งูเหลือมในหมู่บ้าน

งูเหลือมในหมู่บ้าน

เช้านี้ออกไปวิ่ง ตอนวิ่งผ่านบ้านคุณพี่ที่อยู่ถัดไปสองหลังแกเดินออกมาพอดี เราก็ยิ้มให้ แกยิ้มกลับ บอกเจองูที่บ้าน เปิดมาขนาดนี้จะไม่ถามไถ่อะไรหน่อยคงไม่ดี เลยหยุดถาม งูอะไรพี่? แกบอกงูเหลือมงูหลามนี่แหละ แล้วเอานิ้วมาทำวงให้ดูขนาด ก็ประมาณข้อมือเด็ก แกบอก แจ้งรปภ.ไปแล้วให้มาจับ ไม่รู้กล้าจับหรือเปล่า แล้วแกก็เดินไปทำท่าจะขึ้นรถ เราก็วิ่งของเราต่อ

วิ่งกลับมาอีกรอบเจอลุงรปภ.ยืนถือไม้แบบที่เขาเอาไว้จับงูยืนอยู่ข้างบ้านแก เราก็นึก เออ มาเร็วดีนะ จะกล้าจับรึเปล่าไม่รู้ วิ่งใกล้เข้าไปอีกนิด ชิบหายยยย จับเสร็จแล้วนี่หว่า ไอ้ที่นึกว่าไม้นั่นน่ะมีงู ตัวเกือบข้อมือผู้ใหญ่ ยาวสักเมตรครึ่งได้ ลายพร้อยเลย เรานี่แทบมืออ่อนตีนอ่อน สมองสั่งการให้วิ่งฉีกออกกลางถนนทันที กูยอมเสี่ยงกับรถดีกว่า คุณพี่เพื่อนบ้านเดินลงจากรถมาถ่ายรูปแล้วถามคุณลุงว่าจะเอาไปปล่อยที่ไหน แกบอกตรงคลองในหมู่บ้านที่กั้นเฟสหนึ่งเฟสสองนี่แหละ ให้มันเลื้อยตามน้ำไป แกพูดไม่ทันจบดี คุณพี่เพื่อนบ้านเสียงสูงมาเลย ปล่อยตรงเนี๊ยะ? แล้วมันจะไม่กลับมาเหรอ หลังจากนั้นคุยอะไรยังไงไม่รู้แล้ว แต่พอวิ่งไปถึงสะพานข้ามคลองเห็นลุงปล่อยงูไปเรียบร้อย

ถามลุงว่า งูมันอยู่ตรงไหนที่บ้านพี่เค้าอ่ะลุง? แกบอก นอนอยู่ตรงสวนแถวริมรั้วนั่นแหละ จ้องจะกินหมาอยู่…

นิตยสาร way ฉบับที่ ๑ : ตุลาคม ๒๕๔๙

นิตยสาร way ฉบับที่ ๑ เดือนตุลาคม ๒๕๔๙

สิบปีที่แล้ว หลังจากนิตยสาร a day Weekly ปิดตัวลง แต่ อธิคม คุณาวุฒิ ผู้เป็นบรรณาธิการมีความรู้สึกว่ามันยังไม่จบ ความต้องการทำนิตยสารของเขาเป็นแรงขับให้เกิดนิตยสารหัวใหม่เล่มนี้ขึ้นมา

way

ฉบับแรกออกวางแผงในเดือนตุลาคม ๒๕๔๙ โดยมีคำโปรยปกว่า MY WAY! ที่เหมือนจะบอกนัยโดยอ้อมถึงจุดยืนหรือทัศนะบางประการของนิตยสารเล่มนี้

เนื้อหาในเล่มมีทั้งที่เป็นคอลัมน์ สกู๊ป และสัมภาษณ์ ในเล่มแรกนี้บทสัมภาษณ์ใหญ่เป็นฝีมือของ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ที่พาผู้อ่านไปรู้จักตัวตนและความคิดของ น้อย วงพรู หรือ กฤษฎา สุโกศล แคลปป์ ที่ในวันนั้นเป็นข่าวใหญ่โตขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ จากกรณีที่ไปมีเรื่องวิวาทกับร็อกเกอร์ เสก โลโซ

ส่วนสัมภาษณ์รองเป็นเจ้าพ่อบันเทิงคดี มาโนช พุฒตาล ที่มาเปิดบ้านพูดคุยกัน

สำหรับคอลัมนิสต์ในเล่มนี้เรียกได้ว่าจัดหนักสำหรับคอสายนี้ เพราะมีทั้ง ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ไชยันต์ ไชยพร สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ พิษณุ นิลกลัด โตมร ศุขปรีชา และคนอื่นอีกมาก

ก่อนจะจบ อยากให้ดูภาพและข้อความในภาพนี้ที่ยกมาจากหน้า ๒๗ สำหรับผม เปิดเจอทีแรกตอนที่จะเขียนโพสต์นี้ ต้องพลิกกลับไปดูเดือนและปีบนหน้าปกใหม่อีกรอบ ให้แน่ใจว่าไม่ใช่เล่มที่เพิ่งออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้

นิตยสาร way ฉบับที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙

ขยายดูกันชัด ๆ

นิตยสาร way ฉบับที่ ๑ เดือนตุลาคม ๒๕๔๙

หมายเหตุ : ติดตาม What We Read Blog ได้อีกหนึ่งช่องทางที่ https://www.facebook.com/whatwereadblog/ นะครับ

ลายเซ็นนักเขียน : ชาติ กอบจิตติ

ชาติ กอบจิตติ

เมื่อซักประมาณ ๒๐ ปีที่แล้ว ร้านนายอินทร์ สาขาท่าพระจันทร์ จัดกิจกรรมทุกช่วงบ่ายของวันศุกร์สุดท้ายของเดือน ด้วยการเชิญนักเขียนมาสนทนาที่บริเวณชั้นสองของร้านแล้วเปิดให้นักอ่านหรือผู้สนใจเข้าฟังได้ฟรี

กิจกรรมนี้จัดอยู่นานแค่ไหนผมจำไม่ได้แล้ว แต่จำได้แม่นว่าไปร่วมฟังอยู่สองครั้ง คือ ตอนที่คุณวาณิช จรุงกิจอนันต์ และคุณชาติ กอบจิตติ มา

ที่ไปฟังพี่ชาติวันนั้นนอกจากจะด้วยชอบงานของพี่เค้าแล้ว (พันธุ์หมาบ้านี่คนที่อ่านแล้วไม่โดนคงมีน้อยนะ) ยังอยากไปเจอและไปฟังตัวเป็น ๆ ของนักเขียนที่ได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือมานานว่าเป็นคนขี้อำ ซึ่งสิ่งที่ได้ยินวันนั้นไม่ผิดไปจากที่ได้ยินมาเลย

สิ่งสำคัญที่เก็บมาจากการไปฟังพี่ชาติวันนั้นและยังจำได้มาถึงวันนี้มีสองเรื่อง เรื่องแรก พี่ชาติให้คำแนะนำกับคนเขียน (หรืออยากเขียน) หนังสือว่า เวลาอ่านหนังสือแกจะอ่านสองรอบ รอบแรกเป็นการอ่านเรื่องราวของหนังสือ แบบที่คนอ่านหนังสือตามปกติ เมื่ออ่านรอบแรกจบแล้วก็กลับมาอ่านรอบสอง แต่รอบนี้ไม่ใช่การอ่านเอาเรื่อง (เพราะรู้เรื่องจากรอบแรกไปแล้ว) แต่เป็นการอ่านเพื่อศึกษาว่า คนเขียนเล่าเรื่องอย่างไร ทำไมตรงนั้นถึงเล่าแบบนั้น หรือสถานการณ์ที่เกิดตรงนี้มันมีการปูเรื่องมาก่อนจากตรงนั้น ฯลฯ เป็นการอ่านเพื่อศึกษา ซึ่งจะช่วยให้เราพัฒนาตัวเองได้

เรื่องที่สอง พี่ชาติบอกว่า คนเป็น (หรืออยากเป็น) นักเขียน ต้องฝึกเขียนอยู่เสมอ และการฝึกนี้ไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนออกมาจริง ๆ ก็ได้ สามารถฝึกเขียนในใจได้ ยกตัวอย่างเวลานั่งรถไปไหนมาไหนก็อย่ามัวแต่นั่งเหม่อฝันหวานอะไรอย่างเดียว (ถ้าเป็นสมัยนี้พี่ชาติคงบอกว่า อย่ามัวแต่นั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์นะพวกมึง) ให้ลองสังเกตสถานที่หรือเหตุการณ์อะไรที่ผ่านตาแล้วลองคิดว่า ถ้าจะต้องเขียนบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือจะเล่ายังไง

พี่ชาติบอกว่า แกใช้วิธีนี้ในการฝึกและเขียนหนังสือของตัวเอง เวลาเขียนหนังสือแกจะคิดจนเสร็จเรียบร้อยอยู่ในหัวแล้วว่าเหตุการณ์จะเป็นยังไง จะเล่ายังไง คิดจนจบแล้วถึงค่อยลงมือเขียนออกมา ตรงนี้แกบอกว่า การคิดเอาไว้แบบนี้มันทำให้พลังมันอัดอยู่ในตัว พอนั่งเขียนจริงก็จะเป็นเหมือนการปล่อยพลังในตัวออกมาทีเดียวแล้วเรื่องจะได้มีพลัง แต่ถ้านั่งเขียนไปเรื่อย ๆ มันจะไม่ค่อยมีพลังเท่าไหร่

หลังจากสนทนาและตอบคำถามแฟน ๆ ที่มานั่งฟังกันเรียบร้อย (วันนั้นพี่ชาติคงจะไปไหนต่อ เพราะยังไม่กินเหล้า 5555) ก็เปิดให้ขอลายเซ็นกันได้ ถึงช่วงนี้เราก็ ชิบหาย อยากได้ลายเซ็นพี่ชาติ (ไม่เคยขอลายเซ็นใครมาก่อนเลย) แต่ไม่ได้เอาหนังสือติดมาด้วย เอาไงดีวะ เดินลงไปชั้นล่างที่วางหนังสือพี่ชาติอยู่ เลือกมาเล่มนึงซึ่งก็คือ เรื่องธรรมดา ตามภาพด้านบน แล้วเดินถือกลับขึ้นไปให้พี่ชาติเซ็น เป็นการขอลายเซ็นคนดังครั้งแรกในชีวิต

ชาติ กอบจิตติ : เรื่องธรรมดานี่เป็นลายเซ็นพี่ชาติเมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่แล้ว

ตัดฉับมาปีนี้ ผมมีโอกาสได้ลายเซ็นพี่ชาติอีกครั้ง ในหนังสือเล่มใหม่ล่าสุด facebook : โลกอันซ้อนกันอยู่ อันเนื่องมาจากที่พี่ชาติมีโปรเจ็กต์เปิด facebook เพื่อจะทำหนังสือ โดยเล่าเรื่องราวสารพัด (อ่านรายละเอียดได้ที่นี่) แล้วผมเข้าไปคอมเม้นต์ในบางประเด็น แล้วเกิดได้รับคัดเลือกให้เข้าไปอยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วย พี่ชาติก็เลยมอบหนังสือเล่มนี้ให้พร้อมด้วยลายเซ็น (ไม่ได้มีผมคนเดียวนะ มีคนอื่นด้วย) อย่างที่เห็นนั่นล่ะฮะ

ชาติ กอบจิตติ : facebook : โลกอันซ้อนกันอยู่ผลงานล่าสุดของพี่ชาติ

ชาติ กอบจิตติ : facebook : โลกอันซ้อนกันอยู่

หมายเหตุ : ๒๐ ปีผ่านไป ลายเซ็นพี่ชาติก็เปลี่ยนไป หวังว่าคงไม่ใช่เพราะไปดูหมอมานะพี่นะ 5555 (ขออนุญาตแซวนิดนึงนะครับพี่)

มาทำปุ๋ยหมักกันเถอะ

ปุ๋ยหมักทำเองชุดแรก

หลายคนเห็นรูปประกอบแล้วคงเกิดคำถามว่า นี่กระถางอะไร (ของมึง)? มันมีที่มาอย่างนี้ครับ เมื่อซักสองสามเดือนก่อนหน้าเฟซบุ๊กของผมมันโชว์เพจเพจนึงขึ้นมา จำไม่ได้แล้วว่ามีใครแชร์มาหรือเป็นการแนะนำจากระบบของเฟซบุ๊กเอง เพจที่ว่าคืออันนี้ครับ

การทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกในตะกร้า

จะบอกว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือฟ้าประทานก็ได้ เพราะช่วงนั้นผมกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่พอดี ด้วยเหตุว่าที่บ้านปลูกต้นไม้เอาไว้พอสมควร บรรดาใบไม้และดอกไม้ที่ร่วงลงมานี่เต็มไปหมด แถมบางทีต้องตัดหญ้า ตัดแต่งต้นไม้ก็มีเศษกิ่งไม้ใบหญ้าที่ต้องเอาใส่ถุงขยะให้เทศบาลมาเอาไปจัดการก็ไม่ใช่น้อย ๆ เราก็อยากจะเอามาทำปุ๋ย เพราะนอกจากจะกำจัดของพวกนี้ได้แล้ว ยังกลับมาเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ที่มีอยู่ได้อีก ได้ประโยชน์สองต่อเลยนะ แล้วเราก็เรียนมาตั้งแต่เด็กว่าไอ้ของพวกนี้มันเอามาทำปุ๋ยหมักได้นี่นา แต่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามันค่อนข้างยุ่งยาก ต้องคอยพลิกกลับกอง แถมยังอาจมีกลิ่นด้วย แล้วก็ต้องทำทีละเยอะ ๆ ก็เลยรีรออยู่ ก็มีเพจที่ว่านี่มาช่วยตอบโจทย์ได้พอดี

ถ้าคลิกเข้าไปดูในลิงก์ที่เอามาลง (คลิกเถอะ อยากให้ดู) เขาตอบโจทย์ (ของผม) ได้หมดเลย ข้อแรก ทำง่าย ไม่ต้องพลิกกอง (ไม่เหนื่อย เหมาะกับคนขี้เกียจ) สอง ไม่เหม็น สาม ทำน้อย ๆ ก็ได้ ใส่ตะกร้ายังทำได้ แล้วที่เป็นโบนัสก็คือ เอาพวกเศษผักผลไม้ที่เหลือจากการทำกับข้าวมาทำได้ด้วย อันนี้เด็ดมาก

ก็ใช้เวลานั่งอ่านวิธีทำอยู่สักพัก พอจะลงมือปฎิบัติก็เจอปัญหาว่า ถ้าจะขึ้นกองมันต้องมีปริมาณเยอะพอสมควร เศษไม้ใบหญ้าของเรายังมีน้อย แต่ก็ขี้เกียจซื้อตะกร้ามาทำ อีกปัญหานึงก็คือ ที่บ้านมีกระรอกเยอะ ก็กลัวว่าถ้ามันมาคุ้ยเขี่ยเศษผักผลไม้แล้วมันจะเลอะเทอะวุ่นวาย แล้วก็ยังไม่แน่ใจเรื่องกลิ่น เกรงใจเพื่อนบ้าน ยังต้องอยู่กันไปอีกนาน หันไปหันมา เอาไงดีวะ

สรุป ลองเอาเองเลย ปรับจากวิธีต้นตำรับอีกที ใช้ขุดหลุมฝังเอา ก็เลยเลือกพื้นที่เหมาะ ๆ ขุดหลุมเล็ก ๆ ลองดูก่อน แล้วเอาเศษผักผลไม้ใส่ลงไป มีตั้งแต่เปลือกเมล่อน เปลือกมะม่วง เปลือกแก้วมังกร เปลือกกล้วย ก้านคะน้าที่แข็ง ๆ ก้านโหระพา โคนเห็ดเข็มทอง สารพัดอ่ะ แล้วก็เอาเศษใบไม้ที่ร่วง ๆ อยู่แถวนั้นแหละกอบใส่ลงหลุมไปด้วย ส่วนมูลสัตว์ไม่มี ขี้เกียจออกไปซื้อ จะใช้ขี้ตัวเองก็เกรงใจเพื่อนบ้านอย่างที่ว่า ก็ไม่ใช้แล้วกันวะ ลองดูให้รู้ก่อนว่าเวิร์กไม่เวิร์ก

หลังจากนั้นคอยรดน้ำบ้างตามตำรา พอมีเศษผักผลไม้ก็ทยอยเอาไปเติมเรื่อย ๆ จนมันเต็มหลุมนั่นแหละ ซึ่งก็แป๊บเดียว เพราะหลุมแรกนี่หลุมนิดเดียว ก็ขยายสาขาไปเปิดหลุมสอง ทำเหมือนเดิมจนเต็ม พอไปหลุมสามทีนี้หาที่ใหม่ ขุดหลุมให้ใหญ่กว่าเดิม ระหว่างที่ทำในหลุมสามก็รอเวลาให้หลุมหนึ่งกับหลุมสองย่อยสลาย

ผ่านไปสองหรือสามเดือนอย่างที่ว่า ช่วงวันหยุดติดกันหลายวันที่ผ่านมาก็ลองไปเปิดหลุมคุ้ย ๆ ขึ้นมาดู เออ เฮ้ย มันย่อยสลายได้จริง ๆ นะ อย่างที่บอกว่า ตอนที่ใส่ไปนอกจากเศษใบไม้แล้วยังมีเศษผักกับเปลือกผลไม้ด้วย แต่ตอนที่เปิดหลุมขึ้นมานี่ กลายเป็นเศษร่วน ๆ ไม่มีสภาพเดิมอยู่เลย เปลือกกล้วยหรือเปลือกแก้วมังกรชิ้นใหญ่ ๆ นี่ย่อยสลายจนดูสภาพไม่ออกไปเลยนะ

ปุ๋ยหมักทำเองชุดแรกสภาพที่ได้เป็นอย่างนี้

ตอนที่โกยขึ้นมาจากหลุมนี่รู้สึกเนื้อสัมผัสดีมาก เป็นวัสดุที่ร่วน ๆ ซุย ๆ น่าเอาไปใส่ให้ต้นไม้เป็นอย่างยิ่ง จากสองหลุมเล็ก ๆ ที่ว่ามาก็โกยขึ้นมาได้ปริมาณเท่าที่เห็นในกระถางดำนั่นแหละครับ ตำราบอกว่าต้องเอาไปตากให้แห้งก่อน เพื่อที่จะได้ฆ่าหรือหยุดการทำงานของจุลินทรีย์ ไม่งั้นตอนเอาไปใส่ต้นไม้มันจะไปส่งผลกับรากพืช กลายเป็นผลเสียได้ ที่เห็นนี่ยังไม่ได้ตาก

ปุ๋ยหมักทำเองชุดแรกดูใกล้ ๆ จะเห็นว่ายังไม่ได้ป่นละเอียดมาก

ปุ๋ยหมักที่ทดลองทำครั้งนี้อาจจะไม่มีสารอาหารมากเท่ากับในตำรา (เพราะวิธีที่เปลี่ยนไป) แต่เป็นวิธีที่เหมาะกับสันดานตัวเองมาก เพราะแทบไม่ต้องทำอะไรกับมันเลย ลงแรงขุดหลุมตอนแรกแล้วเมื่อไหร่ที่มีเศษผักผลไม้ เศษใบไม้ใบหญ้าก็เอามาใส่ลงไป คอยรดน้ำวันละครั้งสองวันครั้ง ปัญหาเรื่องกลิ่นก็ไม่มีกวนใจ ที่เหลือก็ให้เวลาทำหน้าที่ของมันไป ลืม ๆ ไปสักพักก็ได้ปุ๋ยหมักมาใช้แล้ว

ถ้าบ้านใครพอมีที่หรือมีบริเวณซักหน่อย อยากให้ลองทำดู ไม่ยากเลย ผมทำได้คุณก็ทำได้

มาทำปุ๋ยหมักกันเถอะ…

รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 (แบบบ้าน ๆ)

nike free 4.0 flyknitnike free 4.0 flyknit 2015

ตามที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเพิ่งซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่เป็น nike free 4.0 flyknit 2015 มา (อ่านได้จากโพสต์นี้นะ มาวิ่งกันเถอะ) หลังจากใช้วิ่งมาแล้วสามครั้ง วันนี้จะมาเล่าให้ฟังเผื่อเป็นข้อมูลประกอบสำหรับคนที่สนใจนะฮะ

ออกตัวก่อนว่า ที่จั่วหัวว่าเป็นรีวิว จริง ๆ คงไม่ใช่ เพราะไม่ได้เชี่ยวในเรื่องอะไรเลย รองเท้าวิ่งนี่ก็เหมือนกัน หลักการและเหตุผลรองรับทางวิทยาศาสตร์อะไรก็ไม่มี เอาเป็นว่ามาเล่าให้ฟังว่าใช้แล้วรู้สึกยังไงจะตรงกว่า

(update: อ่านรีวิวหลังจากใช้วิ่งมา ๓๗๐ กิโลเมตร ได้ที่นี่ครับ รีวิว nike free 4.0 flyknit 2015 หลังวิ่งรวม ๓๗๐ กิโลฯ)

เอาตรงที่มาก่อน nike ออกแบบรองเท้ารุ่น free มาเพื่อจับกลุ่มนักวิ่งที่อยากได้ฟีลในการวิ่งแบบเท้าเปล่า (barefoot) ซึ่งเป็นกระแสที่มาแรงมากเมื่อสักห้าหกปีก่อน กระแสที่ว่านี้เริ่มมาจากหนังสือเล่มเดียวเลย คือ Born to Run เขียนโดยคุณพี่ Christopher McDougall (ชื่อหนังสือเต็ม ๆ ยาวกว่านี้ ถ้าใครสนใจลองเสิร์ชดูนะฮะ ใส่ชื่อหนังสือกับชื่อคนเขียนไปแค่นี้ เจอแน่นอน) คอนเซ็ปต์ไอเดียของหนังสือเล่มนี้ก็คือ จริง ๆ แล้ว มนุษย์เราเกิดมาเพื่อวิ่งเท้าเปล่า หรือมีรองเท้าบาง ๆ รองฝ่าเท้าก็พอแล้ว

แต่พออุตสาหกรรมรองเท้าวิ่งยุคใหม่เริ่มถือกำเนิดขึ้น (อันนี้เขาบอกว่าประมาณปี ๒๕๑๕) ก็เริ่มมีการพัฒนาพื้นรองเท้าให้รองรับแรงกระแทกโน่นนี่นั่น มีการหนุนพื้นให้หนาขึ้น แต่กลายเป็นว่ามีนักวิ่งจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง คุณพี่แมกดูกัลล์ก็เป็นหนึ่งในนั้นและเมื่อศึกษามากเข้าก็ลงความเห็นว่า เป็นเพราะรองเท้าวิ่งนี่เอง ที่มันฝืนธรรมชาติของเท้าและการวิ่งตามธรรมชาติของคน

พอเป็นอย่างนี้ก็เลยเกิดเป็นกระแส (หรือบางคนก็เรียกว่าเป็นลัทธิ) หันมาใช้รองเท้าที่พื้นไม่หนามาก วัสดุไม่เยอะ นัยว่าเพื่อให้เท้าเป็นอิสระและเป็นธรรมชาติมากที่สุด (ถ้าไปเจอในบางเว็บว่า minimalist shoes เขาหมายถึงรองเท้าแบบนี้นี่แหละ) หรือบางคนแม่มก็เอ็กซ์ตรีมสุดขั้ว วิ่งตีนเปล่ากันเลยก็มี อันนี้ว่ากันตามถนัด แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนออกมาเตือน ๆ ว่า รองเท้าแบบนี้อาจทำให้เท้าบาดเจ็บได้ เพราะการห่อหุ้มและปกป้องเท้ามีน้อย เพราะฉะนั้นใครที่จะมาทางนี้จึงควรที่จะค่อย ๆ ปรับ ไม่ใช่พรวดพราดเปลี่ยนมาเลย

ทาง nike เองก็เตือนเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเหมือนกัน โดยในกล่องรองเท้ารุ่นนี้เมื่อเปิดฝาออกมาจะเจอสติกเกอร์คำเตือนแปะเอาไว้ที่ฝากล่องด้านใน (ขอไม่แปลนะฮะ)

nike free warning stickerลงให้ดูทั้ง ๓ ภาษา ใครถนัดภาษาไหนเชิญตามสะดวก

รุ่นนี้ตัววัสดุด้านบนของรองเท้าทำจากเส้นใยที่ถักขึ้นรูปขึ้นมา (คือ flyknit) เท่าที่ดูคิดว่าน่าจะเป็นชิ้นเดียวเลย น้ำหนักเบา กระชับเท้า นุ่มและระบายได้ดี (nike บอกว่ารุ่นนี้จะวิ่งแบบไม่ใส่ถุงเท้าก็ได้นะ) เท่าที่ลองดึง ๆ ดู จะยืดหยุ่นได้นิดหน่อย ยกเว้นบริเวณสีดำที่เป็นรู ๆ ตรงหน้าเท้า ตรงนั้นจะยืดได้เยอะกว่าบริเวณอื่น

flyknitดูกันชัด ๆ กับวัสดุที่เรียกว่า flyknit ยืดได้นิดหน่อย ยกเว้นส่วนที่สีดำนั่นยืดได้เยอะกว่า

รุ่นนี้ถ้าเทียบกับคู่เดิม (new balance minimus road 10V2) ช่วงหน้าเท้าจะแคบกว่าคู่เดิม ก่อนใส่ก็กังวลนิด ๆ ว่าจะอึดอัดมั้ย พอใส่จริงรู้สึกกระชับดี แล้วก็ไม่อึดอัดนะ อันนี้คิดว่าเป็นผลมาจากอี flyknit นี่แหละที่ยืดหยุ่นได้นิดนึง อีกเรื่องที่แปลกใจก็คือ ของคู่เดิมใส่เบอร์ ๑๑ US แต่คู่นี้แค่เบอร์ ๑๐.๕ เพราะฉะนั้นใครที่สนใจก่อนซื้ออาจจะต้องลองกันให้ดีก่อน ไม่งั้นไซส์อาจไม่พอดี

คู่นี้ตอนที่ลองมีสิ่งที่ไม่ชินนิดหน่อย (ตอนนี้ก็ยังไม่ชิน) คือ รู้สึกว่าบริเวณช่วงกลางฝ่าเท้ามีอะไรมาหนุนอยู่นิดนึง ที่รู้สึกอย่างนี้ก็เพราะพื้นรองเท้าคู่เดิมมันบางมาก เหมือนไม่ค่อยมีอะไรหนุนฝ่าเท้าเท่าไหร่ คู่นี้จะมีมากกว่า

nike free 4.0 flyknit

ทีนี้ก็มาถึงตอนวิ่งจริง ซื้อมาวันเสาร์ ใส่วิ่งครั้งแรกเช้าวันอาทิตย์ วิ่งกิโลฯ แรกเวลาออกมาตกใจเลย ๕.๒๖ นาที นี่ไม่รู้ว่าเพราะหยุดวิ่งมาหลายวัน กลับมาวิ่งเลยกะจังหวะไม่ถูก หรือเพราะเห่อรองเท้าใหม่เลยกดซะ หรือว่าเป็นผลมาจากตัวรองเท้าเอง แต่ทำเวลาเท่านี้ไม่ได้มาตั้งนานแล้ว ตอนเกือบสองปีก่อนที่ยังวิ่งเยอะ ๆ ยังได้เฉลี่ยอยู่ระหว่าง ๕.๓๕ ถึง ๕.๕๐ อยู่เลย แต่เอาล่ะ ได้เวลาเท่านี้ก็เป็นสัญญาณที่ดี พอวิ่งกิโลฯ ต่อมาก็เลยชะลอ ๆ หน่อย เพราะต้องคอยปรับท่าวิ่งเรื่องการลงเท้าด้วย

ต่อมาวันจันทร์ วิ่งเป็นครั้งที่สอง เวลากิโลฯ แรกออกมา เหยดดดดดดด ๕.๒๓ นาที อันนี้เริ่มคิดแล้ว เอ๊ะ เพราะกูยังไม่ชินรองเท้า เลยปรับจังหวะไม่ถูกหรือเปล่าวะ กิโลฯ ต่อมาก็เหมือนเมื่อวาน คือ ชะลอลง มาใส่ใจกับจังหวะการลงเท้ามากขึ้น เพราะยังไม่ค่อยชินดี

พักวันนึง วิ่งครั้งที่สามวันพุธ คราวนี้ถึงกับต้องร้อง เจ๊ดเข้!!! แม่มเกินไปละ เวลาออกมา ๕.๑๐ นาที เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย พี่ไม่เชื่อ แค่เปลี่ยนรองเท้า เวลาพี่ขยับขนาดนี้เลยเหรอ เรื่องนี้เล่าสู่กันฟังไว้ก่อน แต่ยังไม่ขอสรุป เดี๋ยวขอเก็บข้อมูลระยะยาวสักนิด รอให้ชินรองเท้าก่อน ได้ผลยังไงจะมาอัปเดตกันอีกที

inside nike free 4.0 flyknitแผ่นรองเท้าด้านใน (ถอดออกได้) เขียนไว้ชัดเจนว่าเป็น Barefoot Ride นะฮะ

สำหรับเรื่องความรู้สึกของการใช้งาน รู้สึกได้ชัดว่าเท้ามีอะไรรองรับมากขึ้น (เมื่อเทียบกับคู่เดิม) การปรับท่าวิ่งให้เอากลางเท้าลงรู้สึกว่าทำได้ง่ายกว่าคู่เดิม คู่นี้ถ้าดูข้อมูลน้ำหนักจะมากกว่าคู่เดิมนิดนึงแต่ตอนใช้งานจริงก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แล้วก็มีสิ่งที่ยังไม่ชินอย่างที่บอกไปแล้วคือ รู้สึกมีอะไรหนุนตรงช่วงกลางฝ่าเท้าอยู่ บอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี เอาเป็นว่าไม่ชินนะฮะ…

หมายเหตุ : แจ้งเอาไว้นิดนึงเผื่อใครสงสัย รองเท้าคู่นี้ซื้อเองด้วยเงินตัวเอง ไม่ได้ฟรี ไม่ได้ส่วนลดพิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น (สลิปบัตรเครดิตยังอยู่เลย) เพราะฉะนั้นไม่มีไทอินแน่นอนฮะ

nike free 4.0 flyknit

มาวิ่งกันเถอะ

nike free 4.0 flyknit

ผมเพิ่งซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จะเอามาใช้แทนคู่เดิมที่โทรมไปตามการใช้งาน (พื้นสึกส้นก็สึก) จะว่าไปจริง ๆ ก็ยังใช้ได้อยู่หรอก แต่คนเราบางครั้งก็พ่ายแพ้ให้แก่กิเลสบ้างเหมือนกัน ก็ได้แต่แก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ ว่า เอาวะ ถึงจะจ่ายเงินไปหลายพันแต่ก็เอามาใช้งานจริง ๆ แถมยังใช้เพื่อสุขภาพด้วย ดีกว่าเอาไปทำอย่างอื่นน่า

ข้อแก้ตัวนี้เป็นเรื่องจริง ต้องเล่าย้อนหลังกันนิดนึงว่า แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยออกกำลังกายแบบจริงจังได้เลย จนกระทั่งเมื่อประมาณสามหรือสี่ปีก่อนที่เริ่มมาคิดว่า ถ้าหาก (กู) ไม่ทำอะไรกับสุขภาพตัวเองซะบ้าง แก่ตัวไปเกิดเป็นโรคอะไรขึ้นมาท่าจะลำบาก ต่อให้บรรลุเป้าหมายมีอิสรภาพทางการเงิน แต่นอนพะงาบอยู่บนเตียงตลอดวันนี่ไม่ไหวแน่ คิดได้อย่างนี้ก็เลยเกิดลูกฮึดที่จะออกกำลังกายขึ้นมา

หมายเหตุ ๑ : ข้อความหลังจากนี้เป็นความเชื่อของผมล้วน ๆ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือคล้อยตาม บางเรื่องอาจมีเหตุผลรองรับ บางเรื่องก็ไม่มี แต่ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความคิดกันนะฮะ

หลังจากคิดสะระตะอะไรหลายอย่างแล้ว สรุปว่า วิ่งนี่แหละวะน่าจะดีที่สุด ด้วยเหตุผลว่า หนึ่ง เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (ไม่อธิบายนะฮะ ลองเสิร์ชดูเอาเอง) สอง ได้เหงื่อ (อันนี้สำคัญ เพราะเคยไปหัดโยคะแล้วเจอปัญหาว่า เล่นแล้วเหงื่อไม่ออก รู้สึกมันอึดอัดมาก อารมณ์เหมือนคนปวดขี้แต่ขี้ไม่ออก ประมาณนั้น – แต่จริง ๆ โยคะนี่ก็ดีนะ)

สาม ถูก (หรือจะว่าประหยัดก็ได้) ใช้เสื้อยืดที่มีอยู่แล้ว กางเกงขาสั้นก็มี ซื้อรองเท้าดี ๆ คู่เดียวก็พอ ค่าสนามค่าสระไม่ต้องเสีย ค่าลูกไม่มี สี่ เล่นคนเดียวได้ นี่ก็จำเป็น เพราะทุกวันนี้ไม่มีใครคบ จะเล่นอะไรที่เป็นกลุ่มเป็นทีมกว่าจะนัดกันได้ครบ เหนื่อยกว่าอีก จะออกไปวิ่งนี่จะไปตอนเช้าก็ได้ เย็นก็ได้ ไม่ต้องรอใคร ห้า สะดวก ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล วิ่งในหมู่บ้านได้เลย ไม่ต้องกลัวเจอโจทย์ หรือจะมีใครดักตีหัว ได้ห้าข้อนี่ก็พอล่ะ

ข้อสี่กับข้อห้านี่สำคัญมาก โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้น ลองไปถามคนรอบตัวดูเถอะอย่างน้อยต้องมีสักครึ่งนึงแหละที่บอกว่าอยากจะออกกำลังกาย แต่ที่ไม่สามารถทำได้เพราะปัจจัยที่คอยขัดขวางมันเยอะ บ้างก็ไม่มีเวลา บ้างก็ไม่มีเพื่อน บางคนไม่มีอุปกรณ์ บางคนสนามอยู่ไกล บางคนเจอแม่มหลายอย่างที่ว่ามานี่เลย สรุปว่าอยากทำแต่ไม่ได้ทำซักที เพราะอย่างนี้ก็เลยต้องพยายามหาวิธีออกกำลังกายอะไรที่มีปัจจัยขัดขวางน้อยที่สุด เพื่อให้เริ่มได้ง่ายและทำได้ต่อเนื่อง อันนี้ก็แล้วแต่วิธีใครวิธีมันนะฮะ

ได้ข้อสรุปมาแบบนี้ แต่เพื่อความแน่ใจมันก็ต้องลองดูก่อน เพื่อเป็นการเช็ก proof of concept ก็เลยไปซื้อรองเท้าวิ่งธรรมดา ๆ มาคู่นึง เอาแบบไม่แพง ไม่เกินสองพัน เพื่อที่ว่าถ้าลองวิ่งแล้วไม่ใช่จะได้ไม่เสียดายเงิน ก็ซื้อ new balance มาใช้เพราะได้ยินว่า มีไซส์ที่หน้าเท้ากว้าง วิ่งแล้วจะได้ไม่รัด ไม่อึดอัด ลองวิ่งดูได้สักอาทิตย์ก็ใช่แล้วเว้ย วิ่งนี่แหละ รอดแน่

พอตัดสินใจว่าจะวิ่ง มันก็น่าจะจบแต่ยังไม่จบ เพราะมีเสียงเตือนกันเยอะเรื่องอายุเริ่มเยอะมาวิ่งให้ระวังเข่าจะมีปัญหา ทีนี้ก็จำได้ว่า เมื่อหลายปีก่อนมีพี่ที่สำนักเดียวกันทำบทความการออกกำลังกายของผู้บริหารคนไทยที่อยู่ธนาคารต่างชาติคนนึง ตอนนั้นแกอายุห้าสิบกว่าแล้วมั้ง แกออกกำลังกายด้วยการวิ่งแล้วแกบอกว่า มันมีวิธีที่วิ่งแล้วไม่เป็นอันตรายกับเข่า คือ วิ่งอย่าเอาส้นเท้าลง ซึ่งแกต้องฝึก พอฝึกได้แล้วทีนี้ก็สบาย วิ่งได้วิ่งดี

ปัญหาคือ แกไม่ได้บอกว่าฝึกยังไง (ฟระ?) ก็เลยเสิร์ชเอาในเน็ต เสิร์ชไปเสิร์ชมาก็เจอข้อมูลผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย Harvard ว่า การวิ่งโดยเอาเท้าส่วนหน้าหรือกลางเท้าลงพื้น (เขาเรียกงี้เปล่าไม่รู้นะ แปลมาจาก forefoot strike หรือ midfoot strike) จะมีแรงที่เกิดขึ้นน้อยกว่าการเอาส้นเท้าลง (heel strike) ซึ่งอาจจะ (อาจจะนะ) ส่งผลให้มีโอกาสบาดเจ็บน้อยลงตามไปด้วย

ดูข้อมูลพวกนี้แล้ว ก็เชื่อตามเค้านะ ทีนี้พอจะวิ่งแบบนี้มันก็ต้องหารองเท้าวิ่งที่เหมาะกับสไตล์นี้ด้วย เพราะรองเท้าวิ่งส่วนใหญ่ที่ขายกันอยู่ทำมาเน้นให้วิ่งเอาส้นเท้าลง (พวกที่มีส้นหนา ๆ ที่เอาไว้รองรับแรงกระแทกทั้งหลาย) ซึ่งมันไม่เอื้อกับการวิ่งแบบเอาหน้าเท้าหรือกลางเท้าลง นี่เองจึงเป็นที่มาของการหาข้อมูลรองเท้าก่อนซื้อ

เลือกไปเลือกมาสุดท้ายเหลือสองตัวเลือกต้องไปลองของจริงคือ new balance minimus road 10V2 กับ nike free 4.0 ลองใส่ทั้งสองคู่ วิ่งอยู่ในซูเปอร์สปอร์ต คนแม่มก็มอง ไอ้ห่านี่ทำอะไร เราก็ไม่สนใจ กูมาซื้อรองเท้าวิ่ง กูก็ต้องลองวิ่งสิวะ สุดท้ายตัดสินใจเลือก new balance เพราะถูกกว่า เฮ้ย ไม่ใช่ เพราะใส่สบายกว่า แล้วที่สำคัญ แม่มโคตรเบา เบามากกกกกกก ตอนหาข้อมูลซื้อคู่ใหม่นี่ยังไม่เจอคู่ไหนเบาได้เท่าคู่นี้อีกเลยนะ ทั้งสองข้างหนักรวมกัน ๑๘๔ กรัม ข้างนึงไม่ถึงขีดอ่ะ

newbalance minimus road 10v2สภาพปัจจุบัน วิ่งมาแล้วพันกว่ากิโลฯ

ใช้รองเท้าคู่นี้มาตลอด รวมระยะแล้วพันกว่ากิโลฯ จนกระทั่งมีเหตุให้หยุดวิ่งไปปีกว่า ๆ ช่วงนี้กลับมาวิ่งใหม่ก็เกิดกิเลส จริง ๆ คู่นี้ก็ยังใช้ได้อยู่แหละ แต่อยากได้คู่ใหม่ไง เลยมานั่งหาข้อมูลอีกรอบ ทีแรกก็ว่าจะเอารุ่นใหม่ของคู่เดิมคือ minimus road 10V3 แต่เท่าที่เช็กดูไม่เห็น new balance เอารุ่นนี้เข้ามาขาย ก็กลับมาหาข้อมูลใหม่ เลือกไปเลือกมาดูสารพัดยี่ห้อ เปิดดูเว็บรีวิวเว็บโน้นเว็บนี้ ดู youtube เปรียบเทียบ เลือกคู่เปรียบมาได้สองรุ่น เหมือนรีแมทช์ครั้งที่แล้วเลยนะ เพราะอันดับหนึ่งที่จะไปลองเป็น new balance 1500 เบอร์สองเป็น nike free 4.0 flyknit ไปถึงซูเปอร์สปอร์ต พนักงานบอกไม่มี รุ่นนี้ไม่ได้เอาเข้ามา เราก็อะไรวะ เดินออกไปที่ช็อป พนักงานก็บอกว่าไม่มีเหมือนกัน อ้าวเลยทีนี้

nike_4_flyknit_2สีสองข้างไม่เหมือนกันซะทีเดียว พนักงานบอกว่า อันนี้ปกติ

nike free 4.0 flyknit outsoleอันนี้พื้นรองเท้า ที่เห็นดำ ๆ นั่นไม่ใช่อะไร เอาไปวิ่งมาแล้วครั้งนึงฮะ

สุดท้ายเดินเข้าช็อป nike กะว่าไปลองดูก่อน ถ้าไม่ชอบก็ไม่เอา แต่ปรากฎว่าชอบแฮะ ก็เลยเรียบร้อยโรงเรียน nike ไปด้วยประการฉะนี้…

หมายเหตุ ๒ : ที่เล่ามายืดยาวนี่ไม่ได้มีเจตนาจะอวดอะไร แค่อยากบอกเล่าวิธีคิดที่มาออกกำลังกายด้วยการวิ่งและวิธีคิดในการซื้อรองเท้าวิ่ง รวมทั้งข้อมูลที่หามาได้ เผื่อว่าใครที่กำลังคิดจะซื้อรองเท้าวิ่งอยู่พอดีจะได้ประหยัดเวลาหรือเอาไปต่อยอดอะไรได้นะฮะ

หมายเหตุ ๓ : จะเห็นได้ว่าอะไรบางอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่เราตั้งใจ เราอุตส่าห์วางแผน หาข้อมูลมาอย่างดิบดี บางทีมันก็มีเหตุให้ไม่เป็นไปตามที่หวังและตั้งใจได้เสมอ เหมือนอย่างที่พระท่านบอกว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เรื่องนี้ฝรั่งมันถึงกับสรุปออกมาเป็นกฎเลยนะ เรียกว่า Murphy’s Law บอกว่า Anything that can go wrong, will go wrong. แปลเป็นไทยแบบเด็กบ้านนอกอย่างผมได้ว่า อะไรที่แม่มจะผิดพลาดได้ แม่มก็จะผิดพลาดจนได้แหละน่า พอเรารู้อย่างนี้ สิ่งที่ตามมาก็คือ การวางแผนสำรอง มีแผนสองเตรียมเอาไว้กรณีที่แผนแรกมันไม่เป็นอย่างที่คิด จังหวะจะได้ไม่สะดุด นั่นล่ะฮะ ท่านผู้ชมฮะ

หมายเหตุ ๔ : อันนี้เป็นเก็บตกจากการหาข้อมูล ได้ยินมาหลายเสียงว่ารองเท้ายี่ห้อนึงดีมาก ๆ ใช้ gel ในการซับแรงกระแทก ชูเรื่องนี้เป็นจุดขาย ก็เลยนั่งหาข้อมูล ปรากฎว่า ตึ่งโป๊ะ!!

ไปเจอเว็บรีวิวรองเท้าวิ่งที่ลงทุนผ่ารองเท้ายี่ห้อนี้ให้ดูว่า gel ที่ว่าดีน่ะยังไง ยังไงจ๊ะ ผลที่ได้คือตามรูปจ้ะ

ฝรั่งใช้คำว่า marketing scam นะฮะ คือใช้ gel ก้อนเท่าขี้แมวอยู่สองก้อนเท่าที่เห็นนั่นล่ะ อารมณ์ประมาณเราเห็นโฆษณาแฮมเบอร์เกอร์ทางทีวี เนื้องี้ฉ่ำ juicy มาก ผักก็ดูสดกรอบน่ากินอิ๊บอ๋าย พอไปถึงที่ร้าน เฮ้ย เนื้อไหงมันแห้งงี้อ่ะ ผักก็เหี่ยว อี๋เลย

แต่ถึงยังงั้นนะในส่วนที่ด่าคนรีวิวมันก็ด่า แต่ก็สรุปให้คะแนนออกมาในเกณฑ์ดีใช้ได้ เพราะอย่างอื่นมันก็โอเคอยู่

พี่เปี๊ยก มอเตอร์ไซค์วิน และการสร้างความสามารถในการแข่งขัน

ทุกวันนี้ผมเดินทางมาทำงานโดยใช้บริการพี่วินมอเตอร์ไซค์เจ้าประจำ สมมุติว่าแกชื่อ พี่เปี๊ยก นะฮะ แต่เดิมก็ไม่ได้เป็นลูกค้าประจำอะไรกันหรอก ผมออกมายืนรอเรียกมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งผ่านไปผ่านมาหน้าหมู่บ้านให้ไปส่งตามปกติทั่วไป ซึ่งพี่เปี๊ยกก็เป็นหนึ่งในพี่วินที่ได้ใช้บริการกันมา

ทีนี้ด้วยความที่แต่ละวันผมจะออกจากบ้านในเวลาใกล้ ๆ กัน สักพักพี่เปี๊ยกแกก็จำได้ แกจะมาจอดรออยู่ที่หน้าหมู่บ้านเพื่อไม่ให้พลาด แต่มันก็มีบางวันที่พลาดเหมือนกัน เพราะบางทีก็มีลูกค้าเรียกไปส่งตลาดใกล้ ๆ แล้วกลับมาไม่ทัน ผมเรียกพี่วินคันอื่นไปแล้ว

วันนึงพอวิ่งมาส่งผมถึงที่ทำงาน แกก็เปิดหมวกออกมาคุยว่า “พี่ (ผมเรียกแก พี่ แกเรียกผม พี่ ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน) พี่ออกเวลาเดิมทุกวันอย่างนี้ ผมมารับประจำให้เลยดีกว่า พี่จะได้ไม่ต้องมายืนเรียกหน้าหมู่บ้าน”

ฟังข้อเสนอพี่เปี๊ยกแล้วผมก็ตอบตกลง เพราะ หนึ่ง สะดวก ไม่ต้องมายืนเรียกรถอย่างที่แกบอก แล้วถ้าไม่ใช่เจ้าที่เคยไปส่งกันมาก่อนนี่ต้องบอกจุดหมาย บอกราคากันก่อน แล้วยังต้องคอยบอกทางด้วย มีเจ้าประจำมันสะดวกดี สองก็คือ พี่เปี๊ยกแกขี่รถเซฟมาก ไม่ได้ช้าจนขัดใจ แต่ก็ไม่ได้ฉวัดเฉวียนหรือเร่งแซงในจังหวะหวาดเสียวจนเราต้องจับเบาะกันมือเกร็ง แถมจะเบรคจะออกตัวก็นุ่มนวลดี ไม่ได้เป็นประเภทที่ออกตัวทีกระชากจนหน้าหงาย

อีกอย่างก็คือ แกใส่ใจ อย่างเวลาขี่ผ่านถนนที่มีน้ำเฉอะแฉะแกจะชะลอผ่านไปช้า ๆ ไม่ใช่ระวังรถลื่นล้มอย่างเดียว แต่ระวังไม่ให้น้ำดีดมาเปื้อนขากางเกงหรือกลางหลังเราด้วย อันนี้ดีจนรู้สึกได้

จากวันนั้นก็ใช้บริการเป็นเจ้าประจำกันมาสองสามปีได้แล้ว ซึ่งถ้าวันไหนผมมีธุระต้องเข้าออฟฟิศก่อนเวลาปกติก็โทรไปถามแกได้ว่าสะดวกมั้ย? ถ้าแกไม่ติดลูกค้าประจำคนอื่น มาได้ แกก็มา ตรงเวลานัดไม่เคยพลาด ถ้ามาไม่ได้บางทีมีบอกให้น้องเขยแก (ที่เป็นพี่วินเหมือนกัน) มารับแทนก็มี หรือถ้าวันไหนแกไปส่งลูกค้าขาประจำคนก่อนหน้าแล้วเจอรถติดดูแล้วไม่น่าจะกลับมาทัน แกก็จะโทรมาบอกก่อน วันไหนติดธุระหรือไม่วิ่งก็โทรมาบอกก่อนทุกครั้งไป คิดว่าถ้าไม่มีเหตุอะไรก็คงใช้บริการกันต่อไปไม่เปลี่ยนเจ้าแล้วล่ะ

ที่เล่ามานี่นอกจากจะให้อ่านเพลิน ๆ แล้ว จะให้เห็นว่า ไม่ว่าจะทำอาชีพไหน ตำแหน่งอะไร เราก็สามารถสร้างความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) ขึ้นมาได้เสมอ เพียงแต่ว่าความสามารถในการแข่งขันที่ว่า ประการแรกคือ ต้องอิงอยู่กับลูกค้า (หรือคนใช้บริการ) เป็นหลัก ต้องเป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์เขา ไม่ใช่ตอบโจทย์เรา เหมือนอย่างที่พี่เปี๊ยกมาเสนอเป็นเจ้าประจำ จริงอยู่ที่แกจะได้ลูกค้าประจำ แต่มันก็ตอบโจทย์เราที่ไม่ต้องไปยืนรอเรียกรถหน้าหมู่บ้าน ไม่ต้องต่อราคา และไม่ต้องคอยบอกทาง

ประการที่สอง ต่อให้เสนอโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้แล้ว แต่สินค้า/บริการไม่ได้เรื่อง ไม่ประทับใจ ไม่เป็นมืออาชีพ ลูกค้าใช้แล้วก็ไม่ใช้ซ้ำ สุดท้ายก็เสียลูกค้าอยู่ดี อันนี้คือความเป็นมืออาชีพของพี่เปี๊ยกที่ขี่รถดี ตรงเวลา วันไหนไม่มาหรือมาไม่ทันก็มีโทรมาบอกก่อน ไม่ได้คิดที่จะเอาแต่ประโยชน์ของตัวเองจนเราเสียหาย

การที่พี่เปี๊ยกแกทำอย่างนี้มันก็ส่งผลจริง ๆ เพราะนอกจากผมแล้ว แกยังมีลูกค้าประจำตอนเช้าอีกสามเจ้า มีทั้งนักเรียน คนทำงาน วิ่งต่อเนื่องกัน เป็นรายได้ประจำแน่นอนก่อนที่จะไปเข้าวิน

ขี่มอเตอร์ไซค์วินใครก็ขี่ได้ แต่มอเตอร์ไซค์วินทุกคนเป็นอย่างพี่เปี๊ยกไม่ได้

ถ้ามอเตอร์ไซค์วินสร้างความสามารถในการแข่งขันของตัวเองขึ้นมาได้ อาชีพอื่นก็ทำได้นะ ถ้าตั้งใจ…

สดุดี (คนอื่น) : หนังสือ (เล่มแรก) ของหม่อมเต่า

สดุดี (คนอื่น) - ปกหน้าปกหน้าดูเรียบ ๆ แต่มีลูกเล่นซ่อนอยู่ (ดูท้ายโพสต์)

ชื่อ หม่อมเต่า (หรือ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล) หายไปจากแวดวงสื่อ ทั้งหน้าหนังสือพิมพ์และทีวีมานานหลายปี แต่ถ้าเป็นคนวัยใกล้ ๆ ๔๐ ขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอยู่ในแวดวงเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง (รวมทั้งสื่อมวลชน) ด้วยแล้วก็น่าจะยังจำกันได้ดีในฐานะที่หม่อมเต่าเป็นหนึ่งในน้อยคน (หรืออาจจะแค่คนเดียว อันนี้ยังไม่ได้เช็ค) ของประเทศไทยที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการแบงก์ชาติ (แต่ไม่ได้นั่งควบพร้อมกันนะฮะ) แล้วก็สร้างผลงานเอาไว้พอสมควร

แต่จะว่าไป ชื่อเสียงที่โดดเด่นนำหน้าและเป็นที่เลื่องลือของหม่อมเต่าน่าจะเป็น ฝีปาก ด้วยเหตุที่เป็นคนพูดตรงและดูเหมือนไม่ค่อยจะเกรงกลัวใคร (กิตติศัพท์เรื่องนี้มี urban legend อยู่หลายเรื่อง ซึ่งบางเรื่องได้รับการคอนเฟิร์มจากเจ้าตัวแล้วว่า จริง นะฮะ) แถมยังไม่ค่อยจะได้ยินหม่อมเต่าชมใครนะ

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อหม่อมเต่าลุกขึ้นมาเขียนหนังสือเล่มแรกในชีวิต ซึ่งตามปกติแล้วคนวัยนี้มักจะเขียน (หรือให้คนอื่นเขียน) เพื่อเล่าถึงประวัติชีวิตและคุณงามความดีของตัวเอง แต่ของหม่อมเต่านี่กลับเป็นการเขียนชมคนอื่นล้วน ๆ ทั้งเล่ม จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากว่า คนอย่างหม่อมเต่าจะชมใคร?

ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุลชีวิตนี้ไม่เคยนึกว่าจะเห็นหม่อมเต่าใน looks นี้

หนังสือ สดุดี (คนอื่น) เล่มนี้มีอยู่ ๑๑ บท ตามด้วยบทสัมภาษณ์พิเศษอีกสองคน ชื่อของแต่ละบทที่ตั้งไว้ไม่สามารถเดาได้เลยว่าจะสดุดีใคร อย่างเช่น จักจั่นที่โรงแรมเคมปินสกี้ ความอิสระของแบงก์ชาติ โชติช่วงชัชวาล และภาษีคนรวย ยกเว้นอยู่บทเดียวที่บอกกันโต้ง ๆ คือ สดุดีคุณธารินทร์ (ซึ่งจะเป็นธารินทร์ไหนไปเสียไม่ได้ นอกจากธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็หายไปจากแวดวงสื่อแล้วเหมือนกัน)

ส่วนบทอื่นจะเป็นการสดุดีใครบ้างนั้น อันนี้ต้องลองไปเปิดดูเอง

แรงบันดาลใจของหม่อมเต่าในการเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาก็คือ มีคนที่ทำความดีที่สำคัญจำนวนมากที่ไม่ได้รับการรับรู้ ไม่ได้รับการชื่นชมตามสมควร หม่อมเต่าก็เลยเขียนหนังสือขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจต่อคนที่ทำความดีทุกคนว่า อย่าท้อกับการทำความดี ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนเห็น อย่างที่เอามาเป็นสโลแกนในการโปรโมตหนังสือว่า

ทำความดี อย่าคิดว่าไม่มีใครเห็น

โดยหม่อมเต่าเล่าว่า แต่ละเรื่องที่เขียนขึ้นไม่ได้คิดเอาไว้ก่อนว่าจะสดุดีใคร แต่เลือกเอาจากสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่สำคัญ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศ แล้วจึงค่อยไปตามหาข้อมูลว่า เรื่องนั้น ๆ ใครเป็นคนทำขึ้นมา แล้วก็สดุดีคนนั้นแหละ ซึ่งในบางเรื่องหากมีผู้เกี่ยวข้องมากกว่าหนึ่งก็สดุดีผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

เนื้อหาหลัก ๆ ของแต่ละบทจะเกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง รวมไปถึงความมั่นคง ซึ่งแทบทุกเรื่องมีส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาก้าวหน้า และฝ่าวิกฤติที่สำคัญต่าง ๆ มาจนถึงวันนี้ได้

และด้วยความที่หม่อมเต่าเองมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในเรื่องเหล่านี้ด้วยในฐานะของคนวงใน ที่เข้าใจเหตุผลความเป็นมาของสิ่งที่เกิดขึ้น และเข้าใจความยากลำบากของการที่จะผลักดันสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้ เรื่องเล่าในแต่ละบทจึงสอดแทรกไปด้วยมุมมอง ความคิดเห็น และที่สำคัญคือ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไม่เคยเปิดเผยออกสู่ภายนอกมาก่อน

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้เห็นภาพก็คือ ข้อความที่ปกหลังของหนังสือที่หยิบยกมาจากเนื้อหาภายในเล่ม มีข้อความหนึ่งเขียนว่า

Quote จากสดุดี (คนอื่น)นี่ไม่กล้าพิมพ์เอง กลัวโดนเรียกไปปรับระดับน้ำในหู ก็เลยเอารูปมาลงให้เห็นว่าไม่ได้เขียนเองนะฮะ

หรือ ข้อความนี้

Quote จากสดุดี (คนอื่น)

ถ้าถามถึงจุดขายของหนังสือเล่มนี้ ประการแรกก็คือ ตัวผู้เขียนเอง ที่มีโปรไฟล์เป็นที่รู้จักกันดีทั้งในแง่ชีวิตการทำงานและกิตติศัพท์ส่วนตัว

ประการต่อมา คนที่มีโปรไฟล์ระดับนี้อุตส่าห์เขียนหนังสือเพื่อชมคนอื่นทั้งที ก็น่าสนใจว่าคนเหล่านั้นจะเป็นใครและได้ทำอะไรลงไป

อีกประการหนึ่ง ต่อให้ไม่สนใจว่าผู้เขียนจะชมใคร แต่เรื่องราวที่กล่าวถึงในหนังสือก็เป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศไทยในช่วง ๓๐-๔๐ ปีที่ผ่านมา การได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้จะทำให้เข้าใจได้ว่า ประเทศไทยในวันนี้ส่วนหนึ่งมีที่มาจากอะไร

ประการสุดท้าย คงมีน้อยคนที่อุตส่าห์ลงแรงเขียนหนังสือเพื่อสดุดีคนอื่น แล้วยังออกเงินส่วนตัวเพื่อพิมพ์ออกมาให้คนได้อ่านกัน แถมยังตั้งใจว่าจะเอาเงินทุกบาทที่ได้จากการขายหนังสือเล่มนี้ไปบริจาคเพื่อการกุศลอีกด้วย

นี่ได้ยินว่าพิมพ์ครั้งแรก ๕,๐๐๐ เล่มหมดตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวนะ

ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะครับ ❤

สดุดี (คนอื่น)ปกหน้าดูตรง ๆ ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่พอเอียงให้แสงตกกระทบจะเห็นความแวววาวที่เป็นลูกเล่นซ่อนอยู่

 

สดุดี (คนอื่น) - ปกหลัง

 

สดุดี (คนอื่น)
ผู้เขียน : ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล
ราคา : ๒๓๕ บาท

 

ติดตาม What We Read Blog อีกหนึ่งช่องทางได้ที่ https://www.facebook.com/WhatWeReadBlog ครับ

หนังสือ “ต้องอ่าน” ของ Richard Branson

Richard Branson of Virgin Group
ภาพจาก virgin.com

เมื่อหลายวันก่อน คุณพี่ Richard Branson มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ ผู้ก่อตั้ง Virgin Group ออกมาโพสต์รายชื่อหนังสือ ๖๕ เล่มที่ไม่ควรพลาด ในรายการนี้มีหนังสือหลากหลาย ทั้งนิยายคลาสสิก นิยายวิทยาศาสตร์ หนังสือเด็ก ชีวประวัติบุคคลสำคัญ หนังสือด้านการบริหาร ฯลฯ สารพัดมาก เอามาลงไว้เผื่อใครสนใจจะไปตามอ่านดูบ้างนะครับ

๑.            Where the Wild Things Are – Maurice Sendak

๒.            Tales of the Unexpected – Roald Dahl

๓.            George’s Marvellous Medicine – Roald Dahl

๔.            The Adventures of Huckleberry Finn – Mark Twain

๕.            Oh, The Place You’ll Go – Dr Seuss

๖.            Peter Pan – J. M. Barrie

๗.            The Jungle Book – Rudyard Kipling

๘.            The Adventures of Tom Sawyer – Mark Twain

๙.            Swallows and Amazons – Arthur Ransome

๑๐.          The Hitchhiker’s Guide To The Galaxy – Douglas Adams

๑๑.          Treasure Island – Robert Louis Stephenson

๑๒.          The Hobbit – JRR Tolkien

๑๓.          Jurassic Park – Michael Crichton

๑๔.          Twenty Thousand Leagues Under the Sea – Jules Verne

๑๕.          1984 – George Orwell

๑๖.          Great Expectations – Charles Dickens

๑๗.          The Quiet American – Graham Greene

๑๘.          The Dice Man – Luke Rhinehart

๑๙.          Shantaram – Gregory Roberts

๒๐.          One Hundred Years of Solitude – Gabriel Garcia Marquez

๒๑.          Mountains Beyond Mountains: The Quest of Dr. Paul Farmer, A Man Who Would Cure the World – Tracy Kidder

๒๒.          The Outermost House – Henry Beston

๒๓.          Wild Swans: Three Daughters of China – Jung Chang

๒๔.          Stalingrad: The Fateful Siege – Antony Beevor

๒๕.          The Right Stuff – Tom Wolfe

๒๖.          In the Heart of the Sea: The Tragedy of the Whaleship Essex – Nathaniel Philbrick

๒๗.          I Know Why the Caged Bird Sings – Maya Angelou

๒๘.          Travels with Charley – John Steinbeck

๒๙.          Long Walk to Freedom: The Autobiography of Nelson Mandela – Nelson Mandela

๓๐.          Mao: The Unknown Story – Jung Chang

๓๑.          A Full Life: Reflections at Ninety – Jimmy Carter

๓๒.          No Future Without Forgiveness – Desmond Tutu

๓๓.          Longitude: The True Story of a Lone Genius Who Solved the Greatest Scientific Problem of His Time – Dava Sobel

๓๔.          Mandela’s Way: Lessons on Life, Love, and Courage – Stengel

๓๕.          Limitless: Leadership That Endures – Ajaz Ahmed

๓๖.          Originals: How Non-Conformists Move the World – Adam Grant

๓๗.          If I Could Tell You Just One Thing: 50 of the world’s most remarkable people pass on their best piece of advice – Richard Reed

๓๘.          Remote: Office Not Required – Jason Fried

๓๙.          Start With Why – Simon Sinek

๔๐.          101 Reasons to Get Out of Bed – Natasha Milne

๔๑.          Letters to a Stranger: A publishing project in aid of MIND – Various

๔๒.          Self Belief: The Vision – Jamal Edwards

๔๓.          The Meaning of the 21st Century – James Martin

๔๔.          Happiness: A Guide to Developing Life’s Most Important Skill – Matthieu Ricard

๔๕.          A Time for New Dreams – Ben Okri

๔๖.          A Brief History of Time – Stephen Hawking

๔๗.          The Overview Effect: Space Exploration and Human Evolution – Frank White

๔๘.          Beyond The Blue – Jim Campbell

๔๙.          Abundance: The Future Is Better Than You Think – Peter Diamandis

๕๐.          Cosmos – Carl Sagan

๕๑.          The Weather Makers: How Man Is Changing the Climate and What It Means for Life on Earth – Tim Flannery

๕๒.          Big World, Small Planet – Johan Rockström and Mattias Klum

๕๓.          An Inconvenient Truth: The Planetary Emergency of Global Warming and What We Can Do About It – Al Gore

๕๔.          Necker: A Virgin Island – Russell James

๕๕.          Lost Ocean – Johanna Basford

๕๖.          Arctica: The Vanishing North – Sebastian Copeland

๕๗.          In Patagonia – Bruce Chatwin

๕๘.          Into Thin Air: A Personal Account of the Mt. Everest Disaster – Jon Krakauer

๕๙.          The World Without Us – Weisman

๖๐.          In-N-Out Burger: A Behind-the-Counter Look at the Fast-Food Chain That Breaks All the Rules – Stacy Perman

๖๑.          In Defense of Food: An Eater’s Manifesto – Michael Pollan

๖๒.          Fast Food Nation: The Dark Side of the All-American Meal – Eric Schlosser

๖๓.          Just Mercy: A Story of Justice and Redemption – Bryan Stevenson

๖๔.          Lean In – Sheryl Sandberg

๖๕.          Ending the War on Drugs – ผู้เขียนหลายคน

ใครสนใจเล่มไหนก็ลองดูนะครับ ❤

 

ติดตาม What We Read Blog ทาง facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/WhatWeReadBlog ครับ

นิตยสาร Corporate Thailand ซีพีกินรวบประเทศไทย

นิตยสาร Corporate Thailand ฉบับปฐมฤกษ์ เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๙
นิตยสาร Corporate Thailand ฉบับนี้เป็นฉบับแรกที่ออกวางจำหน่าย คือเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๙ นี่ก็เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ต้องบอกว่า ตอนที่ออกมานี่เรียกเสียงฮือฮาได้มากเลยทีเดียว เพราะนอกจากเรื่องจากปกแล้ว นิตยสารฉบับนี้ยังเต็มไปด้วยคอลัมนิสต์ด้านนโยบายและเศรษฐกิจที่เรียกได้ว่าชั้นแนวหน้าที่สุดของประเทศไทยในเวลานั้น

บอกไว้ก่อนว่าแต่ละคนนี่ประวัติการทำงานล้นเหลือมาก ใครอยากรู้ไปเปิดวิกิพีเดียดูเอาเองนะฮะ ไม่ว่าจะเป็น ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช อาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ และดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เห็นชื่อแต่ละคนแล้วต้องบอกว่า ขนาดผ่านมาเกือบ ๒๐ ปียังน่าสนใจ แล้วในเวลานั้นจะขนาดไหน

ในส่วนของเรื่องจากปก ซึ่งได้ไล่เรียงและอธิบายถึงแนวคิดการทำธุรกิจของซีพี รวมถึงการขยายตัวออกไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ นอกเหนือจากธุรกิจเกษตรที่เป็นรากฐานเดิม ไม่ว่าจะเป็นสื่อสาร ค้าปลีก ค้าส่ง และปิโตรเคมี

แต่ธุรกิจของซีพีในวันนั้นกับปัจจุบันอาจต่างกันไปบ้าง เนื่องจากวิกฤติต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๔๐ ทำให้ซีพีต้องปรับตัว โดยจำใจตัดขายบางธุรกิจออกไปก่อนแม้รู้ว่าวันข้างหน้าธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จแน่นอน เช่น โลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจที่กองบรรณาธิการนำมาลงไว้ก็คือ บรรดาสายสัมพันธ์ทั้งหลายของซีพี ที่มีต่อคนในภาครัฐและการเมือง ทั้งที่มีสีและไม่มีสี ความสัมพันธ์นี้น่าจะช่วยอธิบายอะไรได้หลายอย่าง

อ่านชุดเรื่องจากปกแล้วก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไมทีมงานถึงใช้คำโปรยปกว่า ซีพีกินรวบประเทศไทย

นอกจากเรื่องจากปกและคอลัมนิสต์ที่ว่ามาแล้ว ในเล่มนี้ยังมีสัมภาษณ์พิเศษอีกสองคน คือ ดร.สม จาตุศรีพิทักษ์ ผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของดร.สมคิด โดย ณ ขณะนั้นดร.สม เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย (ปัจจุบันถูกธนาคารธนชาตซื้อไปแล้ว) และหลังจากนั้นอีกเพียงปีเดียวได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

บทสัมภาษณ์อีกคนคือ เอกกมล คีรีวัฒน์ อดีตเลขาธิการคนแรกของสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และอดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งพ้นจากตำแหน่งในสมัยรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา เป็นบทสัมภาษณ์ที่คุณเอกกมลมาเล่าถึงชีวิตและความรู้สึกหลังพ้นจากราชการและอยู่ในระหว่างถูกฟ้องดำเนินคดี

เรื่องราวในนิตยสารเล่มนี้หากจะมองว่าเป็นข้อมูลเก่า ล้าสมัย ก็คงได้ แต่การได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ก็ช่วยให้เราเห็นภาพและเข้าใจที่มาที่ไปของเหตุการณ์ในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้มากขึ้นนะครับ

สำหรับนิตยสาร Corporate Thailand ปัจจุบันปิดตัวไปแล้วครับ

 

ติดตาม What We Read Blog ทาง facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/WhatWeReadBlog ครับ