาจจะเป็นพืช นกหรือสัตว์น้ำ แตกต่างกันไป และใครที่อยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเขื่อนและโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งเพิ่มเติมก็สามารถใช้ QR Code ดูได้

ลูกเล่นอีกอย่างของหนังสือเล่มนี้ที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ นั่นคือเมื่อพลิกเปิดปกหน้าจะได้ยินเสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล อยู่พักนึง ประมาณว่าให้เข้าบรรยากาศหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับป่านี่แหละ

อ่านมาถึงตรงนี้อาจมีคำถาม ถ้าสนใจหนังสือเล่มนี้จะหาซื้อได้ที่ไหน?

งานนี้ไม่ต้องซื้อครับ กฟผ. เขาแจกฟรี ถ้าใครจะไปเดินงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่กำลังจัดอยู่ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ให้เดินไปที่บูธร้านนายอินทร์ ที่โซน C หนังสือจะมีวางแจกอยู่ที่นั่น ถ้าหาไม่เจอถามเจ้าหน้าที่ได้เลย แต่ถ้าไปแล้วเกิดหนังสือหมด ไม่ต้องเสียใจ ลงชื่อและที่อยู่เอาไว้ครับ ทางกฟผ. จะส่งตามไปให้ถึงที่บ้าน และถ้าใครมีจิตศรัทธาจะร่วมบริจาคเงินก็ได้ เงินที่บริจาคนี้จะรวบรวมนำไปมอบให้กับกองทุนผู้พิทักษ์ป่า มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ครับ

บูธร้านนายอินทร์

มีป้ายบอกให้เห็นชัดๆ ว่า ฟรี นะครับ แต่ถ้าใครอยากร่วมบริจาคเข้ากองทุนผู้พิทักษ์ป่าก็หยอดเงินใส่กล่องที่เห็นตั้งอยู่ข้างหน้านี่ล่ะครับ

นิตยสาร Offscreen ฉบับที่ ๖

offscreen 6

ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ว่าปีนี้จะอ่าน “หนังสือ” ตามที่ได้เขียนเอาไว้ในโพสต์นี้ ล่าสุดผมปิดจบหนังสือเล่มที่สามของปีไปเป็นที่เรียบร้อย เล่มนี้จริงๆ เป็นนิตยสารนะครับ ก็คือ Offscreen เล่ม ๖

ผมได้เคยเขียนเล่าถึงนิตยสาร Offscreen เอาไว้แล้วที่โพสต์นี้ (หากใครอยากรู้รายละเอียดลองคลิกไปอ่านดูก่อนได้ แต่เล่าคร่าวๆ ก็คือ  เป็นนิตยสารเกี่ยวกับคนในแวดวงเว็บดีไซน์และ app developer นะครับ) สำหรับเล่มนี้รายละเอียดด้านในมีบทสัมภาษณ์ให้อ่านกันจุใจ ตั้งแต่ผู้ก่อตั้ง VSCO แอพแต่งภาพยอดนิยม มีผู้ก่อตั้งร่วมของ The Verge บลอกไอทีชื่อดัง (แต่ตอนนี้ย้ายค่ายไปอยู่ที่ Bloomberg เป็นที่เรียบร้อยแล้ว) ยังมีผู้บริหารหญิงของ Tumblr ที่เป็นคนดูงานตลาดต่างประเทศ โดยที่ต้องเดินทางไปมาระหว่างเบอร์ลินและนิวยอร์กอยู่เป็นประจำ ฯลฯ

ส่วนคอลัมน์เล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยลดความหนักของเนื้อหาในเล่ม และยังช่วยผ่อนคลายสายตาด้วยภาพสวยๆ ก็ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นภาพบรรยากาศออฟฟิศบริษัทไอทีชื่อดังหลายแห่ง ภาพโต๊ะทำงานของคนในแวดวงนี้ (ซึ่งเท่าที่เห็นส่วนมากจะไม่ขาดแก้วกาแฟเลยนะ)

บอกได้ว่า ถ้าสนใจเรื่องราวพวกนี้จะรู้สึกจุใจมาก อ่านแล้วที่เสียดายมีอยู่อย่างเดียวคือ ยังไม่มีวางในร้านหนังสือเมืองไทย ต้องสั่งเข้ามาจากเว็บของ Offscreen โดยตรง ถ้ามีร้านไหนเอามาวางขายจะขอบคุณมากครับ

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘ : Offscreen

offscreen 6

ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ว่าปีนี้จะอ่าน “หนังสือ” ตามที่ได้เขียนเอาไว้ในโพสต์นี้ ล่าสุดผมปิดจบหนังสือเล่มที่สามของปีไปเป็นที่เรียบร้อย เล่มนี้จริงๆ เป็นนิตยสารนะครับ ก็คือ Offscreen เล่ม ๖

ผมได้เคยเขียนเล่าถึงนิตยสาร Offscreen เอาไว้แล้วที่โพสต์นี้ (หากใครอยากรู้รายละเอียดลองคลิกไปอ่านดูก่อนได้ แต่เล่าคร่าวๆ ก็คือ  เป็นนิตยสารเกี่ยวกับคนในแวดวงเว็บดีไซน์และ app developer นะครับ) สำหรับเล่มนี้รายละเอียดด้านในมีบทสัมภาษณ์ให้อ่านกันจุใจ ตั้งแต่ผู้ก่อตั้ง VSCO แอพแต่งภาพยอดนิยม มีผู้ก่อตั้งร่วมของ The Verge บลอกไอทีชื่อดัง (แต่ตอนนี้ย้ายค่ายไปอยู่ที่ Bloomberg เป็นที่เรียบร้อยแล้ว) ยังมีผู้บริหารหญิงของ Tumblr ที่เป็นคนดูงานตลาดต่างประเทศ โดยที่ต้องเดินทางไปมาระหว่างเบอร์ลินและนิวยอร์กอยู่เป็นประจำ ฯลฯ

ส่วนคอลัมน์เล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยลดความหนักของเนื้อหาในเล่ม และยังช่วยผ่อนคลายสายตาด้วยภาพสวยๆ ก็ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นภาพบรรยากาศออฟฟิศบริษัทไอทีชื่อดังหลายแห่ง ภาพโต๊ะทำงานของคนในแวดวงนี้ (ซึ่งเท่าที่เห็นส่วนมากจะไม่ขาดแก้วกาแฟเลยนะ)

บอกได้ว่า ถ้าสนใจเรื่องราวพวกนี้จะรู้สึกจุใจมาก อ่านแล้วที่เสียดายมีอยู่อย่างเดียวคือ ยังไม่มีวางในร้านหนังสือเมืองไทย ต้องสั่งเข้ามาจากเว็บของ Offscreen โดยตรง ถ้ามีร้านไหนเอามาวางขายจะขอบคุณมากครับ