หนังสือแนะนำสำหรับคน (เริ่ม) เล่นหุ้น ตอนที่ ๒

กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ

ตอนที่แล้วแนะนำหนังสือจากผู้เขียนที่เป็นอดีตผู้จัดการกองทุนต่างชาติไปแล้ว (อ่านได้ที่นี่ครับ หนังสือแนะนำสำหรับคน (เริ่ม) เล่นหุ้น) คราวนี้จะแนะนำหนังสือของผู้เขียนชาวไทยกันบ้าง เล่มนี้ชื่อว่า กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ เขียนโดย เทพ รุ่งธนาภิรมย์

หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกออกมาในเดือนมีนาคม ๒๕๔๖ ด้วยยอดพิมพ์ ๑๐,๐๐๐ เล่ม ประสบความสำเร็จขายดีจนต้องพิมพ์ครั้งที่สองตามมาในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันอีก ๑๐,๐๐๐ เล่ม ที่ขายดีขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ และถ้าใครได้ลองหยิบมาพลิกอ่านก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไมถึงขายดี

คุณเทพเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร Corporate Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม ๒๕๔๗ (ภาพปกตามรูปด้านล่าง)  ว่า แนวทางการลงทุนของเขาจะเน้นไปที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลในแต่ละปี โดยอย่างน้อยควรจะได้ในอัตราสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (เพราะถ้าได้น้อยกว่าจะไปเสี่ยงทำไม ฝากเงินเอาก็ได้ ใช่มั้ย?)

ที่เป็นอย่างนี้เพราะเดิมคุณเทพก็เป็นนักลงทุนขาลุยสไตล์รายย่อย (แปลว่า แมงเม่า) ทั่วไปนั่นแหละ แต่หลังจากที่รับประทาน “ต้มยำกุ้ง” หม้อใหญ่เข้าไปในช่วงปี ๒๕๔๐ ทำให้ต้องตัดใจขายขาดทุนไปก้อนโต แกเล่าว่ายังโชคดีที่มีเงินเหลืออยู่บ้าง ก็เลยปรับตัวปรับใจ เอาใหม่ ต้องหาความรู้มากขึ้น

นิตยสาร Corporate Thailand ฉบับสิงหาคม ๒๕๔๗

ประกอบกับคุณเทพตั้งใจว่า หากเกษียณจากการทำงานก็หวังรายได้จากเงินปันผลที่จะเอามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่ต้องไปควักเนื้อเงินก้อนเงินเก็บที่มีอยู่ นี่ก็เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไมแกถึงลงทุนโดยตั้งเป้าไปที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลในแต่ละปี

ในการหาความรู้ของคุณเทพ แกอ่านหนังสือหลายเล่มด้วยกัน และสองเล่มในนั้นคือหนังสือที่เขียนโดยคุณพี่ Peter Lynch คือ One Up On Wall Street (ที่เขียนแนะนำไปครั้งที่แล้ว อ่านได้ที่นี่) และ Beating the Street ซึ่งเป็นเล่มที่แอดวานซ์ขึ้นมาอีกหน่อย เล่มนี้รอเวลาเหมาะ ๆ จะมาแนะนำกันอีกที ใครที่อดใจไม่ไหวจะอ่านก่อนเลยก็ยิ่งดีนะฮะ (บอกแล้วว่า พี่ Lynch แกของแท้ ไม่มีโม้ ไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อสร้างโพรไฟล์มาขายคอร์สฝึกอบรม)

หลังจากที่แกเอาวิชาความรู้ที่ได้มาไปปรับใช้เป็นแนวทางตัวเองและพิสูจน์มาแล้วว่า เออ เฮ้ย ทำได้จริงเว้ย เงินปันผลก็ได้ ราคาหุ้นก็ไม่ขาดทุน แกก็สกัดเป็นเคล็ดวิชามาเขียนเป็นหนังสือเล่มนี้นี่แหละ

จุดเด่นที่สำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ ใช้ภาษาที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย อันนี้สำคัญ บางเล่มอ่านง่ายก็จริง แต่โคตรเข้าใจยากนะ แล้วก็เน้นตามหลักการลงทุนด้านปัจจัยพื้นฐาน ไล่เรียงเรื่องที่สำคัญไปทีละหัวข้อ โดยที่บทท้าย ๆ มีตัวอย่างการพิจารณาจริง หุ้นจริง ตัวเลขกำไรและปันผลจริง (แต่เปลี่ยนชื่อหุ้นซะนิดนึง เพื่อไม่ให้เข้าข่ายชี้นำ) เพื่อให้คนอ่านเห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น

สรุปสั้น ๆ ว่า ใครที่อยากเล่นหุ้น ใครที่เล่นหุ้นแล้วขาดทุน หรือกำไรมั่งขาดทุนมั่งแล้วแต่ดวง หาหนังสือสองเล่มที่แนะนำมาอ่านได้เลยเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเล่นหุ้นอย่างยั่งยืนนะฮะ ขนาดนั้น

และถ้าอ่านเล่มนี้จบแล้วชอบใจ อยากอ่านเล่มสองที่แอดวานซ์ขึ้น ขอเชิญเล่มนี้ครับ วิถีแห่งเซียน หุ้นห่านทองคำ จากผู้เขียนคนเดียวกัน

ขอให้โชคดีครับ ❤

กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำติดตาม What We Read Blog อีกหนึ่งช่องทางได้ที่ https://www.facebook.com/whatwereadblog/ ครับ

นิตยสาร The Wisdom ฉบับพิเศษ สิงหาคม ๒๕๕๙

นิตยสาร The Wisdom ฉบับพิเศษ สิงหาคม ๒๕๕๙นิตยสาร The Wisdom เป็นนิตยสารรายสามเดือนที่ธนาคารกสิกรไทย ทำแจกให้กับลูกค้าในกลุ่ม Wisdom (แปลว่า รวยโคตร) ตามปกติแล้วจะมีธีมของแต่ละฉบับแตกต่างกันไป แต่ฉบับนี้เป็นฉบับพิเศษในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

เนื้อหาในฉบับนี้นอกจากจะมีคอลัมน์ที่เป็นสาระและไลฟ์สไตล์ตามปกติแล้ว จึงมีเพิ่มในส่วนของบทสัมภาษณ์ของผู้คนที่ได้ทำงานใกล้ชิดหรือชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจากพระราชดำริของสมเด็จพระราชินี อาทิ ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์ ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการ หรือสมพร ธรรมวงค์ ชาวอาข่าที่จังหวัดเชียงราย และคุณลุงน้อง เปี้ยวน้อย เกษตรกรนาเกลือที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น

ใครที่สนใจ The Wisdom ฉบับนี้ ง่ายนิดเดียว สอบถามไปที่ธนาคารกสิกรไทยนะฮะ แต่ถ้าไม่ใช่ลูกค้า Wisdom (แปลว่า รวยโคตร) ไม่รู้เขาจะให้หรือเปล่านะฮะ อันนี้คงต้องลองเอง ❤

หนังสือแนะนำสำหรับคน (เริ่ม) เล่นหุ้น

One Up On Wall Street

มีเพื่อนฝูงรวมไปถึงน้องนุ่งบางคนที่มาถามผมต่างกรรมต่างวาระว่า ถ้าจะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ (ต่อจากนี้จะขอเรียกตามที่ติดปากกันว่า “เล่นหุ้น” นะฮะ) จะเริ่มยังไง? จะหาความรู้ยังไง?

ซึ่งทุกครั้งที่เจอคำถามทำนองนี้ผมจะแนะนำหนังสือให้ไปอ่านสองเล่ม จะอ่านเล่มใดเล่มหนึ่งหรือจะอ่านทั้งสองเล่มก็แล้วแต่ถนัด ถือว่าหนังสือสองเล่มนี้เป็นการประเดิมเริ่มต้น พออ่านจบแล้วจะไปหาเล่มอื่นอ่านต่ออันนี้ก็แล้วแต่ความขยันและเอาจริงของแต่ละคน

หมายเหตุ : บอกไว้ก่อนว่า หนังสือสองเล่มนี้สำหรับคนเริ่มต้น ถ้าใครที่ระดับเซียนเหยียบเมฆหรือเชี่ยวแล้ว ข้ามไปได้เลยครับ อีกประการหนึ่งก็คือ หนังสือสองเล่มนี้มาในแนวทางของปัจจัยพื้นฐาน ไม่ได้ดูกราฟ ไม่มีเครื่องมือทางเทคนิค ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว อะไรทั้งนั้น แถมอ่านแล้วยังไม่ทำให้เป็นเซียนหุ้นขึ้นมาได้ในหนึ่งเดือนหรือสามเดือนด้วย นักลงทุนคนไหนที่ไม่สนใจในแนวปัจจัยพื้นฐาน หรืออยากรวยเร็ว ก็ข้ามไปได้เหมือนกันครับ

เล่มแรก เป็นหนังสือต่างประเทศ ชื่อว่า One Up On Wall Street เล่มนี้ออกมานานมากแล้วคือตั้งแต่ปี ๑๙๘๙ เท่ากับ ๒๗ ปีมาแล้ว เป็นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นที่คลาสสิกมากเล่มหนึ่ง และเขียนโดยผู้บริหารกองทุนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งด้วย นั่นคือ Peter Lynch

เล่าประวัติพี่ Lynch กันนิดนึง แกเป็นผู้จัดการกองทุนที่ชื่อ Magellan Fund ในสังกัดบริษัท Fidelity Investments เกียรติประวัติของแกก็คือ แกเข้ามาเป็นผู้จัดการกองทุนที่ว่านี้ในปี ๑๙๗๗ ตอนนั้นกองทุนมีสินทรัพย์ให้บริหาร ๑๘ ล้านเหรียญ แต่ในปี ๑๙๙๐ ที่แกลาออกสินทรัพย์ของกองทุนนี้มันเบ่งบานทะยานขึ้นมาเป็น ๑.๔ หมื่นล้านเหรียญ ย้ำ หมื่นล้านนะฮะ

ในขณะที่สถิติการสร้างผลตอบแทนต่อปีของแกทำเอาไว้ที่เฉลี่ยปีละ ๒๙.๒% (เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพ คุณลุง Warren Buffett ซึ่งคนรู้จักกันทั่วโลก มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ ๒๒.๓% จากการลงทุนมารวม ๓๖ ปี) เคยมีคนคำนวณไว้ว่า ถ้าเราลงทุนในกองทุน Magellan ๑,๐๐๐ เหรียญในปีที่พี่ Lynch เริ่มเป็นผู้จัดการกองทุน แล้วขายออกตอนที่พี่ Lynch ลาออก เงิน ๑,๐๐๐ เหรียญที่ว่าจะงอกมาเป็น ๒๘,๐๐๐ เหรียญนะฮะ

นี่ถ้าจะดัดจริต ต้องอุทานว่า โฮลี่ ชิต!! ขี้ศักดิ์สิทธิ์ชัด ๆ

ด้วยเครดิตขนาดนี้ เมื่อพี่ Lynch ลุกขึ้นมาเขียนหนังสือแนะนำการเล่นหุ้นก็ทำให้หนังสือเล่มนี้ดังระเบิดระเบ้อ แถมติดอันดับขายดีได้ไม่ยาก ยิ่งกว่านั้นก็คือ เนื้อหาของหนังสือนี่ของแท้แน่นอนมากครับ เพราะแกเขียนหนังสือออกมาเพื่อให้ความรู้กันจริงจัง ไม่ใช่สร้างโพรไฟล์เพื่อเอาไปขายคอร์สอบรมอีกต่อ

ในเล่มนี้ พี่ Lynch บอกว่า นักลงทุนรายย่อยอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็สามารถเล่นหุ้นให้ได้กำไรได้ไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกมืออาชีพเสมอไป เพียงแต่ต้องรู้จักหลักการที่ถูกต้อง เลือกหุ้นเป็น รู้ว่าจะดูข้อมูลอะไรในแต่ละบริษัท นอกจากนี้ยังจัดประเภทบริษัทให้เข้าใจได้ว่ามันมีหลายแบบ มีทั้งที่เป็นบริษัทโตเร็ว โตช้า พวกยักษ์ใหญ่ บริษัทที่ผลกำไรขึ้นลงเป็นไซเคิล หรือบริษัทที่เคยแย่แต่กำลังจะฟื้น ฯลฯ อะไรพวกนี้ ไปจนกระทั่งหุ้นแบบไหนที่อย่าไปยุ่งกับมันเลย พี่เตือนแล้วนะ

รวมไปถึงพวกความคิดหรือความเข้าใจผิด ๆ บางอย่างที่หลายเรื่องตรงกันเป๊ะกับนักลงทุนรายย่อยของไทยเลยนะฮะ ขอยกตัวอย่างบางประการ เช่น

“หุ้นมันตกมาขนาดนี้แล้ว มันไม่ตกไปมากกว่านี้แล้วล่ะ” – พอช้อนเข้าไปแล้วเป็นไงฮะ ไอ้ที่ว่าถูกแล้วยังมีถูกกว่า

ในทางกลับกัน “หุ้นมันขึ้นมาขนาดนี้แล้ว มันไม่ขึ้นไปมากกว่านี้แล้วล่ะ” – พอขายแล้วเป็นไงฮะ แม่มวิ่งเป็นกระทิงเปลี่ยวเลย ขายหมูชัด ๆ

หรืออารมณ์เสียดายแบบ “โอยยยย ไม่ได้ซื้อตัวนี้ ราคาวิ่งไปแล้ว รู้งี้…” – ใช่ฮะ ถ้ารู้งี้ ถึงได้มีคนบอกว่า รู้อะไร ไม่สู้รู้งี้

เรื่องพวกนี้ พี่ Lynch มีคำอธิบายและมีเคสจริง (จากอเมริกา) ยกมาให้อ่านสั้น ๆ เพื่อความเข้าใจด้วย

เล่มนี้ผมซื้อมานาน ๒๐ กว่าปีแล้ว สภาพกระดาษเหลืองกรอบ ปกก็จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ จะว่าไปนี่เป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่ผมนั่งอ่านจริง ๆ จัง ๆ จนจบเล่ม อ่านไปเปิดดิกฯ ไป ขีดไฮไลต์คำศัพท์ที่ไม่รู้คำแปลจนพรืดไปทั้งหน้า ทำอยู่ได้สามสิบสี่สิบหน้า ไม่ไหวแล้วเว้ย เอาหลักการของคุณชายคึกฤทธิ์มาใช้ดีกว่า คุณชายบอกว่า อ่านไปเลย อย่าไปสะดุดเปิดดิกฯ อ่านไปสักพักมันจะเข้าใจเอง เออ ได้ผลจริงนะฮะ อันนี้ขอแนะนำ

ถึงเล่มนี้จะออกมานานแล้วอย่างที่ว่าแต่หลักการลงทุนก็ยังใช้ได้ในปัจจุบัน ถ้าใครสนใจไม่ต้องกังวลว่าจะไปหาซื้อได้ที่ไหนเพราะมีการพิมพ์ซ้ำออกมาเรื่อย ๆ ในร้านหนังสือภาษาอังกฤษบ้านเราก็เห็นมีอยู่นะฮะ ส่วนใครที่อยากอ่านฉบับภาษาไทยตอนนี้ก็มีแล้วเหมือนกัน ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนไทยที่ประสบความสำเร็จมากและมีชื่อเสียงมากแกแปลออกมาแล้ว ไม่แน่ใจว่าใช้ชื่อภาษาไทยว่าอะไร ลองเสิร์ชดูน่าจะเจอได้ไม่ยาก

ถ้าอ่านเล่มนี้จบแล้วอยากอ่านเพิ่ม พี่ Lynch เขียนหนังสือออกมาอีกสองเล่ม ชื่อว่า Beating the Street กับ Learn to Earn ถ้าสนใจลองหาอ่านดูได้ครับ

ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนแนะนำสองเล่มแต่แค่เล่มแรกนี่ก็ยาวแล้ว อีกเล่มขอยกยอดไปคราวหน้านะครับ

One Up On Wall Street

อ่าน หนังสือแนะนำสำหรับคน (เริ่ม) เล่นหุ้น ตอนที่ ๒ ได้ที่นี่ครับ

 

ติดตาม What We Read Blog อีกหนึ่งช่องทางได้ที่ https://www.facebook.com/whatwereadblog นะครับ ❤

อ่านเล่มไหนดี?

What should I read next?ปกติแล้วหลังจากอ่านหนังสือจบ พอจะหยิบเล่มใหม่มาอ่านถ้าไม่ใช่เล่มต่อจากเล่มก่อนหน้าผมจะเกิดอาการ “เลือกไม่ถูก” ไม่รู้จะหยิบเล่มไหนมาอ่านดี

อาการที่เป็นก็คือ จะหยิบเล่มที่คิดว่าน่าสนใจมาพลิก ๆ ดู แล้ววาง แล้วหยิบเล่มอื่นมาพลิกดู แล้ววาง เป็นอย่างนี้วนลูปไปซักพัก จนตัดสินใจได้ว่า เอาเล่มนี้ล่ะวะ ก็จะหยิบมานั่งอ่านเป็นเรื่องเป็นราว แต่ในช่วงที่เริ่มอ่านถ้าหากสะดุด หรือเกิดอาการ เอ๊ะ ขึ้นมา ก็อาจกลับไปวนลูปที่ว่ามาได้อีก จนกว่าจะได้เล่มที่จะอ่านจริง ๆ ก็จะอ่านไปจนจบ

อาการที่เป็นแบบนี้ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อยเหมือนกัน เอาที่เห็นชัด ๆ ก็อย่างตอนนี้ที่อ่าน The Blind Side จบไปได้สักพักแล้ว (อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ) ยังเลือกไม่ได้เลยว่าจะอ่านอะไรต่อ

กองหนังสือที่เห็นในภาพเป็นเล่มที่เลือกมาเป็นเบื้องต้นแล้วแต่ยังรอตัดสินใจขั้นสุดท้ายอีกทีว่าจะเป็นเล่มไหน เกณฑ์อย่างนึงตอนนี้ก็คือตั้งใจว่าจะอ่านเล่มเก่า ๆ ก่อนนะฮะ

อาการนี้มีใครเป็นบ้างมั้ยครับ แล้วแก้ยังไงกัน เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ…

เยือน The Booksmith นิมมานเหมินท์

Jimmy Liao books

ผมสั่งซื้อหนังสือจาก The Booksmith มาก็ตั้งหลายที แต่ยังไม่เคยไปที่ร้านเลย หลายวันก่อนมีโอกาสไปทำกิจธุระที่เชียงใหม่แล้วพอมีเวลา ก็เลยให้เจ้าถิ่นพาไปร้านที่ถนนนิมมานเหมินท์

ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปซื้ออะไร แค่อยากไปเยือนเฉย ๆ สุดท้ายได้ติดมือกลับมาสองเล่ม นี่เหมือนชะตาต้องกัน เพราะสองเล่มนี่กรุงเทพฯ ก็มีขายเยอะอยู่แต่ไม่ซื้อ ถ่อไปซื้อถึงเชียงใหม่นะครับ ❤

Jimmy Liao books

Jimmy Liao books

รีวิวหนังสือ : The Blind Side – เรื่องราวของชนชั้นที่เล่าผ่านโลกกีฬา

The Blind Side by Michael Lewis

หลังจากจบหนังสือเล่มล่าสุดของพี่ชาติ กอบจิตติ ไป (อ่านได้ที่นี่ครับ) ผมหยิบเล่มนี้มาอ่าน The Blind Side ของคุณพี่ Michael Lewis คนเดียวกับที่เขียน Flash Boys แต่เล่มนี้ออกมาก่อนหลายปีแล้ว เปิดดูที่จดไว้ถึงเห็นว่าซื้อมาตั้งแต่ปี ๕๒ นี่ปาเข้าไปปี ๕๙ แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจที่เห็นข้อความบนปกว่า กำลังจะเอาไปสร้างเป็นหนัง เล่มนี้ซื้อมาตั้งแต่ก่อนสร้างหนังอีกนะฮะ

ต้องบอกก่อนว่าผมยังไม่ได้ดูหนังที่สร้างจากเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่รู้ว่าทีมงานมีการดัดแปลงบทไปจากเนื้อเรื่องแค่ไหน มีเก็บรายละเอียดประเด็นย่อยไปด้วยมั้ย ในที่นี้ก็เลยจะพูดถึงตัวหนังสืออย่างเดียวนะฮะ

พี่ Lewis เป็นนักเขียนที่เล่าเรื่องได้น่าสนใจมากในทุกเล่มที่แกเขียน วันก่อนฟัง podcast สัมภาษณ์ Malcolm Gladwell (ซึ่งเป็นนักเขียนที่เล่าเรื่องเก่งมากอีกคนนึง พี่แกสามารถเอาเรื่องยากมาย่อยให้เข้าใจได้ง่าย ๆ โคตรเทพอ่ะ) คนสัมภาษณ์ถามว่า ในความเห็นของ Gladwell ใครเป็นนักเขียนที่เล่าเรื่องได้ดี แกตอบทันทีแบบไม่ต้องคิดเลยว่า Michael Lewis แกบอกว่าอยากเล่าให้ได้แบบพี่ Lewis เลยนะฮะ นี่ขนาดมือระดับ Gladwell นะ

เล่มนี้ Lewis เล่าเรื่องเด็กวัยรุ่นผิวดำยากจนคนนึงที่บังเอิญสรีระเอื้อต่อการเล่นอเมริกันฟุตบอลในตำแหน่ง Left Tackle ซึ่งเป็นตำแหน่งที่คอยระวังป้องกันด้านซ้ายของควอเตอร์แบ็ค (ผู้เปรียบเสมือนแม่ทัพในเกมรุก) และด้วยความที่ควอเตอร์แบ็คส่วนมากจะถนัดขวา เวลาเล่นก็มักจะมองไปทางด้านขวา ทำให้ด้านซ้ายเป็นมุมบอด หรือ blind side อันเป็นที่มาของชื่อหนังสือนี่เอง

ทีนี้ลำพังถ้าอยู่ของมันเองเด็กคนนี้ก็คงไปไม่ถึงไหน แต่บังเอิญมีครอบครัวอเมริกันผิวขาว ฐานะดี มีสถานภาพทางสังคมรับมาเลี้ยง ให้ที่อยู่ มีข้าวให้กิน หาเสื้อผ้าให้ใส่ ดูแลเรื่องการเรียนด้วย ทำให้ชีวิตของเด็กที่ดูแล้วไม่น่าจะไปไหนได้ไกล เพราะขนาดโตแล้วยังอ่านไม่ค่อยออก เขียนไม่ค่อยได้ กลับมีอนาคตขึ้นมา

ความโดดเด่นของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่แค่เรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้เท่านั้น แต่เฮีย Lewis ยังอธิบายให้เห็นถึงวิวัฒนาการของเกมบุกและเกมรับของอเมริกันฟุตบอล รวมไปถึงการเปลี่ยนกฎเกณฑ์บางข้อของ NFL (หน่วยงานกำกับดูแลและจัดการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล เทียบได้กับ FIFA ในกีฬาฟุตบอลนะฮะ) เพื่อให้คนอ่านเข้าใจได้ว่า ทำไมควอเตอร์แบ็คถึงมีความสำคัญมากขึ้นในเกมบุกของอเมริกันฟุตบอล และทำไมผู้เล่นในตำแหน่ง left tackle ถึงสำคัญ (และมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมาก) ซึ่งโยงต่อมาถึงว่า ทำไมไอ้เด็กวัยรุ่นคนนี้มันถึงเป็นที่ต้องการจากมหาวิทยาลัยทั่วทั้งสหรัฐฯ

เอาแค่ประเด็นนี้ประเด็นเดียวก็สนุกแล้ว แต่ Lewis ยังแฝงประเด็นรอง (หรือจริง ๆ เป็นประเด็นหลักวะ?) คือเรื่องของชนชั้นเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ระหว่างที่อ่านเรื่องราวของวัยรุ่นผิวดำคนนี้เฮีย Lewis ก็จะแทรกเรื่องของเด็กคนอื่นให้เห็นว่า ถึงจะมีศักยภาพทางกีฬาแค่ไหน โดดเด่นแค่ไหน แต่การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี รวมถึงไม่ได้รับการสนับสนุน ผลักดัน หรือไม่มีคนเปิดประตูโอกาสให้ ก็ยากที่จะก้าวไปถึงฝั่งฝันได้

อ่านไปอ่านมาเล่มนี้กลายเป็นเรื่องของประเด็นใหญ่ทางสังคมที่น่าสนใจมาก ๆ โดยที่ใช้เรื่องของวัยรุ่นผิวดำเป็นตัวเล่าเรื่อง

โดยส่วนตัวผมอ่านเล่มนี้แล้วชอบมาก ประการแรก เรื่องราวเกี่ยวกับพัฒนาการของอเมริกันฟุตบอลที่นำมาเล่าในเล่มนี้เป็นช่วงคาบเกี่ยวกับตอนที่ผมดูกีฬานี้อยู่พอดี เวลาที่ Lewis พูดถึงโค้ชคนนั้น นักกีฬาคนนี้ ผมนึกภาพตามได้ไม่ยาก แถมที่สำคัญยังช่วยไขให้เข้าใจได้ว่า ทำไม Joe Montana ถึงเป็นควอเตอร์แบ็คที่ประสบความสำเร็จ ทำไม Steve Young ที่มาแทน Montana ก็ประสบความสำเร็จ ทั้งที่สองคนนี้ไม่ได้มีพลังแขนโดดเด่นเท่ากับควอเตอร์แบ็คคนอื่นในยุคเดียวกันเลย รวมไปถึงได้เข้าใจว่า West Coast offense ที่เห็นบ่อย ๆ เวลาอ่านบทความหรือตอนผู้บรรยายพูดถึงเนี่ย มันคืออะไร (สำหรับคนที่สนใจ เรื่องนี้อยู่ที่หน้า ๑๑๗ นะฮะ)

ประการที่สอง เรื่องราวเด็กวัยรุ่นที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี้น่าสนใจมากว่า จะไปได้ถึงไหน เพราะ Lewis เขียนชวนให้เราติดตาม (และลุ้น) ไปตลอดว่า อุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น (ซึ่งมีเยอะด้วย) จะหยุดชีวิตของเด็กคนนี้เอาไว้ก่อนที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่

ประการที่สาม ประเด็นเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในสังคมและโอกาสที่ได้รับ ซึ่งส่งผลต่อชีวิตของคนแต่ละคน เรื่องนี้ไม่ต้องดูที่ไหนไกล ในประเทศไทยนี่ก็มี ข่าวคราวคนรวยทำผิดกฎหมายแต่ไม่ผิด ไม่ได้รับโทษมีอยู่บ่อยมาก ข่าวเด็กเรียนดีสอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะดี ๆ ได้ แต่ไม่มีเงินเรียน เรื่องราวแบบนี้มีให้เห็นทุกปี และก็คงมีต่อไปอีกหลายปี

สิ่งที่ยากที่สุดในการอ่านหนังสือเล่มนี้สำหรับผมก็คือ การหักห้ามใจที่จะไม่เสิร์ชอินเทอร์เน็ตดูว่าชีวิตเด็กคนนี้ตอนนี้เป็นยังไง เพราะถ้าเสิร์ชดูนี่เท่ากับว่ารู้ตอนจบเลย เหมือนอ่านนิยายฆาตกรรมสืบสวนสอบสวนแต่ดันรู้ก่อนซะแล้วว่าใครเป็นคนฆ่า ความสนุกของการลุ้นระหว่างที่อ่านหมดกันพอดี ถ้าใครจะอ่านเล่มนี้ผมแนะนำไว้ก่อนเลยว่า อย่าเสิร์ชดูเด็ดขาด

สำหรับคนที่กลัวว่าไม่ได้ดูอเมริกันฟุตบอล ไม่รู้จักอเมริกันฟุตบอลแล้วจะอ่านไม่สนุก ไม่ต้องกลัวครับ อ่านแค่พอให้เข้าใจภาพรวมก็ยังสนุกได้ครับ

ขอให้มีความสุขกับการอ่านครับ ❤

 

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไปแล้วบ้าง

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๙ : Flash Boys
หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๙ : facebook โลกอันซ้อนกันอยู่

ติดตาม What We Read Blog อีกหนึ่งช่องทางได้ที่ https://www.facebook.com/whatwereadblog/

หนังสือดัง & ขายดีที่คนอ่านไม่จบ

เคยมั้ยครับเวลาที่ยืนเลือกหนังสืออยู่ในร้าน พลิก ๆ ดูแล้ว เออ เล่มนี้น่าสนใจว่ะ น่าอ่านดีนะ แต่พอซื้อไปแล้ว เปิดอ่านไปได้สักหน่อยแล้ววาง อ่านไม่จบ เปลี่ยนไปอ่านเล่มอื่น จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ เขียนไม่ดี อ่านยาก เนื้อหาไม่น่าสนใจ อ่านแล้วไม่ชอบ ฯลฯ มีเหตุผลสารพัดนะครับ 

ผมนี่คนนึงล่ะ

ก่อนหน้านี้เราก็ไม่รู้ใช่มั้ยครับว่า มีใครเป็นอย่างเราบ้างมั้ย คนเขียนก็ไม่รู้ สำนักพิมพ์ก็ไม่รู้ แล้วถ้ามี จะมีหนังสือเล่มไหนที่คนซื้อไปแล้วอ่านไม่จบกันมั่งวะ?

ตอนนี้เรารู้ได้แล้วครับ ตั้งแต่ที่มีเรามีอีบุ๊ก โดยเฉพาะ Kindle ของ amazon ที่สามารถเก็บข้อมูลการอ่านพวกนี้ได้ แล้วก็มีนักวิชาการที่ไปเอาข้อมูลจากฐานข้อมูลของ Kindle ที่ว่านี่แหละมารวบรวมวิเคราะห์และแยกแยะแล้วตั้งเป็นดัชนีที่ชื่อว่า Hawking Index เพื่อดูว่าหนังสือแต่ละเล่มมีคนอ่านจนจบมากน้อยแค่ไหน

หนังสือบางเล่มที่อยู่ในรายการนี้เห็นแล้วอาจแปลกใจว่าคนอ่านจบน้อยขนาดนั้นเลยเหรอ มาดูกัน

เล่มแรก Hard Choices ของ Hilary Clinton ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ ด้วย หนังสือเล่มนี้เป็นบันทึกความทรงจำในช่วงที่ฮิลารีดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญเป็นอันดับสามในรัฐบาล รองจากประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เล่มนี้มีคนอ่านจบแค่ ๑.๙% เท่านั้นเอง

เล่มสอง Capital in the Twenty-First Century ของนักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Thomas Piketty เล่มนี้สร้างปรากฎการณ์ฮือฮาอย่างมากในแวดวงหนังสือ เพราะเป็นหนังสือเศรษฐศาสตร์ที่เป็นแนววิชาการ อ่านยาก แถมยังหน้าตั้ง ๗๐๐ หน้า แต่ติดอันดับหนึ่งหนังสือขายดีของ The New York Times ซะงั้น ทำเอาผู้เชี่ยวชาญต้องหาสาเหตุกันยกใหญ่ว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงฮิตขึ้นมาได้ แต่ก็นั่นแหละมีคนอ่านจบไปแค่ ๒.๔% ครับ

เล่มต่อมา Infinite Jest โดย David Foster Wallace มีคนอ่านจบไป ๖.๔%

อันดับสี่ เล่มนี้เลยครับ A Brief History of Time ของ Stephen Hawking ที่มีคนรู้จักกันทั่วโลก ยิ่งปีก่อนมีการเอาชีวิตเฮียมาสร้างเป็นหนังด้วย ยิ่งทำให้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นอีก หนังสือเล่มนี้อ่านจบกันไป ๖.๖% ครับ

เล่มที่ห้า Thinking, Fast and Slow ของ Daniel Kahneman เล่มนี้มีคนอ่านจบไปเบ็ดเสร็จ ๖.๘%

เห็นอย่างนี้ใครที่เป็นนักเขียนหรือนักแปลอย่าเพิ่งท้อนะครับ ถ้ามองในแง่ดีอย่างน้อยคนก็ซื้อไปแล้ว วันนี้อาจจะยังไม่อ่าน หรืออ่านไม่จบ แต่วันหน้าอาจจะหยิบมาอ่านจนจบก็ได้ อาการแบบนี้ผมเองก็เป็นบ่อยไป

ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะครับ ❤

 

facebook โลกอันซ้อนกันอยู่ – การกลับมาของชาติ กอบจิตติ

facebook : โลกอันซ้อนกันอยู่ ชาติ กอบจิตติ

ตามที่ตั้งใจไว้เมื่อตอนต้นปีว่า ปีนี้จะอ่านหนังสือ non-fiction เพียว ๆ เลย จะพยายามไม่อ่านนิยาย ทั้งเรื่องไทยเรื่องเทศ เริ่มเล่มแรก (Flash Boys อ่านรายละเอียดได้ที่นี่) ก็ผ่านไปได้สวย ก็ต่อด้วยเล่มสอง แต่พออ่านไปสักพักปรากฎว่า พี่ชาติ กอบจิตติ นักเขียนคนโปรดของผมแกออกหนังสือเล่มใหม่ออกมา ก็เลยต้องวางเล่มนั้นเอาไว้แล้วหยิบเล่มนี้แซงหน้ามาอ่านก่อน

facebook : โลกอันซ้อนกันอยู่

หนังสือเล่มนี้ถ้าไม่รู้ที่มาที่ไป ดูเผิน ๆ จะนึกว่าพี่ชาติหากินง่าย เอาข้อความที่โพสต์ไว้บนเฟซบุ๊กมารวมเล่มขายแฟน ๆ แต่จริง ๆ มันไม่ง่ายอย่างนั้น (เชื่อว่าต่อให้แกทำจริง แฟน ๆ ก็ยังตามซื้อกันนะ เหนียวแน่นกันซะขนาดนี้) พี่ชาติเล่าความเป็นมาของหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า แกวางแผนจะทำหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่แรก โดยจะเขียนเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่สนใจและเป็นประเด็นที่อยู่ในใจ (หนึ่งในนั้นคือเรื่อง อี-บุ๊ก) แล้วให้บรรดาเฟรนด์ มาร่วมแสดงความคิดเห็น แชร์ข้อมูลและความรู้ที่แต่ละคนมี แล้วพอครบปีก็จะคัดเลือกและรวบรวมทั้งข้อความของแกเองและคอมเม้นต์ของคนอื่น ๆ มารวมเป็นเล่ม

จากนั้นถึงเปิดเฟซบุ๊กแล้วคัดกรองคนที่จะมาเป็นเฟรนด์ (ประมาณ ๕ พันคน) แล้วก็เริ่มโพสต์ข้อความตามที่คิดเอาไว้ หลายเรื่องเป็นไปตามแผน หลายเรื่องงอกขึ้นมาใหม่จากเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น เช่น เรื่องอี-บุ๊ก การทำนาปา การทำออฟฟิศที่บ้าน เรื่องเสื้อพันธุ์หมาบ้า ฯลฯ

ผมใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้นานอยู่ เพราะไม่ได้อ่านเฉพาะข้อความของพี่ชาติ แต่ละเลียดอ่านคอมเม้นต์ของคนอื่น ๆ ด้วย (ซึ่งก็เป็นความรู้ที่เสริมขึ้นมา เพราะแต่ละคนก็เชี่ยวชาญหรือมีความรู้ในด้านต่าง ๆ กันไป) ที่แปลกใจตัวเองเรื่องนึงก็คือ ตอนที่อ่านอยู่ มีบางช่วงที่เผลอเอานิ้วไปไถ ๆ สไลด์ ๆ ที่หน้ากระดาษ ด้วยความเคยชิน นึกว่ากำลังอ่านเฟซบุ๊กบนหน้าจออยู่จริง ๆ (อันนี้ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนกันบ้างมั้ย)

หนังสือเล่มนี้หนาเอาเรื่องอยู่ (๗๓๔ หน้า) แต่อ่านสนุก ถึงเป็นเรื่องที่คนอ่านไม่มีความรู้มาก่อนก็อ่านสนุก เหมือนเรานั่งฟังพี่ชาติเล่าเรื่องราวของแกหรือเรื่องที่แกสนใจให้เราฟัง แล้วก็มีคนอื่นอยู่ในวงคอยช่วยเสริมให้บทสนทนามันออกรสมากขึ้น บางครั้งพี่ชาติก็สอนประสบการณ์ชีวิตให้เราฟัง ถือเป็นการเรียนลัด เราจะได้ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกเอาเอง

เล่มนี้ถ้าเป็นแฟนพี่ชาตินี่พลาดไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้เป็นแฟนพี่ชาติก็อ่านได้นะครับ ตอนนี้พิมพ์ครั้งที่สองแล้วด้วย

facebook : โลกอันซ้อนกันอยู่
ผู้เขียน : ชาติ กอบจิตติ
สำนักพิมพ์ : หอน
ราคา : ๔๐๐ บาท

facebook : โลกอันซ้อนกันอยู่ โดย ชาติ กอบจิตติ

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป…

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๙ : Flash Boys

ติดตาม What We Read Blog อีกหนึ่งช่องทางได้ที่ https://www.facebook.com/whatwereadblog/ ครับ

สื่อสิ่งพิมพ์เอายังไงกันดี?

man_read_tablet

เมื่อเดือนที่แล้วมีโอกาสได้เข้าไปนั่งตัวลีบอยู่ในวงสนทนาที่มีผู้บริหารนิตยสารชื่อดังอยู่ด้วย (ที่ว่าชื่อดังนี่หมายถึงนิตยสารนะ แต่เอาจริง ๆ ผู้บริหารนี่ก็ดังอยู่) นิตยสารนี้อยู่มาหลายสิบปีแล้วและถือได้ว่าเป็นเบอร์หนึ่งในหมวดที่ทำอยู่ ผู้บริหารคนนี้เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์นิตยสารทุกวันนี้ว่า ยอดคนอ่านลดลงและยอดโฆษณาก็ลดลง (ซึ่งอันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรกัน)

ในส่วนของคนอ่าน นิตยสารที่ว่านี้ก็พยายามปรับตัวไปออนไลน์ มีเว็บไซต์ที่มีคอนเทนต์จากหนังสือไปลง แล้วยังไปทำแฟนเพจด้วย ผู้บริหารเล่าว่า แฟนเพจของนิตยสารนี้ติดอยู่ในกลุ่มสิบอันดับแฟนเพจที่ทำคอนเทนต์ด้านนี้ (วัดจากยอดแฟนเพจ) เพราะชื่อเสียงก็เรียกคนได้ แถมยังมีการโพสต์สม่ำเสมอ

แต่ประเด็นน่าสนใจที่ผู้บริหารเล่ามาก็คือ ในสิบอันดับแฟนเพจที่ว่าจะเป็นเพจของนิตยสารอยู่ไม่กี่เพจ อีกประมาณ ๔-๕ เพจเป็นเพจที่ทำออนไลน์อย่างเดียว ไม่มีฐานคนอ่านจากสิ่งพิมพ์มาก่อน (นี่เป็นเรื่องน่าสนใจอันดับหนึ่ง) และมีอีกกลุ่มนึงที่มาใหม่และเป็นที่กังวลมากในตอนนี้คือ เพจที่บรรดาสินค้า/บริการต่าง ๆ มาทำคอนเทนต์เอง เรียกว่ายิงตรงจากแบรนด์สู่ผู้บริโภคโดยไม่ต้องผ่านคนกลางกันเลย และที่น่าตกใจก็คือ คอนเทนต์ในเพจประเภทนี้น่าสนใจเสียด้วย ไม่ใด้เป็นแคตตาล็อกที่จะเอาแต่ขายของอย่างเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแบรนด์ก็จ้างคนทำคอนเทนต์นั่นแหละทำให้

เมื่อเป็นอย่างนี้เสียแล้ว แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อไปแน่ ๆ ก็คือ แบรนด์ต่าง ๆ จะลดการโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ลง จากที่ลดลงมาแล้วหลายปีต่อเนื่อง (ดูกราฟประกอบนะฮะ) เท่านั้นยังไม่พอ แบรนด์ยังเปลี่ยนสถานะจากลูกค้ากลายมาเป็นคู่แข่งในการผลิตคอนเทนต์และดึงยอดคนอ่าน (visitor) ไปจากสื่อเดิม ๆ เสียอีก

สื่อสิ่งพิมพ์เอายังไงกันดี?

สำหรับเรื่องโฆษณาที่ลดลงนี้ขอให้ดูภาพประกอบที่สอง เล่าให้ฟังก่อนว่า นี่เป็นข้อความในหนังสือ facebook : โลกอันซ้อนกันอยู่ ของพี่ชาติ กอบจิตติ (รายละเอียดของหนังสือเล่มนี้ดูได้จากเพจ โลกอันซ้อนกันอยู่ นะฮะ) ซึ่งพี่ชาติเล่าว่า นอกจากเป็นนักเขียนแล้วแกยังทำเสื้อยืดขายด้วย ใช้แบรนด์ว่า Phanmaba (พันธุ์หมาบ้า) แล้วก็ทำเพจขึ้นมาเพื่อขายเสื้อ มีโพสต์รูปบ้าง เล่าเรื่องราวอะไรบ้าง ส่วนรายละเอียดลองดูที่พี่ชาติเขียนนะครับ โดยเฉพาะตรงที่ไฮไลต์ข้อความเอาไว้ อันนี้เป็นความเห็นตรงของแบรนด์มาเองเลย

สื่อสิ่งพิมพ์เอายังไงกันดี?

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นปัญหาใหญ่ของคนในแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์ เชื่อว่าทุกคนรู้ตัวแล้วและกำลังพยายามปรับตัว บางคนยังพอไปได้ บางคนก็ยกธงขาวไปแล้ว (อย่างที่เราเห็นในข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้) ในส่วนของผู้บริหารคนนี้ก็มีแนวทางของเขาอยู่ แต่ก็ไม่ควรที่จะนำมาเล่าในที่นี้นะฮะ

สวัสดี