หนังสือเล่มที่ ๑๒ ของปี ๒๕๕๘ : ห้องสมควรตาย

ห้องสมควรตาย (The Incite Mill)

เล่มนี้ผมลองเปลี่ยนบรรยากาศ จากที่อ่านหนังสือนิยายฝรั่งไปแล้ว นิยายแปล (ฝรั่ง) ไปแล้ว นิยายไทยก็อ่านแล้ว มาลองนิยายแปลจากญี่ปุ่นดูบ้าง ต้องบอกก่อนว่านิยายญี่ปุ่นนี่ถือเป็นของแปลกใหม่สำหรับผมมาก อ่านมาไม่น่าจะถึงห้าเล่มนะครับ (แต่ถ้าการ์ตูนญี่ปุ่นนี่ถึงไหนถึงกัน) แต่ที่ลองหยิบเล่มนี้มาอ่านเพราะดูเรื่องย่อแล้วน่าสนใจมากถึงมากที่สุด

คน ๑๒ คนไปอยู่ด้วยกันในสถานที่ปิดตายเจ็ดวัน ได้อาวุธไปคนละอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าใครมีอาวุธอะไร (ยกเว้นจะแอบบอกกันเอง) ถ้าใครอยู่รอดจนครบกำหนดได้เงินคนละเกือบ ๑๙ ล้านเยน แต่ถ้าฆ่าคนตายโดยไม่ถูกจับได้จะได้เงินเพิ่ม และถ้ามีคนตายแล้วบอกได้ว่าใครฆ่าก็จะได้เงินเพิ่ม จะหวังซ่อนตัวอยู่ในห้องให้ครบกำหนดเวลาก็ไม่ได้เพราะประตูไม่มีล็อก แถมห้ามมานอนรวมกันด้วย

โอ้โฮ เรื่องย่อมาแบบนี้เดาได้เลยว่ามันต้องระทึกสุดๆ คงจะหลอนหวาดระแวงกันมั่วไปหมด แล้วก็น่าจะฆ่ากันมันหยดสะใจกันไปข้างนึง แต่กลับผิดคาดแฮะ เรื่องมันกลับอึนๆ มึนๆ ไปไม่สุด ไม่สนุกสำหรับผม อ่านไปก็อึดอัดไป เมื่อไหร่มึงจะฆ่ากันซะที แถมตัวละครก็มีพฤติกรรมขัดใจจริงๆ ประมาณนี้ สารภาพว่าวางไปหลายทีตัดใจว่าไม่เอาแล้ว แต่ก็อดทนอ่านจนจบเพราะอยากรู้ว่าตอนท้ายเรื่องมันจะหายอึนหายมึนมั้ย

ที่เล่ามานี้ผมสรุปว่าเป็นที่ตัวผมเองนะครับที่ไม่ชินกับเรื่องแนวนี้ของทางฝั่งญี่ปุ่น หากใครที่เป็นคอหนังสือแนวนี้อยู่แล้วอาจจะถูกใจและชอบมากก็ได้ครับ

 

ห้องสมควรตาย
ผู้เขียน : โยเนซาวะ โฮโนบุ
ผู้แปล : มโนภาพ
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
ราคา : ๒๖๕ บาท

ห้องสมควรตาย (The Incite Mill)

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป… 

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘ : Gone Girl

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘ : ระวังหลัง

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘ : Offscreen

หนังสือเล่มที่สี่ของปี ๒๕๕๘ : กับดักฆาตกร

หนังสือเล่มที่ห้าของปี ๒๕๕๘ : แกล้ง

หนังสือเล่มที่หกของปี ๒๕๕๘ : ลวง

หนังสือเล่มที่เจ็ดของปี ๒๕๕๘ : สารวัตรเถื่อน

หนังสือเล่มที่แปด & เก้าของปี ๒๕๕๘ : แม่ลาวเลือด

หนังสือเล่มที่สิบของปี ๒๕๕๘ : สาบสูญ

หนังสือเล่มที่ ๑๑ ของปี ๒๕๕๘ : ผู้ยิ่งใหญ่

O-lunla นิตยสารเพื่อผู้สูงวัย ฉบับปฐมฤกษ์

O-lunla, October 2015

มีนิตยสารใหม่มาแนะนำครับ ชื่อว่า O-lunla ออกเสียงว่า โอ-ลั้นลา นี่ถ้าไม่บังเอิญเห็นชื่อภาษาไทยเสียก่อน ผมคงจะออกเสียงว่า โอ้-หลั่นล้า นะครับ

เล่มนี้เป็นนิตยสารรายเดือนแจกฟรีที่วางกลุ่มคนอ่านเป็นผู้สูงวัย ซึ่งเห็นได้ชัดจากปกฉบับปฐมฤกษ์ (ตุลาคม ๒๕๕๘) ที่มีนางแบบสูงวัยทั้งบนปกหน้าและปกหลัง พร้อมด้วยคาแรกเตอร์มุ้งมิ้งอย่างเจ้า Cony และหมี Brown จาก Line และที่ใต้หัวนิตยสารก็มีข้อความบอกถึงเป้าหมายของนิตยสารเอาไว้ชัดเจน

เพื่อความเบิกบานของผู้สูงวัย
วันนี้ คุณกอดพ่อแม่แล้วหรือยัง

จากความรู้อันจำกัดของผม ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นนิตยสารที่จับกลุ่มคนสูงวัยเล่มแรก หรือแรกๆ ของไทย (ใครมีข้อมูลช่วยแจ้งมาด้วยนะครับ) ซึ่งต้องนับถือ “ใจ” ของทีมผู้ผลิตมากที่ “กล้า” และ “บ้า” พอที่จะทำออกมา

ที่บอกอย่างนี้ก็เพราะในบรรดาผู้บริโภคที่นักการตลาดจำแนกออกมาเป็นกลุ่มๆ ตามวัย ไล่เรียงตั้งแต่กลุ่มเด็ก พรีทีน วัยรุ่น คนเริ่มทำงานไปจนถึงผู้สูงวัย กลุ่มที่มีโอกาสทางการตลาดน้อยที่สุดน่าจะเป็นกลุ่มผู้สูงวัยนี่แหละ ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลก ทั้งๆ ที่กลุ่มนี้อยู่ในช่วงใกล้เกษียณหรือเกษียณอายุจากการทำงานแล้ว มีฐานะมั่นคง หนี้สินอะไรก็ไม่ควรจะมีแล้ว แต่ก็นั่นแหละ พอมาอยู่ในวัยนี้ความอยากได้ใคร่มีอะไรก็แทบจะหมดไป จะกินอะไรตามใจปากมากก็ไม่ได้ เพราะต้องระวัง ถ้าจะมีสินค้าหรือบริการอะไรที่ต้องใช้ส่วนมากก็จะเป็นทางด้านสุขภาพ การแพทย์และการท่องเที่ยว

เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับโอกาสในการขายโฆษณา ซึ่งเป็นรายได้หลักของนิตยสารก็อยู่ในวงจำกัดไปด้วย ถึงบอกว่างานนี้ผมนับถือใจของทีมผู้ผลิตมากที่ทำออกมา และเมื่อดูถึงเนื้อหาของนิตยสารก็มีค่อนข้างครบเครื่อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะบรรณาธิการของนิตยสารเล่มนี้อยู่ในแวดวงทำสื่อมานาน ผ่านการเป็นบรรณาธิการนิตยสารมาแล้วหลายเล่ม ใช้คำว่า เชี่ยวพอ ก็น่าจะได้

เนื้อหาในฉบับแรกประกอบด้วย เรื่องจากปก เป็นเรื่องของการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง Line ในกลุ่มผู้สูงวัย ที่ช่วยให้สามารถติดต่อสื่อสารกับลูกหลาน ญาติมิตรและเพื่อนฝูงได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ทำให้ไม่เหงา สุขภาพจิตก็ดีขึ้น นอกจากนี้ก็มีเรื่องของสุขภาพ อาหารที่เหมาะกับผู้สูงวัย และข่าวคราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการอัปเดต

ตามปกติแล้วนิตยสารแจกฟรีจะมีวางแจกอยู่ตามร้านกาแฟ สถานีรถไฟฟ้า ร้านหนังสือ และสถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน แต่เนื่องจากเล่มนี้จับกลุ่มคนอ่านที่เฉพาะเจาะจง อาจไม่ได้มีวางเป็นการทั่วไป หากใครสนใจก็ลองเข้าไปดูที่ facebook fan page ของเขาได้ที่ olunlaclub นะครับ (นี่โฆษณาให้ฟรีๆ เพราะหนังสือเขาน่าสนับสนุนจริงๆ)

O-lunla

National Geographic ฉบับธันวาคม ๑๙๘๕

National Geographic magazine, December 1985

เมื่อวันก่อนเห็นข่าวว่าทาง National Geographic ที่เพิ่งเปลี่ยนมือไปเป็นของเจ้าพ่อสื่อ Rupert Murdoch มีการเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ก็เลยสะกิดใจให้นึกถึงเล่มนี้ครับ ฉบับเดือนธันวาคม ๑๙๘๕

ในบรรดานิตยสาร National Geographic ที่ผมมีอยู่ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (ซึ่งไม่ได้มีมากมายอะไรนะครับ) เล่มนี้จัดว่าเป็นเล่มโปรดที่สุด ทั้งๆ ที่ปกไม่สวยเอาเสียเลย สวนทางกับตามปกติที่ภาพปกนิตยสารเล่มนี้จะโดดเด่นติดตาเป็นพิเศษ ต้องอ่านคำโปรยปกถึงจะรู้ว่านี่เป็นภาพของเรือ Titanic ที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร

แล้วมันพิเศษยังไง?

มันพิเศษหยั่งงี้ครับ นี่เป็นสื่อแรกที่นำภาพเรือ Titanic กลับมาสู่สายตาสาธารณชนอีกครั้งหลังจากที่จมหายไปพร้อมกับชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือรวมกว่า ๑,๕๐๐ คนในเดือนเมษายน ปี ๑๙๑๒ ที่พิเศษขึ้นไปอีกก็คือเรื่องจากปกเล่มนี้มีชื่อว่า How We Found Titanic เขียนโดย Robert D. Ballard ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมสำรวจที่พบเรือในครั้งนี้

คุณพี่ Ballard เป็นนักสำรวจใต้น้ำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก นอกจาก Titanic ที่ส่งให้ดังเปรี้ยงปร้างแล้ว อีกไม่กี่ปีต่อมาคุณพี่ยังเป็นคนสำรวจพบเรือรบ Bismarck ของเยอรมันที่ถูกรุมกินโต๊ะจนจมลงในปี ๑๙๔๑ ด้วย

ในเล่มนี้คุณพี่ Ballard เล่าถึงเรื่องราวของการสำรวจไปจนถึงวินาทีของความสำเร็จที่รู้ว่าใช่ Titanic แน่แล้ว พร้อมด้วยภาพประกอบที่เป็นภาพถ่ายจากใต้น้ำเทียบกับภาพชิ้นส่วนหรือบริเวณเดียวกันก่อนที่เรือจะจม

ความประทับใจจากการค้นพบในครั้งนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ James Cameron เก็บไปสร้างหนัง Titanic ออกมาโกยทั้งรางวัลและเงินจากผู้ชมทั่วโลก

แค่เรื่องจากปกเรื่องเดียวนี่ก็เด็ดแล้วนะครับ ยังมีเรื่องที่สอง Vatican City และ Treasures of The Vatican เสริมเข้ามาอีก

ในเรื่อง Treasures of The Vatican จะมีภาพของสิ่งล้ำค่าที่เป็นสมบัติของวาติกันหลายชิ้นด้วยกัน แต่ชิ้นที่เป็นไฮไลต์สำหรับผมก็คือ หนังสือคำร้องของพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ ของอังกฤษที่ส่งไปยังวาติกันเพื่อให้พระสันตะปาปาในขณะนั้นมีคำสั่งให้การอภิเษกสมรสของพระองค์กับพระมเหสีเป็นโมฆะ เพื่อที่พระองค์จะได้ไปอภิเษกสมรสกับพระนางแอนน์ โบลีน

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้อ่านจากหนังสือประวัติศาสตร์มานาน เป็นสตอรี่ที่สนุกมาก ถูกหยิบมาสร้างหนังก็หลายครั้งหลายหน เมื่อได้มาเห็นภาพเอกสารของจริงแบบนี้ก็ช่วยเติมเต็มจินตนาการได้เยอะมาก

ที่เล่ามานี่แค่ความประทับใจที่ผมได้จากนิตยสาร National Geographic เพียงเล่มเดียว ความที่คุ้นเคยกันมานาน (ในฐานะคนอ่าน) เมื่อได้ข่าวการเปลี่ยนแปลงของนิตยสารและการเลิกจ้างคนทำงานก็อดใจหายไม่ได้ แม้จะรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ก็อยากให้อยู่สร้างประโยชน์สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังต่อไปอีกนานๆ ครับ

National Geographic, December 1985

ดูปกหน้าไปแล้ว นี่ปกหลังครับ

ถ้าถูกเลิกจ้าง คุณพร้อมหรือยัง?

National Geographic magazine, December 1985

วันแรกที่นิตยสาร National Geographic เปลี่ยนมือมาอยู่ในสังกัด 21st Century Fox ของเจ้าพ่อสื่อ Rupert Murdoch พนักงานทุกคนได้รับคำสั่งให้อยู่ในสถานที่ทำงานหรือใกล้โทรศัพท์ เพราะจะมีโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคลมาเรียกไปแจ้งสถานภาพการจ้างงานทีละคน

หลังจากช่วงเวลาแห่งความระทึกผ่านไป พนักงานประมาณ ๑๘๐ คนไม่ได้ไปต่อ ในจำนวนนี้หลายคนมีผลทันที บางคนมีผลสิ้นเดือนมกราคมปีหน้า คนที่ไม่ได้ไปต่อจำนวนไม่น้อยทำงานที่นี่มาเกินสิบปีและที่เกิน ๒๐ ปีก็ยังมี

คนที่ไม่ได้ไปต่อ เช่น Photo Editor, Picture Editor, ช่างภาพ และเพจ ดีไซเนอร์

สิ่งที่เกิดขึ้นอาจช่วยเตือนสติคนทำงานว่า อย่าคิดว่าอะไรมันจะอยู่ค้ำฟ้า ขนาดนิตยสารที่อยู่มา ๑๒๗ ปี ยังมีวันนี้ ตอนที่เลห์แมน บราเธอร์ส ล้มไปในปี ๒๕๕๑ ก็อายุ ๑๕๘ ปี แถมตอนนั้นยังเป็นอินเวสต์เม้นต์แบงก์อันดับสี่ของสหรัฐฯ อีกด้วย ตอนนั้นพนักงานตกงานไปสองหมื่นกว่าคน

ผมเป็นคนเชื่อในเรื่องของการตั้งคำถาม อยากให้เพื่อนๆ ที่เป็นลูกจ้างเหมือนผมลองถามตัวเองว่า ถ้าวันนี้ถูกเลิกจ้างหรือบริษัทล้มกะทันหัน เราเอาตัวรอดได้มั้ย?

ถ้าไม่ได้ ทำไม?

คำตอบของคำถามนี้อาจเปลี่ยนชีวิตเรา…

หมายเหตุ : นิตยสาร National Geographic ฉบับเดือนธันวาคม ๑๙๘๕ ในภาพด้านบนเป็นเล่มแรกที่มีการตีพิมพ์ภาพเรือ Titanic ที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรมาหลายสิบปีให้ผู้คนได้เห็นกันอีกครั้ง พร้อมด้วยข้อเขียนของ Robert D. Ballard นักสำรวจใต้น้ำชื่อดัง และนิตยสารฉบับนี้เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้ James Cameron ทำหนัง Titanic ออกมา

ประสบการณ์ไป ‘ดูที่’ ครั้งสอง

ที่นา

อย่างที่ได้เคยเล่าไปก่อนหน้านี้ (อันนี้ครับ ประสบการณ์ไป “ดูที่” ครั้งแรก) ว่า ผมตั้งเป้าจะใช้ชีวิตหลังเลิกทำงานอยู่บ้านที่มีพื้นที่มีบริเวณซักหน่อย จะได้เอาไว้ปลูกโน่นปลูกนี่ มีที่ให้หมาวิ่งเล่น ซึ่งหลังจากที่ได้ไปดูที่ครั้งแรกแล้วไม่ลงตัวก็ยังนิ่งๆ อยู่ ไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรมาก (อันนี้คือไม่ได้สโลว์ไลฟ์นะฮะ แต่เป็นอารมณ์ขี้เกียจมากกว่า)

จนกระทั่งเมื่อซักเดือนที่ผ่านมา คนรู้จักคนเดิมที่พาไปดูที่งวดที่แล้วก็บอกมาอีกว่า มีที่อีกแปลงที่เจ้าของจะขาย หลังจากสอบถามข้อมูลเบื้องต้นแล้วก็น่าสนใจอยู่ เพราะขนาดพื้นที่กำลังดี ไม่ใหญ่เกินไป อยู่บริเวณใกล้ๆ กับแปลงที่เคยไปดูครั้งที่แล้วนั่นแหละ แต่แปลงนี้เป็นที่นาไม่ใช่ไร่อ้อย ก็ตกลงนัดวันไปดูกัน

ก็เหมือนงวดที่แล้วนะครับ ไปดูที่ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้หาความรู้อะไรไปเลย ไปมันแบบคนดูไม่เป็นนั่นแหละ ใช้ความรู้สึกนำ เพียงแต่ก่อนออกจากบ้านก็ไหว้พระที่บ้าน อธิษฐานว่า ถ้าที่นี้ดี ลูกไปอยู่แล้วจะมีความสุขความเจริญก็ขอให้การซื้อขายสำเร็จด้วยดี แต่ถ้าไม่ดีก็ขอให้มีเหตุอะไรก็แล้วแต่ทำให้การซื้อขายไม่สำเร็จ นี่ขอพระท่านไปแบบนี้

เราเข้าไปดูที่กันเองโดยไม่ได้นัดเจ้าของที่เข้าไปด้วย เพราะคนที่พาไปเขาคนแถวนั้นอยู่แล้ว แล้วที่ที่จะไปดูก็ไม่ได้กั้นรั้วหรืออาณาบริเวณอะไร

ระหว่างทางที่เข้าไปช่วงแรกๆ ก็ชิลๆ เพราะคุ้นเคยมาจากครั้งที่แล้ว แต่พอพ้นจากแปลงครั้งที่แล้วไปก็เริ่มกังวลหน่อยๆ เพราะทางเข้าไปเป็นทางแคบๆ รถวิ่งสวนกันลำบากและก็ยังไม่ได้ลาดยางหรือเป็นคอนกรีต แถมสองข้างทางเป็นไร่อ้อยสูงท่วมหัวมองไปซ้ายขวาไม่เห็นอะไร นี่ถ้ามากันเองอาจจะถอดใจหันหลังกลับกันแล้ว

ถนนชนบท

ถนนเส้นที่ว่า ทั้งซ้ายทั้งขวาเป็นไร่อ้อยสูงท่วมหัว

เราเดินหน้ามาจนถึงบริเวณที่ที่จะขาย แต่คนที่พามาก็ยังไม่แน่ใจว่าแปลงไหนแน่ กำลังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ก็พอดีคุณลุงคุณป้าเจ้าของที่แถวนั้นเดินออกมาถาม พอรู้ว่าเรามาทำไม แกก็พาเดินไปดู เพราะที่ที่มาดูก็อยู่ด้านหลังที่ของแกนั่นแหละ

ที่แปลงนี้ไม่ติดถนนแต่เจ้าของที่ขอแบ่งซื้อที่ของคุณลุงคุณป้าทำเป็นทางเข้าไป เดินเข้าไปถึงก็เป็นที่นา รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสวยเลย ตอนที่ไปดูนี่เกี่ยวข้าวเรียบร้อยแล้วก็เลยไม่มีอะไร คุณลุงคุณป้าชี้ให้เราดูว่า ที่แปลงนี้มันจากไหนถึงไหน โน่นนี่นั่น ยืนคุยกันอยู่นาน ถูกคอถึงขนาดแกชวนเข้าไปนั่งคุยในที่ของแก (แกคงเหงาด้วยแหละ วันๆ ไม่น่าจะมีคนแปลกหน้าเข้ามาซักเท่าไหร่)

ชีวิตชนบท

คุยติดพันจนต้องเข้าไปคุยกันต่อในที่คุณลุงคุณป้า

ระหว่างที่นั่งคุยก็เก็บบรรยากาศไปด้วย อากาศดี เงียบ สงบ (แน่ล่ะมึง เข้ามาซะขนาดนี้) มีลมพัดมาเป็นระยะ คุณลุงคุณป้าอัธยาศัยดี นี่ก็ต้องดู เพราะเผื่อจะได้มาเป็นเพื่อนบ้านกัน ถามแกเรื่องน้ำ-ไฟ ก็มีมาถึงทั้งสองอย่าง ส่วนโทรศัพท์คงไม่ต้องหวัง ถ้าจะใช้เน็ตคงต้องพึ่งโมบายล์อย่างเดียว คุยกันอยู่ร่วมชั่วโมงเราก็ลาไปบ้านเจ้าของที่

ไปถึงบ้านเจ้าของที่ หลังจากทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเรียบร้อย ก็เข้าสู่การเจรจาล่ะทีนี้ ขั้นตอนนี้เราให้คนที่พามาเป็นคนช่วยเจรจาให้ เพราะเขารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แถมยังเป็นคนในพื้นที่ คุยกันนานมากกกกกก ไม่ได้อะไรหรอก มันนานตรงต่อราคานี่แหละ เขาบอกราคามา เราก็ต่อ ต่อแล้วยังไม่ให้ ก็ลากไปเรื่องอื่นก่อน เปลี่ยนเรื่องไปให้เพลินๆ แล้วกลับมาใหม่ ก็ยังไม่ได้อีก ก็เปลี่ยนเรื่องอีก คุยกันจนไปถึงเรื่องลูกเรื่องญาติ ลูกใครเดี๋ยวนี้ทำมาหากินอะไร อยู่ที่ไหน ใครเจ็บใครป่วยเป็นอะไร ขนาดนั้น

ต่อรองกันอย่างนี้อยู่สองชั่วโมง สุดท้ายตกลงกันได้เป็นที่พอใจ ก็สรุปนัดวันไปโอนที่กัน นัดกันแต่เช้าเพราะต้องไปไถ่จำนองจากธกส.ก่อนแล้วถึงไปโอนที่สำนักงานที่ดิน นัดเรียบร้อยให้เบอร์กันไว้เสร็จ เราก็กลับบ้าน

กลับมาถึงบ้าน เพื่อความแน่ใจเราก็เช็กข้อมูลเพิ่มว่า ไอ้ที่เราคิดเอาไว้น่ะมันโอเคมั้ย มีอะไรที่เราเข้าใจผิดไปบ้างหรือเปล่า ก็หาจากเน็ตแล้วก็ถามจากคนรู้จักรอบตัว ระหว่างนั้นเราก็เตรียมเรื่องเงินไปด้วย

ผ่านไปสองวัน หลังจากที่เช็กข้อมูลมาแล้ว ประกอบกับใจเริ่มนิ่งๆ มีเวลาคิดมากขึ้น เราได้ข้อสรุปว่า ที่แปลงนี้มีบางอย่างที่ไม่ตรงกับความต้องการของเราเสียทีเดียว จะซื้อก็ได้ แต่สุดท้ายอาจจะเป็นเรื่องวุ่นวายบานปลายภายหลัง เราก็มาคิดว่า ชีวิตเราตอนนี้พยายามให้เรียบง่าย ลดเรื่องวุ่นวายในชีวิตให้เหลือน้อยที่สุด แล้วที่แปลงนี้มองไปวันข้างหน้าก็อาจจะต้องวุ่นวายทำโน่นทำนี่ จะมาหาเรื่องเข้าตัวทำไม (วะ) แสดงว่าที่แปลงนี้ยังไม่ใช่ รอดูแปลงใหม่ก็แล้วกัน คิดได้อย่างนี้ก็รีบโทรไปบอกเจ้าของที่

พี่เจ้าของที่บอกว่า กำลังจะโทรมาหาอยู่พอดี เพราะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ฟังสิ่งที่พี่เขาเล่าเราก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาขอบคุณเราที่รีบโทรไปบอก เราก็ขอบคุณเขาที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก็จบกันไปด้วยดี

นี่ฟาวล์มาสองหนแล้วนะ แต่ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะไม่รีบ คิดว่าได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละวะ

‘ศุขเล็ก’ หนังสือพิเศษวาระ ๑๐๐ ปี คุณประยูร จรรยาวงษ์

ศุขเล็ก

วันที่ ๑๗ พฤศจิกายนที่จะถึงนี้จะเป็นวาระครบ ๑๐๐ ปี คุณประยูร จรรยาวงษ์ นักเขียนการ์ตูนผู้มีสมญานามว่า “ราชาการ์ตูนไทย” ในโอกาสนี้เองคุณศุขเล็กและคุณสุดรัก ผู้เป็นทายาทได้จัดทำหนังสือ ศุขเล็ก ขึ้นเพื่อรวบรวมประวัติและผลงานบางส่วนของคุณประยูรเพื่อเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังที่อาจจะเคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่เคยอ่านผลงานของคุณประยูร รวมทั้งให้แฟนๆ ที่รู้จักคุณประยูรอยู่แล้วได้เก็บรวบรวมให้หายคิดถึงกันด้วย

หนังสือ ศุขเล็ก แบ่งเนื้อหาออกเป็นสองส่วน แต่ละส่วนอ่านจากปกคนละด้าน ด้านแรก ปกเป็นรูปนายศุขเล็ก ตัวการ์ตูนที่เป็นสัญลักษณ์ของคุณประยูร (และต่อมาก็นำมาตั้งเป็นชื่อบุตรชายคนโตด้วย) เนื้อหาในส่วนนี้เป็นเรื่องราวของนายศุขเล็กที่เริ่มต้นจากการเป็นพระเอกลิเกในเรื่องพื้นบ้านและเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ ต่อมาก็มาเป็นตัวละครในการ์ตูนล้อการเมือง

แต่สิ่งที่ทำให้ศุขเล็กโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศก็คือการ์ตูนขบวนการแก้จน  ซึ่งเป็นการ์ตูนที่แนะนำอาชีพต่างๆ รวมไปถึงการทำอาหาร การทำการเกษตร ไปจนถึงการใช้ชีวิต โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยแก้จนให้คนอ่าน และที่น่ายินดีก็คือ มีคนอ่านจำนวนไม่น้อยที่นำเอาสิ่งที่เผยแพร่ในขบวนการแก้จนไปประกอบอาชีพและประสบความความสำเร็จ แก้จนได้จริงๆ

ศุขเล็ก

เนื้อหาอีกส่วนอ่านจากปกอีกด้านที่เป็นลายมือคุณประยูร ในส่วนนี้จะเป็นประวัติของตัวคุณประยูรเอง ซึ่งก็รวมไปถึงเรื่องราวที่คุณประยูรได้ไปฝึกงานที่ Disney Productions ของ Walt Disney ถึง ๖ เดือนและการได้รับรางวัลแมกไซไซเมื่อปี ๒๕๑๔ แล้วปิดท้ายด้วยทัศนะสั้นๆ จากผู้มีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ ๑๑ คนที่มีต่อคุณประยูร

๑๑ คนนี้จะมีใครบ้าง อยากให้ลองเปิดดู เพราะผมเชื่อว่าบางคนนี่นึกไม่ถึงแน่ๆ

ความพิเศษอีกประการหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คือ เป็นหนังสือที่ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงเข้ามาประกอบด้วย คนอ่านที่ใช้ iOS สามารถดาวน์โหลดแอปจาก App Store เพื่อมาส่องดูเนื้อหาดิจิทัลเพิ่มเติมจากในหนังสือได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

อีกไม่กี่วันก็น่าจะวางในร้านหนังสือแล้ว ราคาเล่มละ ๒๘๕ บาทครับ

‘เรื่องไม่เคยเล่า’ ของอดีตปลัดคลัง

rangsan_front

เมื่อครบรอบปีงบประมาณ สิ่งหนึ่งที่มีให้เห็นเป็นประจำแทบทุกปีก็คือ หนังสือประวัติข้าราชการระดับสูงที่เกษียณอายุในปีนั้นๆ บางเล่มเจ้าตัวเป็นคนจัดทำเอง บางเล่มลูกน้องจัดทำให้ ซึ่งมีทั้งที่ใช้เงินส่วนตัวและใช้เงินหลวง จะใส่ในงบอะไรก็ว่ากันไป และโดยปกติแล้วเนื้อหาในเล่มก็จะกล่าวถึงประวัติของบุคคลต้นเรื่อง ไล่มาตั้งแต่ครอบครัว การศึกษา ประวัติการทำงาน ผลงานเด่นๆ ที่แต่ละคนภาคภูมิใจ

สำหรับปีนี้ เล่มแรกที่ผมมีโอกาสได้เห็นและพลิกดูก็คือ เรื่องไม่เคยเล่า จากเด็กข้างวัดสู่ปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นเรื่องราวของคุณรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อดีตปลัดกระทรวงการคลังหมาดๆ ผมเองไม่เคยรู้จักคุณรังสรรค์ทั้งโดยส่วนตัวและการติดตามข่าวสารทางสื่อมาก่อน เมื่อได้เห็นหนังสือเล่มนี้และพลิกๆ ดูแล้วต้องบอกว่า ชีวิตคุณรังสรรค์มี story น่าสนใจไม่น้อย

ประการแรก คุณรังสรรค์เป็นปลัดกระทรวงการคลังที่เป็นลูกชาวสวน เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเปิด (ทั้งรามคำแหงและสุโขทัยธรรมาธิราช) แถมยังไม่เคยไปเรียนเมืองนอก เมื่อเข้ารับราชการก็เริ่มต้นจากการเป็นข้าราชการระดับปฏิบัติการที่ต่างจังหวัด จากนั้นจึงค่อยๆ เติบโตในหน้าที่การงานมาจนมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตข้าราชการที่ตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง (ผมเชื่อว่าปลัดคลังที่มีโพรไฟล์แบบนี้ไม่น่าจะมีมากนักนะครับ)

ประการถัดมา ชีวิตการทำงานส่วนใหญ่ของคุณรังสรรค์อยู่ที่กรมสรรพากร กรมที่ประชาชนคนมีรายได้ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากให้มายุ่ง แต่ถึงแม้จะมีข้อจำกัดในด้านการทำงานดังกล่าว คุณรังสรรค์ก็สามารถสร้างผลงานเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ รวมถึงการเข้าไปมีส่วนในการตรวจสอบคดีโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม มูลค่าถึง ๔,๓๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีประวัติศาสตร์ของกรมสรรพากรและกระทรวงการคลัง

เท่าที่พลิกอ่านเร็วๆ ถือว่าเป็นหนังสือที่มีเรื่องราวน่าอ่าน ไม่ออกแนวอวยอูเชิดชูอย่างเดียว จำนวนหน้าก็กำลังพอดี ใครสนใจก็ลองสอบถามไปที่คุณรังสรรค์ดูนะครับ

rangsan_back

Flash Boys หนังสือ (ที่มีคน) แนะนำ

Flash Boys
มีเรื่องมาเล่าสั้นๆ ว่า เมื่อวานมีโอกาสได้พบอดีตปลัดกระทรวงการคลัง ผู้ซึ่งเป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย ท่านเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง หนึ่งในนั้นเป็นหนังสือเล่มนี้ ซึ่งท่านบอกว่า “ดีมาก!! คุณไปอ่านดู ผมไม่อยากเล่า”

เพื่อความแน่ใจเราก็ถามไปว่า Flash Boys ของ Michael Lewis นะครับ ท่านตอบว่า ใช่

เล่มนี้ซื้อไว้ตั้งแต่ที่ออกวางขาย Hardcover วันแรกๆ ในเมืองไทย แต่ด้วยความที่ยังมีเล่มอื่นอยู่ในคิวอีกหลายเล่มก็เลยยังไม่ได้หยิบมาอ่านซักที พอคนระดับนี้มาแนะนำอย่างนี้ก็เลยแซงขึ้นมาเป็นคิวแรก รอให้นิยายเกี่ยวกับการตามล่านาซีที่กำลังอ่านอยู่จบเล่มก่อนก็จะเป็นคิวต่อไป แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะครับ

เรียนบริหารจากประสบการณ์ (คนอื่น)

BlogTools

ตอนนี้ผมกำลังทำโปรเจ็กต์ให้บริษัทนึง เนื้องานคร่าวๆ ก็คือการรวบรวมและเรียบเรียงประวัติความเป็นมาของบริษัทนี้ ซึ่งในขั้นตอนของการเก็บข้อมูล นอกจากจะสืบค้นจากเอกสารต่างๆ แล้ว ยังต้องสัมภาษณ์พูดคุยกับผู้บริหารและอดีตผู้บริหารของบริษัทนี้เกือบ ๒๐ คน โดยที่แทบทุกคนเลยวัยเกษียณกันมาแล้ว และถ้าเอาอายุงานของทุกคนมารวมกัน (ตอนนี้หลายคนก็ยังทำงานอยู่ เป็นกรรมการบริษัทบ้าง เป็นที่ปรึกษาบ้าง) น่าจะไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ ปี ซึ่งประสบการณ์ที่แต่ละคนมีก็หลากหลาย ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาว่าในขณะนั้นสถานการณ์ของบริษัทเป็นยังไง

ผมเองนับว่าเป็นโชคที่ได้ทำงานนี้ เพราะพี่ๆ (น้าๆ และลุงๆ) ที่ได้สัมภาษณ์แต่ละคนเล่าเรื่องราวให้ฟังแบบไม่มีกั๊ก ถามเรื่องอะไรไป ตอบหมด แถมบางเรื่องที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เราไม่ได้ถาม (เพราะไม่รู้) ก็เล่าให้ฟังด้วย

ประสบการณ์การทำงานที่ได้ฟังมานี่เหมือนกับเรามีโอกาสเข้าไปนั่งเรียนหลักสูตรบริหารซักหลักสูตรนึงที่อาจารย์ผู้สอนเป็นคนทำงานจริง มีประสบการณ์จริงและใช้เคสจริงมาเล่าให้เราฟัง ซึ่งมันเจ๋งมากนะครับ

เรื่องแรกที่ผมอยากเล่าก็คือ การหาสาเหตุของปัญหาตามหลัก Five Whys (เรื่องนี้เป็นความรู้ใหม่ของผม คนที่รู้มาก่อนแล้วข้ามไปเลยก็ได้นะครับ) ซึ่งตอนแรกที่คุณลุงเล่ามาแกเรียกว่า Why Why หลังจากนั้นผมไปเจอในหนังสือ The Lean Startup ถึงได้รู้ว่ามันคือ Five Whys

LeanStartup

หนังสือเล่มนี้ครับที่ช่วยให้กระจ่างเรื่อง Five Whys

หลักการของ Five Whys ก็คือ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นให้เราหาสาเหตุของปัญหาด้วยการถามว่า Why? (ปัญหานี้เกิดจากอะไร?) แล้วหาคำตอบออกมา เมื่อได้คำตอบแล้วก็ตั้งคำถามต่อว่า Why? อีกที เพื่อหาว่าคำตอบของ Why? ครั้งแรกน่ะมันเกิดจากอะไร เมื่อได้แล้วก็ถาม Why? อีก ทำอย่างนี้ไปห้า Why? เราจะได้เจอสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา (หรือบางกรณีอาจจะถามไม่ถึงห้าครั้งก็ได้คำตอบสุดท้ายแล้ว) ซึ่งหลายต่อหลายครั้งจะเป็นสิ่งที่เราคิดไม่ถึงเลยว่า ไอ้นี่แหละคือต้นตอของปัญหาที่กำลังปวดหัวอยู่

ฟังแล้วงงมั้ยครับ?

ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมอย่างนี้ครับ สมมุติเราตื่นเช้ามา อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยจะออกไปทำงาน สตาร์ตรถ ชึ่ง!! เงียบ สตาร์ตไม่ติด หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์นี้ ถ้าเราใช้หลัก Five Whys เคสนี้ปัญหาคือ รถสตาร์ตไม่ติด

ทำไมสตาร์ตไม่ติดล่ะ? (นี่ Why? แรก)
– แบตฯ หมด

ทำไมแบตฯ หมดล่ะ? (Why? สอง)
– น้ำกลั่นแห้ง

ทำไมถึงแห้งล่ะ? (Why? สามล่ะนะ)
– ก็ (มึง) ไม่เคยเปิดออกมาเช็กมาเติมเลย ใช้มาได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว

สมมุติว่าจบแค่นี้

การตั้งคำถามต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้อาจฟังดูเหมือนกวนอวัยวะเบื้องล่าง แต่ถ้าดูจากตัวอย่างจะเห็นว่ามันสามารถนำไปสู่ต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหาได้ โดยกรณีนี้วิธีแก้ปัญหาก็อาจจะเป็นการกำหนดให้มีการตรวจเช็คน้ำกลั่นเป็นระยะ (ก็อย่าลืมอีกล่ะ) หรือจะลดความยุ่งยากด้วยการซื้อแบตฯ แบบแห้งไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาคอยดู ยอมเสียเงินแพงหน่อย แต่สบายใจงี้

หลัก Five Whys นี้ต้นตำรับเป็นชาวญี่ปุ่นชื่อ Taiichi Ohno ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่ง Toyota Production System และหลักการนี้ก็ได้รับความนิยมทั่วทั้งญี่ปุ่น ต่อมาก็แพร่เข้าไปในประเทศต่างๆ ที่ญี่ปุ่นเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งไทยเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย (พารากราฟนี้เป็นโหมดสาระล้วนๆ นะครับ)

จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นเป็นกรณีที่หาสาเหตุและทางแก้ได้ไม่ยาก เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อนและเป็นเรื่องของเราคนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่ในชีวิตจริงโดยเฉพาะในการทำงาน ปัญหาที่เกิดขึ้นมันจะไม่ง่ายอย่างนี้แถมยังไปเกี่ยวข้องกับหลายคนหลายฝ่าย ซึ่งแต่ละคนแต่ละฝ่ายที่ว่าก็มักจะไม่มีใครยอมใครกันหรอก ส่วนมากจะมีอีโก้อีกลวงกันทั้งนั้นแหละ ทำให้การแก้ปัญหามันยากขึ้นไปอีก (ถ้าใครไม่เจอปัญหาประเภทนี้ในที่ทำงาน รบกวนช่วยหลังไมค์มาแจ้งชื่อบริษัทไว้ด้วยนะครับ คุณโชคดีมาก)

แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ไปเจอกรณีที่พยายามแก้ปัญหาทุกวิธีทุกรูปแบบแล้ว Five Whys ก็แล้ว ทั้ง inside และ outside the box แล้วก็ยังเอาไม่อยู่ ก็มีคำแนะนำจากคุณลุงอีกคนนึงที่ให้สัมภาษณ์ไว้ (งานเดียวกันแต่สัมภาษณ์คนละที) เอามาใช้ได้ ถือเป็นกระบวนท่าสุดท้ายจริงๆ

คุณลุงบอกว่า กรณีแบบนี้ให้ยึดหลัก “ช่างมัน ช่างมึง ช่างกู”

สารภาพตามตรงว่า ตอนที่ได้ยินครั้งแรกนี่ชะงักไปนิดนึงเลยนะครับ นึกไม่ถึงว่ากระบวนท่าสุดท้ายของผมกับของคนที่เคยเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ คุมธุรกิจที่รายได้เกินหมื่นล้านจะคล้ายกันขนาดนี้ เพียงแต่กระบวนท่าของผมสั้นกว่าของคุณลุงนิดนึง

ช่างแม่มมมมมมมม…

ใครสนใจจะเอาไปใช้คุณลุงแกไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ

โมบี้-ดิ๊ก ฉบับภาษาไทย หนังสือที่คนอ่านระดมทุนให้ทำ

mobydickbox

เมื่อวานกลับมาถึงบ้านมีพัสดุมากล่องนึงตามรูปด้านบนครับ ดูจากสติ๊กเกอร์ที่แปะอยู่บนกล่องแล้วก็อุ่นใจได้ว่าของข้างในคงไม่ใช่ระเบิดและก็พอเดาได้ว่าเป็นอะไร หลังจากเปิดกล่องออกมาก็เจอสิ่งนี้ครับ

เปิดกล่อง Moby-dick

พอแกะออกมาก็เป็นเล่มนี้

Moby-dick ฉบับภาษาไทย

ถ้าใครยังพอจำได้ ผมเคยเขียนถึงโครงการระดมทุนเพื่อดำเนินการแปลและจัดพิมพ์ “โมบี้-ดิ๊ก” ฉบับภาษาไทยมาแล้วครั้งหนึ่ง (ใครยังไม่เคยอ่าน หรืออ่านแล้วและลืมแล้ว เชิญได้ที่นี่ครับ โครงการระดมทุน โมบี้-ดิ๊ก ฉบับประชาชน) สารภาพตามตรงว่า ตอนนั้นพอโอนเงินเรียบร้อยผมลืมเรื่องนี้ไปเลย เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะทำต้นฉบับเสร็จแล้วยังต้องมีขั้นตอนการจัดพิมพ์อีก ลืมสนิทครับ

ตอนที่ร่วมลงเงินไปก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ได้รู้จักอะไรกันกับทีมงานเป็นการส่วนตัวด้วย แค่อยากเห็นโมเดลใหม่ๆ ของการทำหนังสือเกิดขึ้นในบ้านเรา อยากให้สำเร็จ อยากเห็นมันหยั่งรากและเติบโตเป็นทางเลือกให้คนทำหนังสือได้มีโอกาสทำงานที่ตัวเองอยากทำ (โดยไม่เจ๊ง) และคนอ่านก็มีโอกาสได้มีส่วนร่วมสนับสนุนให้เกิดผลงานที่ตัวเองอยากอ่าน (หรือไม่อ่านก็ได้นะแต่อยากสนับสนุนให้ทำขึ้นมางี้)

การระดมทุนเพื่อจัดพิมพ์หนังสือนี่นอกจากของกลุ่มวรรณกรรมไม่จำกัดแล้วก็ยังมีของเจ้าอื่นด้วยเหมือนกัน อย่าง afterword ที่มีรูปแบบเหมือนกับ Kickstarter ของเมืองนอกแต่โฟกัสที่การระดมทุนเพื่อจัดทำหนังสืออย่างเดียวล้วนๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหนังสือหลายเล่มที่ระดมทุนผ่านทาง afterword และประสบความสำเร็จไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ก็ยังมีอีกหลายเล่มที่ระดมทุนอยู่ ใครสนใจก็ลองคลิกไปดูได้ตามลิ้งก์ด้านบนนะครับ

สำหรับใครที่สงสัยว่า ทำไมจะต้องมาระดมทุนพิมพ์หนังสือกันด้วยล่ะ? ทุกวันนี้สำนักพิมพ์ก็มีเยอะแยะ ร้านหนังสือก็มีแทบจะในทุกห้าง ทำไมไม่เอาต้นฉบับเข้าไปคุยกับสำนักพิมพ์เลยล่ะ? อะไรทำนองนี้นะครับ ผมอยากบอกว่าสิ่งที่เห็นมันเป็นภาพลวงตานะครับและปัญหานี้ทาง afterword เขาสรุปเอาไว้ดีมากในภาพเพียงภาพเดียวที่นี่ครับ

ปิดท้ายด้วยกระดาษที่ทางทีมงานกลุ่มวรรณกรรมไม่จำกัดเขาหุ้มหนังสือมา แกะออกมาแล้วเป็นภาพนี้ครับ จะเรียกว่าเป็นโปสเตอร์ก็คงได้มั้ง

ขอให้มีความสุขกับการอ่านครับ ❤

โปสเตอร์ Moby-dick