หนังสือในดวงใจ ๑๐ เล่ม (ตอนที่ ๒)

My shelf

หมายเหตุ : โพสต์นี้ผมเขียนและโพสต์เอาไว้ในบลอกส่วนตัวตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๗ แต่เอามาโพสต์ซ้ำอีกครั้งที่นี่เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกันครับ

ต่อจากโพสต์ที่แล้วที่เล่าถึงหนังสือในดวงใจ ๕ เล่มไปแล้วนะครับ โพสต์นี้มาว่ากันต่อ

๖. ฤทธิ์มีดสั้น โดย โกวเล้ง

นิยายกำลังภายในนี่ผมถือว่าเป็นหนังสือที่มี learning curve สูงมากนะครับ พยายามจะอ่านมาตั้งแต่ช่วงมอปลาย แต่ก็ไปไม่รอด เข้ามหา’ลัยลองเช่ามาอ่านอีกทีก็ยังไม่รอด สาเหตุเป็นเพราะรายละเอียดมันเยอะเหลือเกิน ต้องใช้เซลล์สมองเยอะมาก ตัวละครมีเพียบ และในบรรดานั้นแต่ละคนมีไม่ต่ำกว่า ๓ ชื่อ มีทั้งชื่อปกติสามัญ มีฉายาอีก แล้วมีชื่อแบบไม่ปกติด้วย ยกตัวอย่างเรื่องฤทธิ์มีดสั้น ตัวเอกชื่อ ลี้คิมฮวง แต่ฉายาพี่เค้าคือ เซี่ยวลี้ปวยตอ เท่านั้นยังไม่พอ คุณพี่ยังมีชื่อที่เรียกขานกันว่า ลี้ถ้ำฮวย อีกชื่อนึง นี่ยังไม่นับคำเรียกนับญาติกันอีกนะ จะเป็น ตั่วกอ อาอึ้ม อาเจ่ก อีกสารพัดอ่ะ และตัวละครแต่ละตัวก็มีวิชาฝีมือแตกต่างหลากหลายจากหลายสำนักวิชา อ่านๆ ไปก็นึกในใจ กูจะรอดมั้ย?

ฤทธิ์มีดสั้น / โกวเล้ง

สุดท้ายตัดสินใจ เอาวะ เห็นใครบอกเป็นเสียงเดียวว่า เล่มนี้แหละ แม่มสุดยอด ผมอดทนอ่านจนพ้นช่วง learning curve มาได้ ทีนี้ยาวเลยครับ จบฤทธิ์มีดสั้น ต่อด้วยเหยี่ยวเดือนเก้า ไปจอมดาบหิมะแดง ข้ามฟากไปหาพี่กิมย้ง เล่นมังกรหยก ก๊วยเจ๋ง อึ้งย้ง ต่อภาคเอี้ยก้วย เซียวเหล่งนึ่ง ยาวไปเตียบ่อกี้ ต่อไปถึง ๘ เทพอสูรมังกรฟ้า แล้วข้ามมาเล็กเซี่ยวหงส์ ฯลฯ ฟังดูเหมือนจะเยอะแต่ถ้าเทียบกับบรรดาเซียนหนังสือกำลังภายในแล้วผมอ่อนด้อยมาก

ในบรรดาหนังสือกำลังภายในทั้งหมดผมยกให้ฤทธิ์มีดสั้นนี่แหละ เหตุที่ช่วยเปิดโลกบู๊ลิ้มให้ผมได้ในที่สุด

๗. Liar’s Poker โดย Michael Lewis

ในช่วงปี ‘๙๐ มีคำพูดทำนองว่า อย่าเพิ่งเข้าทำงานใน Wall Street หากยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง Wall Street (กำกับโดย Oliver Stone) และยังไม่ได้อ่าน Bonfire of the Vanities (ของ Tom Wolfe) และ Liar’s Poker เล่มนี้

Liar's Poker / Michael Lewis

ความหมายของคำพูดที่ว่าคือ ถ้ายังไม่ได้ดูหนัง ไม่ได้อ่านหนังสือ ๒ เล่มนี้ก็จะยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมของแวดวง Wall Street ยังไม่รู้ซึ้งถึงเล่ห์เหลี่ยมและความโลภ หากเข้าไปทำงานก็จะโดนกินทั้งเป็นซะเปล่าๆ

Michael Lewis เขียนหนังสือเล่มนี้จากประสบการณ์การทำงานเป็นเซลส์ขายบอนด์อยู่ที่ Salomon Brothers ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในตลาดบอนด์ในยุคนั้น โดยเล่าให้เห็นถึงความโลภและเห็นแก่ตัวของคนในวงการ ทำได้ทุกอย่างแม้แต่การขายขยะให้กับลูกค้า (ได้อย่างหน้าตาเฉย แถมพนักงานที่ขายได้ยังได้คำชมอีกต่างหาก) Liar’s Poker เป็นหนังสือเล่มแรกๆ (หรือเล่มแรก) ที่คนในวงการมาเขียนเล่าเรื่องวงการของตัวเองในทำนอง insider tells all และเป็นต้นแบบให้กับหนังสือแนวเดียวกันนี้ในยุคหลังๆ

ตัวละครในเล่มนี้บางคนเป็นหนึ่งในพวกตัวจี๊ดที่มาถล่มค่าเงินบาทของไทยในช่วงต้มยำกุ้งด้วยนะครับ

 Liar’s Poker ประสบความสำเร็จสูงมาก ส่งให้ Lewis มาเป็นนักเขียนเต็มตัวและเขียนงานดีๆ น่าอ่านตามมาอีกหลายเล่ม อย่าง The New New Thing ที่เป็นเรื่องราวของ Jim Clark หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Netscape และมีส่วนทำให้เกิดยุคดอทคอมในช่วงปี ‘๙๐ หรือ The Blind Side เรื่องของนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่นำมาสร้างเป็นหนังและส่งให้ Sandra Bullock ได้ออสการ์

Lewis เคยให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า เขาเจตนาเขียน Liar’s Poker เพื่อเตือนสติคนหนุ่มสาวถึงความโลภ ความไร้จริยธรรม ไร้เหตุผลของแวดวง Wall Street และหวังว่าจะช่วยให้คนหันไปทำงานด้านอื่น แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะหนังสือเล่มนี้กลับยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้คนสนใจที่จะเข้าทำงานใน Wall Street มากขึ้น เป็นอย่างนั้นไป

๘. One Up On Wall Street โดย Peter Lynch

ผมสนใจเรื่องหุ้นตอนเรียนปีสามในมหา’ลัย ปัญหาสำคัญที่เจอตอนนั้นคือ หนังสือที่เกี่ยวกับการเลือกหุ้น วิเคราะห์หุ้นมีน้อยมาก ที่พอจะมีอยู่บ้างก็เป็นพวกตำราเรียน ซึ่ง (โคตร) จะวิชาการ กับหนังสือเรื่องการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค ซึ่งก็เป็นพวกแท่งเทียน เขียนกราฟ ลากเส้น แต่ต้องใช้โปรแกรม ซึ่งเราไม่มี ยุคนั้นไม่ต้องพูดถึงอินเทอร์เน็ตนะครับ คนรู้จักน่าจะมีแค่หยิบมือ จะเข้ากูเกิ้ลหาแบบสมัยนี้ก็ทำไม่ได้ ก็ต้องคอยอ่านเอาจากนิตยสารเล่มไหนที่พอจะมีลงบทความเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง

จนกระทั่งจบออกมาทำงาน ผมไปอ่านเจอจากที่ไหนก็จำไม่ได้ว่ามีหนังสือเกี่ยวกับการเลือกหุ้นในแนวปัจจัยพื้นฐานที่ดีมากๆ อยู่เล่มนึง เขียนโดย Peter Lynch ผมได้เล่มนี้จากเอเชียบุ๊คส์ สาขาสุขุมวิท เหลืออยู่เล่มนึงพอดี จริงๆ ตอนนั้นก็ยังอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ความนะ (ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ได้ความ) แต่อารมณ์ประมาณ กูเอาไว้ก่อนล่ะ

One Up On Wall Street / Peter Lynch

Peter Lynch เป็นซูเปอร์สตาร์ในแวดวงกองทุนรวมสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในนักการเงินที่ชาวบ้านชาวช่องรู้จักดี กองทุนที่พี่เค้าบริหารเติบโตได้กำไรต่อเนื่อง ถ้าจำไม่ผิดสถิติคือ ลงทุน ๑๐ ปีกำไร ๑๙ เท่า ขนาดนั้นเลยนะ ด้วยเครดิตขนาดนี้พอพี่ Lynch เขียนหนังสือว่าด้วยการเลือกหุ้นออกมาก็เลยขายดีถล่มทลาย แล้วที่เจ๋งก็คือ หนังสือของพี่เค้าดีจริงๆ สอนวิธีเลือกหุ้นแบบดูปัจจัยพื้นฐาน ใช้ภาษาแบบง่ายๆ ชาวบ้านก็เข้าใจงี้

ช่วงนั้นถ้ามีใครมาถามผมว่าจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเล่นหุ้นเล่มไหนดี ผมจะแนะนำเล่มนี้ตลอดนะครับ จนหลังๆ มานี้มีหนังสือของไทยหลายเล่มที่ออกมาแล้วเขียนดี เข้าใจง่ายประมาณเดียวกัน ถึงได้เปลี่ยนมาแนะนำเล่มอื่นไปแทน

 ๙. The World Is Flat โดย Thomas L. Friedman

Friedman เป็นคอลัมนิสต์ (ที่ดังมาก) ของหนังสือพิมพ์ The New York Times เขียนเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจาก The Lexus and the Olive Tree ที่ว่าด้วยเรื่องราวและบทบาทของ Globalization ที่มีต่อประเทศต่างๆ สำหรับเล่มนี้เป็นเรื่องราวของ Globalization และเทคโนโลยีที่ช่วยให้ประเทศด้อย เอ่อ… กำลังพัฒนาสามารถมาแข่งขันกับประเทศพัฒนาได้ ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือ ธุรกิจเอาต์ซอร์สของอินเดีย ที่ทำเอาคนอเมริกันตกงานกันเพียบบบบ

The World Is Flat / Thomas L. Friedman

สำหรับเล่มที่มีอยู่จะเห็นว่าหน้าปกแปลกไปไม่เหมือนเล่มอื่นๆ ที่เป็นรูปโลกแบนๆ เพราะเล่มนี้เป็น First Edition ที่ทางสำนักพิมพ์ทำพลาด ไปเอารูปมาทำปกโดยไม่ได้ขอลิขสิทธิ์จากเจ้าของ (เป็นตัวอย่างที่ดีว่า สำนักพิมพ์ระดับโลกแม่มก็พลาดโง่ๆ กันได้) พอออกวางขายได้ไม่นานก็โดนฟ้อง เลยต้องเก็บกลับมาพิมพ์ปกใหม่ เวอร์ชั่นนี้เลยมีน้อยนิดนึง รูปที่อยู่บนปกนี่ชื่อว่า I Told You So หรือแปลได้ว่า กูบอกมึงแล้ว (ว่าโลกแบน)

๑๐. Live Love Laugh โดย มนูญ ทองนพรัตน์

คอนเซ็ปต์หนังสือเล่มนี้แข็งแรงมากและถูกใจผมมาก เป็นหนังสือที่ไปสัมภาษณ์คนอาชีพต่างๆ ถึงรูปแบบการใช้ชีวิต ความชอบส่วนตัว งานที่ทำและที่สำคัญคือ บ้านที่เขาอยู่เป็นยังไง ซึ่งก็จะแตกต่างกันตามรูปแบบการใช้ชีวิต อาชีพการงานและความชอบของแต่ละคน เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้คล้ายกับรายการทีวีที่ผมชอบมากรายการนึงทางช่อง ThaiPBS คือ เป็น อยู่ คือ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะผู้เขียนเล่มนี้เป็นทีมงานคนนึงของรายการเป็น อยู่ คือ ด้วย

Live Love Laugh / มนูญ ทองนพรัตน์

จริงๆ ครบ ๑๐ เล่มแล้ว แต่มันเหมือนยังไม่สุด ขออนุญาตแหกกฎ เพิ่มอีกสองสามเล่มคงไม่ว่ากันนะ

๑๑. TIME ฉบับ August 18, 1997

ผมเป็นติ่งพี่’ตีฟ จ็อบส์มาตั้งแต่ม.๒ พอมีงานมีการทำแล้วก็พอจะอ่านภาษาอังกฤษได้บ้างก็เริ่มซื้อหนังสือและแมกกาซีนเกี่ยวกับพี่จ็อบส์ Apple และ Pixar เก็บไว้ ในบรรดาคอลเล็คชั่นทั้งหมดนี่ ต้องยกให้เล่มนี้

TIME / August 18, 1997

ในปี ๑๙๙๗ จ็อบส์เพิ่งกลับมาที่ Apple และในวันนั้นจ็อบส์และ Apple ต่างจากวันที่จ็อบส์เสียชีวิตมากนะครับ Apple กำลังแย่ ใกล้จะล้มละลายเต็มที เรื่องและภาพจากปกเล่มนี้เป็น exclusive story ที่เป็น behind the scene ก่อนที่จ็อบส์จะขึ้นพูดที่งาน MacWorld และประเด็นสำคัญของงานวันนั้นก็คือ การประกาศดีลที่ไม่น่าเป็นไปได้ คือ Microsoft จะลงทุนใน Apple จำนวน ๑๕๐ ล้านเหรียญและสัญญาว่าจะผลิตซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องแมคต่อไป

ดีลนี้โคตรสำคัญสำหรับ Apple ในเวลานั้น ประมาณว่าถ้าดีลล้ม Apple ก็อาจล้มนะครับ

ทีเด็ดของเรื่องนี้ก็คือ ก่อนวันงานแค่ ๑๒ ชั่วโมงจ็อบส์ยังโทรเจรจาดีลกับบิลล์ เกตส์อยู่เลย นักข่าว Time ก็อยู่แถวนั้นด้วย รายละเอียดของดีลอาจจะไม่ได้ยิน แต่หลังจากที่ปิดดีลได้นี่สิครับ จ็อบส์บอกกับเกตส์ว่า

“Thank you for your support for this company. I think the world’s a better place for it”

ครับ ถ้าใครเป็นสาวก Apple ในเวลานั้น ได้ยินประโยคนี้คงจี๊ดดดดดดดน่าดู

๑๒. The Godfather โดย Mario Puzo

 ไม่รู้จะพูดยังไงเล่มนี้ ผมเริ่มจากดูหนังก่อน โคตรชอบ แล้วก็ซื้อเล่มฉบับแปลภาษาไทยมาอ่าน พอเริ่มอ่านภาษาอังกฤษได้ก็ซื้อเล่มภาษาอังกฤษมาอีก หยิบมาอ่านแต่ละครั้งได้มุมมองใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกครั้ง ทีแรกก็อ่านเอามันนะ ครั้งต่อไป เฮ้ย นี่มันเรื่องของครอบครัวนะ ครั้งถัดมา อ้าว มีเรื่องบิสสิเนสด้วยนะ อ่านอีกที อืม นี่มันมีการบริหารบุคคลด้วยนะมึง สุดที่จะเอ่ยอ่ะ

The Godfather / Mario Puzo

๑๓. งานเขียนของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล

ผมเป็นศิษย์สำนักผู้จัดการนะครับ ถึงวันนี้ออกจากสำนักมาแล้วก็ยังสำนึกตัวอยู่เสมอและถือว่าโชคดีมากที่มีโอกาสได้อ่านงานเขียนของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ท่านเจ้าสำนักมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นทำงาน

คุณสนธิมีความสามารถพิเศษในการอธิบายเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่ายๆ บวกกับภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้การเล่าเรื่องของคุณสนธิดึงดูด น่าติดตามและมีพลังอย่างมาก ใครที่เคยดูรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ทางช่อง ๙ โมเดิร์นไนน์เมื่อหลายปีก่อนคงจะพอจำกันได้

ถ้าจะเอาให้ใกล้กว่านั้นก็ลองนึกถึงภาพคุณสนธิบนเวทีพันธมิตรนะครับ

โลกานุวัตร / สนธิ ลิ้มทองกุล

เวลาเขียนหนังสือแล้วเขียนไม่ออก อาจจะตื้อด้วยการเล่าเรื่อง หรือ สำนวนภาษา ผมมักจะหยิบงานเขียนของคุณสนธิมาเปิดดู ซึ่งข้อเสียของการอ่านงานของคุณสนธิที่เจอทุกครั้งก็คือ อ่านแล้วมันเพลิน ลืมเวลา บ่อยครั้งที่ต้องตัดใจวางเพราะไม่งั้นจะเขียนงานตัวเองไม่ทันครับ

 ๑๔. เชอร์ลอคโฮล์มส์ โดย Sir Arthur Conan Doyle

พี่โฮล์มส์นี่น่าจะเป็นนักสืบในดวงใจของเด็กผู้ชาย (และผู้ใหญ่) จำนวนไม่น้อยนะครับ และผมเชื่อว่า ถ้าไปถามเด็กผู้ชายว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร? เด็กส่วนหนึ่งจะอยากเป็นนักสืบ โดยมีที่มาจากความเท่ของพี่โฮล์มส์นี่แหละ (แต่เด็กยุคนี้ไม่รู้แล้วนะ อาจจะอยากโตขึ้นมาเป็นณเดชน์ หรือเจมส์ จิ กันหมดแล้ว)

เชอร์ลอคโฮล์มส์ / Sir Arthur Conan Doyle

ชุดนี้อ.สายสุวรรณเป็นผู้แปล ผมซื้อเอง อ่านมาตั้งแต่เด็ก เพิ่งมาเปิดดูวันนี้ว่าพิมพ์มาตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๖ คลาสสิกมากกกกก

ครบแล้วครับ ยาวมาก ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ใครคิดเห็นยังไง อยากแชร์หนังสือเล่มไหน เชิญได้ในคอมเม้นต์นะครับ

หนังสือที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

หนังสือที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

ปีที่ผ่านมาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีอายุครบ ๑๐๐ ปี ทางโรงพยาบาลได้จัดทำหนังสือที่ระลึกในโอกาสนี้ขึ้น ๒ เล่มนะครับ มีหนังสือที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และหนังสือภาพที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

เล่มแรกจะเป็นเรื่องราวประวัติความเป็นมาของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตั้งแต่เมื่อแรกกำเนิดสภาอุณาโลมแดง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แล้วได้พัฒนามาตามลำดับจนตั้งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ของแต่ละรัชกาล และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นไล่เรียงมาตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีที่แล้ว

ส่วนเล่มที่สองจะเป็นการรวบรวมภาพถ่ายของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งที่เป็นภาพอาคารสถานที่ ภาพการตรวจรักษาของแผนกต่างๆ การแต่งกายของบุคลากรทางการแพทย์ในยุคก่อน ฯลฯ

หนังสือภาพที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

ผมเข้าใจว่าสองเล่มนี้ไม่ได้มีวางจำหน่าย หากใครสนใจก็ลองสอบถามไปที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ดูนะครับ

หนังสือในดวงใจ ๑๐ เล่ม (ตอนที่ ๑)

My desk / September 7, 2014

หมายเหตุ : โพสต์นี้ผมเขียนและโพสต์เอาไว้ในบลอกส่วนตัวตั้งแต่เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๗ แต่เอามาโพสต์ซ้ำอีกครั้งที่นี่เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกันครับ

สืบเนื่องจากน้องเมย์ แห่ง Openrice.com ได้แถ่กมาในเรื่อง ๑๐ อันดับหนังสือในดวงใจ หลังจากที่ใช้เวลาพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว (แปลว่า อู้) ก็ได้มาดังรายการต่อไปนี้ครับ

(หมายเหตุ : ไม่ได้เรียงตามลำดับความชอบ ความสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น ชอบเท่ากันหมด)

๑. หนังสือแปลของคุณสุวิทย์ ขาวปลอด

ผมได้อ่านหนังสือฝีมือแปลของคุณสุวิทย์ ขาวปลอด มาตั้งแต่ช่วงเรียนมอปลาย อ่านแล้วชอบสไตล์ เรื่องที่พี่เค้าเลือกมาแปลก็ใช่เลย บู๊ ล้างผลาญ เขย่าขวัญ สั่นประสาท อะไรแนวนี้ ตามอ่านได้สักพักมั่นใจว่าใช่แน่ ก็ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกสำนักพิมพ์วรรณวิภาของคุณพี่ เป็นแบบพรีเพด ส่งเงินไปให้ก่อน (นี่มาก่อนบริษัทมือถืออีกนะ ใครว่าวงการหนังสือเชย) เวลาหนังสือเล่มใหม่ออกก็จะส่งมาให้ที่บ้าน ทางสำนักพิมพ์ก็ตัดยอดเงินไป ให้ส่วนลดด้วย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ ๓๐%

วิธีนี้คนอ่านกับสำนักพิมพ์ซื้อใจกันขนาดที่ว่า คนอ่านไม่ต้องรู้ว่าเล่มหน้าจะเป็นเรื่องอะไร ของนักเขียนคนไหน ขอให้เชื่อมือเชื่อรสนิยมคุณสุวิทย์เถอะว่า ไม่มีผิดหวัง ส่วนสำนักพิมพ์ก็แฟร์ว่า ถ้าส่งไปแล้ว ลองอ่านดูแล้วคิดว่าไม่ใช่แนว ก็ส่งมาคืนได้ ไม่คิดเงินด้วย เชื่อใจกันขนาดนั้นเลย

ผมได้อ่านงานของนักเขียนดังๆ หลายคนในสมัยนั้นก็จากการแปลของคุณสุวิทย์และนักแปลคนอื่นในสำนักพิมพ์นี่เอง อย่าง Stephen King (นี่ไม่ต้องแนะนำ) Michael Crichton (นี่ดังมาตั้งนานก่อนจะมาระเบิดระเบ้อกับ Jurassic Park) Tom Clancy (พี่คนนี้ชอบเหลือเกินกับแนว techno thriller รบกันเนี่ย) ผมอ่านงานแปลของคุณสุวิทย์มาตั้งแต่เรียนมอปลาย เข้ามหา’ลัย จนจบออกมาทำงาน ต่อมาอีกหลายปีจนคิดว่าน่าจะพออ่านงานฉบับภาษาอังกฤษได้แล้วถึงได้เลิกราการอ่านงานแปลของคุณสุวิทย์ไป

ในบรรดาหนังสือแปลของคุณสุวิทย์ ขอเลือกเล่มนี้ เพราะเป็นเล่มแรกๆ ที่ได้อ่าน (ดูสภาพเอาแล้วกันว่านานแค่ไหนแล้ว) และทำให้ซื้ออ่านมาเรื่อยๆ อย่างที่ว่ามาครับ

ท้าสู้ผีนรก / Stephen King - สุวิทย์ ขาวปลอด

๒. On Writing โดย Stephen King

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน จะมีหนังสืออยู่ประเภทนึงที่ผมมักจะซื้อเก็บไว้ ว่างๆ ก็หยิบมาอ่าน ตอนนี้ก็มีหลายเล่มอยู่ ก็คือหนังสือเกี่ยวกับการเขียน โดยเฉพาะถ้าเป็นนักเขียนมาเขียนเองนี่ชอบมาก แต่ในบรรดาทั้งหลายทั้งปวงที่มีชอบเล่มนี้มากที่สุด

On Writing / Stephen King

ผมได้อ่านงานของ King มานานจากการแปลของคุณสุวิทย์ (ตามที่เล่ามาในข้อ ๑) King เป็นนักเขียนเรื่องสยองขวัญที่ขายดีโคตรๆ (จริงๆ ถ้าใช้สำนวนผม อาจจะหยาบนิดนึงนะ ต้องบอกว่า ขายดีเหี้ยๆ ถ้าเจ๊ J.K. Rowling ไม่ได้พิมพ์ Harry Potter ก็น่าจะยังครองอันดับ ๑ นักเขียนขายดีที่สุดของโลกอยู่) มีนิยายและเรื่องสั้นที่เอาไปทำหนังหลายเรื่อง ที่ติดตาตรึงใจใครหลายๆ คนก็อย่างเช่น Stand By Me หรือ The Shawshank Redemption แต่เล่มนี้ King เขียนเรื่องการเขียนหนังสือบวกกับอัตชีวประวัติตัวเอง จากเด็กที่ชอบเขียนหนังสือจนโตขึ้นมาเป็นนักเขียนที่ดิ้นรนพยายามเลี้ยงชีพตัวเองด้วยงานเขียน จนมาถึงวันที่ประสบความสำเร็จ

King เขียนหนังสือเล่มนี้หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนจนเกือบเสียชีวิตและได้เล่าประสบการณ์เฉียดตายวันนั้นเอาไว้ด้วย

เล่มนี้ครั้งแรกผมซื้อเป็นฉบับปกอ่อนมาก่อน แล้วมีวันนึงไปเจอเล่มปกแข็งที่ร้านหนังสือมือสองเจ้าประจำก็เลยซื้อเก็บไว้อีก

๓. พันธุ์หมาบ้า โดย พี่ชาติ กอบจิตติ

แต่ไหนแต่ไรมาผมเป็นคนไม่อ่านหนังสือแนวเพื่อชีวิต เพื่อสังคม ชีวิตทุกข์ยาก ลำบากลำบน รวมถึงวรรณกรรมเข้มข้น จริงจัง เลยนะครับ จะหยิบอ่านก็ชวนให้หาวเรอเสียทุกครั้งไป ซึ่งพี่ชาติมาแนวนี้ เพราะฉะนั้นวางใจได้ว่าไม่เคยคิดอ่านงานของพี่เค้าเลย ยิ่งพี่เค้าได้ซีไรต์จาก คำพิพากษา ด้วยนะ ผมยิ่งมั่นใจว่าไม่ใช่แนวกูแน่ๆ

พันธุ์หมาบ้า / ชาติ กอบจิตติ

จนกระทั่งพี่เขียนพันธุ์หมาบ้าออกมานี่แหละ ทีแรกก็นึกว่าแนวนั้นแหละ เลยไม่ได้สนใจ จนกระทั่งได้อ่านคำวิจารณ์กับมีคนพูดถึง โดยเฉพาะเรื่อง “กล้วย” และ “เครื่องปอกกล้วย” ก็เลยลองไปพลิกๆ ดูในร้านหนังสือ ถึงได้รู้ว่า เฮ้ย แม่มใช่เลย เกือบพลาดแล้วกู เล่มนี้ก็เลยเป็นงานเขียนเล่มแรกของพี่ชาติที่ได้อ่าน แล้วต่อมาก็ลามไปเล่มอื่น แม้กระทั่งคำพิพากษาที่ทีแรกไม่เอาเลย สุดท้ายก็กลับมาอ่าน รวมไปถึงงานและบทสัมภาษณ์พี่ชาติหลังจากนั้นด้วย

เรียกได้ว่าพันธุ์หมาบ้าเป็นเล่มที่ทำให้ได้อ่านงานพี่ชาติและติดตามมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อสิบกว่าปีก่อนร้านนายอินทร์ ท่าพระจันทร์ จะมีจัดงานเสวนาพบนักเขียนทุกบ่ายวันศุกร์ ครั้งนึงเชิญพี่ชาติมา ผมแว่บออกไปฟังแล้วเอาหนังสือให้พี่เค้าเซ็น เป็นการขอลายเซ็นคนครั้งแรกในชีวิตอ่ะ

(หมายเหตุ : มีเรื่องนึงที่สงสัย เด็กยุคนี้ยังอ่านพันธุ์หมาบ้ากันอยู่มั้ย?)

๔. ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน โดย พี่วินทร์ เลียววาริณ

เล่มนี้ซื้อมาแล้ววางไว้ กว่าจะอ่านก็นานมาก เหตุที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองนะครับ แต่พอเริ่มอ่านแล้วสนุกมาก โคตรทึ่งที่พี่วินทร์เอาประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาเป็นแบคกราวน์แล้ววางโครงเรื่องทับซ้อนลงไป แล้วเล่าออกมาได้สนุกขนาดนี้

ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน / วินทร์ เลียววาริณ

ตอนที่อ่าน The Da Vinci Code ของ Dan Brown ยังนึกถึงเล่มนี้อยู่เลยว่ามาสไตล์คล้ายกัน เอาประวัติศาสตร์เป็นพื้นหลังแล้วเขียนเติมเข้าไป อาจจะบิดหรือเติมบางอย่างเข้าไปให้เรื่องสนุกขึ้น เล่มนี้เป็นอีกเล่มนึงที่อ่านแล้วหยิบมาอ่านซ้ำ

๕. งู โดย วิมล ไทรนิ่มนวล

คุณวิมลเป็นอีกคนนึงที่ผมจัดอยู่ในกลุ่มนักเขียนวรรณกรรมเข้มข้น จริงจัง แนวเพื่อชีวิต ก็เลยไม่เคยสนใจจะอ่านงานของพี่เค้าเลย โดยเฉพาะงานก่อนหน้าเล่มนี้คือ คนทรงเจ้า ดูคร่าวๆ แล้วไม่ใช่แนวแน่ๆ แต่เล่มนี้ก็มีเหตุบังเอิญไปเจอในร้านหนังสือแล้วปกสะดุดตาเลยหยิบมาพลิกๆ ดู (เป็นบทเรียนว่า ปกหนังสือ ช่วยกระตุ้นยอดขายได้นะครับ) แล้วเรื่องที่เขียนตรงกับที่ใจคิดพอดี ก็เลยซื้อมาอ่านและชอบมาก สุดท้ายก็กลับไปอ่านคนทรงเจ้าต่อนะ (เหมือนเคสพี่ชาติเลย)

งู / วิมล ไทรนิ่มนวล

งู เป็นเรื่องที่พูดถึงคนในผ้าเหลืองที่สูบกินจากสังคมรอบข้าง โดยอาศัยความเชื่อและศรัทธาของชาวบ้านเป็นเครื่องมือ (ฟังดูคุ้นๆ มั้ย?) จริงๆ มีประเด็นและสาระอื่นอยู่ด้วยนะ แต่ผมอ่านแล้วมีปัญญาจับมาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

 

ทีแรกว่าจะเขียนให้ครบทั้ง ๑๐ เล่ม แต่นี่แค่ ๕ เล่มแรกก็ยาวขนาดนี้แล้ว ที่เหลือขอเอาไว้ต่อโพสต์หน้านะจ๊ะ (แปลว่า อู้อีกแล้ว)

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘ : ระวังหลัง

ระวังหลัง (Paranoia)

ตามที่ได้เล่าไว้ในโพสต์ก่อนหน้านี้ว่าปีนี้ผมตั้งใจจะอ่านหนังสือและได้ประเดิม Gone Girl เป็นเล่มแรกไปแล้ว เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหลังจากที่หยิบวางหยิบวางมาสองสามเล่มก็สรุปที่เล่มนี้ครับ ระวังหลัง (Paranoia)

เล่มนี้น่าสนใจตรงที่เป็นเรื่องราวของการล้วงข้อมูลในแวดวงธุรกิจ ซึ่งน่าแปลกที่ไม่ค่อยมีใครหยิบประเด็นนี้มาเขียน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมีเรื่องราวทำนองนี้อยู่เยอะมาก เมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อนในประเทศไทยเองก็เคยมีเรื่องทำนองนี้ที่ดังจนขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ นั่นก็คือ บริษัททำปลากระป๋องขนาดใหญ่แห่งหนึ่งจับได้ว่ามีการดูดแฟกซ์ของตัวเองไปโผล่ที่บริษัทคู่แข่ง เป็นเรื่องเป็นราวกันพักใหญ่และก็ต่อเนื่องให้มีคนเอาเครื่องแฟกซ์ที่ปลอดภัยจากการดูดข้อมูลมาวางขายกันด้วย

กลับมาที่เล่มนี้ ตัวเอกของเรื่องถูกซีอีโอบริษัทส่งเข้าไปในบริษัทคู่แข่งเพื่อหาทางสืบข้อมูลโครงการลับที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญที่คาดว่าจะโกยรายได้มหาศาล ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ตัวเอกจำเป็นต้องรับเพื่อแลกกับการที่จะไม่ถูกส่งเข้าคุกจากความผิดที่ได้ก่อเอาไว้ แม้ว่าตัวเอกจะเป็นคนที่ไม่ได้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีและการตลาดอะไรเลยแต่ด้วยการติวเข้มและข้อมูลสนับสนุนจากซีอีโอ ประกอบกับสถานการณ์เอื้ออำนวย ทำให้หน้าที่การงานของตัวเอกของเรื่องโดดเด่นและก้าวหน้าเกินคาดคิด จนกระทั่งได้ทำงานใกล้ชิดกับซีอีโอผู้เป็นเป้าหมาย

ผู้เขียนวางคาแรกเตอร์ตัวละครบางตัวโดยหยิบลักษณะเด่นบางประการของซีอีโอในแวดวงไอทีโลกมาใช้ เช่น ซีอีโอที่ใส่เสื้อคอเต่าสีดำ ซึ่งอ่านแล้วจะนึกถึงใครไปไม่ได้นอกจากสตีฟ จ็อบส์

เรื่องราวดำเนินไปอย่างตื่นเต้น ตัวเอกต้องตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงและหมิ่นเหม่ที่จะถูกจับได้หลายต่อหลายครั้ง รวมไปถึงต้องหาทางเอาตัวรอดจากซีอีโอของตัวเองที่อาจจะหักหลังเมื่อไหร่ก็ได้ จนกระทั่งไปสู่จุดไคลแมกซ์

ถ้าเรื่องนี้จะมีจุดอ่อนอยู่บ้างก็น่าจะตรงที่เป็นนิยายที่เขียนไว้ตั้งแต่ปี ๒๐๐๔ (แต่ทางสำนักพิมพ์เพิ่งจะแปลและพิมพ์เมื่อปีที่แล้วนี่เอง) โดยเป็นเรื่องราวของบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ก็เลยมีการพูดถึงบางบริษัทหรือบางเทคโนโลยีที่ในขณะนั้นยังเป็นที่นิยม แต่ในปัจจุบันเหลือคนใช้ไม่มากแล้ว และบางบริษัทก็ถูกซื้อไปแล้ว ตัวอย่างเช่น ในเรื่องนี้ยังไม่มีใครใช้ iPhone และ Android (เพราะยังไม่ผลิตออกมา) โทรศัพท์ยอดฮิตยังเป็น BlackBerry กันอยู่ เนื้อหาลักษณะนี้อาจทำให้คนอ่านรู้สึกได้ถึงความเก่าของเรื่อง

แต่โดยรวมแล้วเล่มนี้สนุกมาก ใครที่หาอ่านแนวนี้อยู่แนะนำเลยครับ

ระวังหลัง (Paranoia)
ผู้เขียน : โจเซฟ ไฟน์เดอร์
ผู้แปล : ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
ราคา : ๓๒๕ บาท

รีวิวหนังสือ : ระวังหลัง – นิยายที่อาจเกิดขึ้นจริงในโลกธุรกิจ

ระวังหลัง (Paranoia)

ตามที่ได้เล่าไว้ในโพสต์ก่อนหน้านี้ว่าปีนี้ผมตั้งใจจะอ่านหนังสือและได้ประเดิม Gone Girl เป็นเล่มแรกไปแล้ว เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหลังจากที่หยิบวางหยิบวางมาสองสามเล่มก็สรุปที่เล่มนี้ครับ ระวังหลัง (Paranoia)

เล่มนี้น่าสนใจตรงที่เป็นเรื่องราวของการล้วงข้อมูลในแวดวงธุรกิจ ซึ่งน่าแปลกที่ไม่ค่อยมีใครหยิบประเด็นนี้มาเขียน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมีเรื่องราวทำนองนี้อยู่เยอะมาก เมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อนในประเทศไทยเองก็เคยมีเรื่องทำนองนี้ที่ดังจนขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ นั่นก็คือ บริษัททำปลากระป๋องขนาดใหญ่แห่งหนึ่งจับได้ว่ามีการดูดแฟกซ์ของตัวเองไปโผล่ที่บริษัทคู่แข่ง เป็นเรื่องเป็นราวกันพักใหญ่และก็ต่อเนื่องให้มีคนเอาเครื่องแฟกซ์ที่ปลอดภัยจากการดูดข้อมูลมาวางขายกันด้วย

กลับมาที่เล่มนี้ ตัวเอกของเรื่องถูกซีอีโอบริษัทส่งเข้าไปในบริษัทคู่แข่งเพื่อหาทางสืบข้อมูลโครงการลับที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญที่คาดว่าจะโกยรายได้มหาศาล ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ตัวเอกจำเป็นต้องรับเพื่อแลกกับการที่จะไม่ถูกส่งเข้าคุกจากความผิดที่ได้ก่อเอาไว้ แม้ว่าตัวเอกจะเป็นคนที่ไม่ได้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีและการตลาดอะไรเลยแต่ด้วยการติวเข้มและข้อมูลสนับสนุนจากซีอีโอ ประกอบกับสถานการณ์เอื้ออำนวย ทำให้หน้าที่การงานของตัวเอกของเรื่องโดดเด่นและก้าวหน้าเกินคาดคิด จนกระทั่งได้ทำงานใกล้ชิดกับซีอีโอผู้เป็นเป้าหมาย

ผู้เขียนวางคาแรกเตอร์ตัวละครบางตัวโดยหยิบลักษณะเด่นบางประการของซีอีโอในแวดวงไอทีโลกมาใช้ เช่น ซีอีโอที่ใส่เสื้อคอเต่าสีดำ ซึ่งอ่านแล้วจะนึกถึงใครไปไม่ได้นอกจากสตีฟ จ็อบส์

เรื่องราวดำเนินไปอย่างตื่นเต้น ตัวเอกต้องตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงและหมิ่นเหม่ที่จะถูกจับได้หลายต่อหลายครั้ง รวมไปถึงต้องหาทางเอาตัวรอดจากซีอีโอของตัวเองที่อาจจะหักหลังเมื่อไหร่ก็ได้ จนกระทั่งไปสู่จุดไคลแมกซ์

ถ้าเรื่องนี้จะมีจุดอ่อนอยู่บ้างก็น่าจะตรงที่เป็นนิยายที่เขียนไว้ตั้งแต่ปี ๒๐๐๔ (แต่ทางสำนักพิมพ์เพิ่งจะแปลและพิมพ์เมื่อปีที่แล้วนี่เอง) โดยเป็นเรื่องราวของบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ก็เลยมีการพูดถึงบางบริษัทหรือบางเทคโนโลยีที่ในขณะนั้นยังเป็นที่นิยม แต่ในปัจจุบันเหลือคนใช้ไม่มากแล้ว และบางบริษัทก็ถูกซื้อไปแล้ว ตัวอย่างเช่น ในเรื่องนี้ยังไม่มีใครใช้ iPhone และ Android (เพราะยังไม่ผลิตออกมา) โทรศัพท์ยอดฮิตยังเป็น BlackBerry กันอยู่ เนื้อหาลักษณะนี้อาจทำให้คนอ่านรู้สึกได้ถึงความเก่าของเรื่อง

แต่โดยรวมแล้วเล่มนี้สนุกมาก ใครที่หาอ่านแนวนี้อยู่แนะนำเลยครับ

ระวังหลัง (Paranoia)
ผู้เขียน : โจเซฟ ไฟน์เดอร์
ผู้แปล : ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
ราคา : ๓๒๕ บาท

แนะนำนิตยสาร : Offscreen

Offscreen

วันก่อนกลับถึงบ้านมีพัสดุมาส่ง พี่บุรุษไปรษณีย์วางเอาไว้บนหัวเสาที่กำแพงบ้านครับ เป็นพัสดุที่ส่งมาจากเยอรมันและมีการออกแบบแพคเกจจิ้งที่ดีมาก แน่นหนา แข็งแรง น่าจะมีสำนักพิมพ์ในบ้านเราทำอย่างนี้บ้าง (นอกจากสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ที่ผมประทับใจในการบรรจุหนังสือเพื่อจัดส่งให้ลูกค้ามากถึงมากที่สุดครับ)

แกะกล่องออกมาเจอเล่มนี้ครับ

Offscreen no.9

และเล่มนี้อีกเล่ม

Offscreen 10

Offscreen เป็นนิตยสารรายสามเดือน เนื้อหาเกี่ยวกับผู้คนในแวดวงเว็บดีไซน์และ application developer แต่ละเล่มจะมีบทสัมภาษณ์คนในด้านนี้ให้อ่านกันจุใจ เสริมด้วยเนื้อหาอื่นๆ อย่างเช่น ภาพออฟฟิศบริษัทไอทีดังๆ หรือบริษัททำแอปที่เราใช้กันอยู่ และด้วยความที่เนื้อหาเกี่ยวกับคนทำงานด้านดีไซน์ ทำให้การใช้ฟอนต์ การวางเลย์เอาต์และภาพประกอบของนิตยสารเล่มนี้ออกมาดูดีน่าอ่าน กระดาษที่ใช้ก็ให้ความรู้สึกดีเมื่อสัมผัสและพลิกอ่าน

บรรณาธิการของ Offscreen ถูกตั้งคำถามมากเหมือนกันว่า ยุคนี้คนส่วนใหญ่อ่านหนังสือบนหน้าจอกันหมดแล้ว แถมเนื้อหาของนิตยสารก็เป็นเรื่ิองราวของคนในวงการไอทีและออนไลน์ ซึ่งก็เป็นกลุ่มคนที่คุ้นเคยกับหน้าจอดีที่สุด ทำไมถึงเลือกที่จะพิมพ์ออกมาเป็นเล่มแทนที่จะให้อ่านบนหน้าจอ เขาตอบว่ายังงี้ครับ เขาบอกว่า Offscreen เป็นนิตยสารของเรื่องราวที่เกิดขึ้น “นอก” จอ เหมือนกับชื่อนิตยสาร เขาอยากให้คนอ่านวางไอแพด หันมาหยิบแก้วกาแฟแล้วเพลินไปกับการอ่านในแบบเดิมๆ เขาเชื่อว่าการนำเสนอคอนเทนต์แบบที่เขาทำเป็นรูปเล่มที่สัมผัสได้ เก็บสะสมได้แล้วก็อ่านที่ไหนก็ได้มันเหมาะสมกว่า

อีกเรื่องที่เท่ห์มากในความคิดของผมก็คือ กองบรรณาธิการของ Offscreen มีอยู่แค่คนเดียวคือ Kai Brach ซึ่งรับหน้าที่ทั้งบรรณาธิการและอาร์ต ไดฯ อยู่ในตัวคนเดียวเสร็จสรรพ เวลาทำงานในกองก็ไม่ต้องทะเลาะกับใคร เพราะถ้าทะเลาะก็ทะเลาะกับตัวเอง มันจะดูแปลกไปหน่อย แต่เขาก็มีใช้บริการของฟรีแลนซ์อยู่ด้วยนะครับ ทั้งในด้านงานเขียน การถ่ายภาพ ที่แปลกอีกอย่างก็คือ Brach นี่อยู่ที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย แต่คนที่เขาสัมภาษณ์มาลงในเล่มส่วนใหญ่อยู่ในอเมริกา นั่งปิดต้นฉบับทำอาร์ตอยู่ที่เมลเบิร์น ปิดเล่มเสร็จส่งไฟล์ไปพิมพ์ที่เยอรมันแล้วก็จัดส่งให้สมาชิกกับลูกค้าทั่วโลกจากที่เยอรมัน (นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพัสดุที่ส่งมาถึงมาจากเยอรมันครับ)

เท่าที่เดินดูในร้านหนังสือใหญ่ๆ ตอนนี้ยังไม่มีใครเอา Offscreen มาวางขายนะครับ ผมเคยทวีตไปบอกเขาให้ติดต่อ Kinokuniya กับ Asiabooks ที่บ้านเราแล้ว เขาตอบมาว่าสองเจ้านี้ร้านใหญ่เกินไป ทางร้านเขาไม่วาง (อันนี้ไม่รู้ทำไม) ก็เลยลองแนะนำร้าน The Booksmith ที่เชียงใหม่ไป เห็นเขาว่าจะลองติดต่อดู แต่ไม่รู้ได้ความเป็นยังไงนะครับ

ถ้าใครสนใจอยากซื้อมาลองอ่านดูบ้าง ราคาขายปลีกรวมค่าส่ง (ส่งทุกที่ทั่วโลก) ตกเล่มละ ๒๒ เหรียญ แต่ถ้าสมัครสมาชิก ๓ เล่ม หรือซื้อ ๓ เล่มจะลดเหลือ ๕๙ เหรียญ เชิญได้ที่นี่ครับ หรือถ้าจะอ่านบลอกทำความรู้จักกันก่อนก็ที่นี่ครับ

ขอให้มีความสุขกับการอ่านครับ ❤

แนะนำนิตยสาร : The Wisdom มกราคม – มีนาคม ๒๕๕๘

The Wisdom

นิตยสาร The Wisdom เป็นนิตยสารราย ๓ เดือนที่แจกฟรีให้กับลูกค้ากลุ่ม Wisdom ของธนาคารกสิกรไทยนะครับ สำหรับฉบับแรกของปีนี้เป็นเล่มพิเศษเนื่องในโอกาสที่พระที่นั่งอนันตสมาคมจะมีอายุครบ ๑๐๐ ปีในปีนี้

เนื้อหาส่วนใหญ่ในเล่มก็เลยเป็นเรื่องราวของพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยมีบทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหลายคนด้วยกัน ประกอบด้วย ศ.ดร.มรว.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดี ท่านผู้หญิงสุภรภ์เพ็ญ หลวงเทพนิมิต รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ไทย และ ผศ.ดร.พีรศรี โพวาทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยนอกจากบทสัมภาษณ์ที่ว่ามาแล้วยังมีภาพประกอบทั้งที่เป็นภาพเก่าที่หาชมได้ยาก และภาพงานศิลป์ที่จัดแสดงอยู่ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมด้วย

นอกจากนี้ ยังมีบทความพิเศษที่เล่าถึงโครงการเส้นทางรถไฟไทยสู่จีน ซึ่งเป็นเมกะโปรเจ็คต์ที่เกือบจะเกิดขึ้นจริงตั้งแต่เมื่อ ๑๒๙ ปีก่อน โดยมีข้อมูลและแผนที่โบราณจากคุณไกรฤกษ์ นานา นักค้นคว้าประวัติศาสตร์ไทย ที่ไปประมูลเอกสารชิ้นนี้มาจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยเอกสารชิ้นนี้ได้เปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับกิจการรถไฟที่ไม่เคยถูกบันทึกเอาไว้ในประเทศไทยมาก่อน

ใครที่สนใจ The Wisdom เล่มนี้ลองติดต่อธนาคารกสิกรไทยดูนะครับ

แนะนำหนังสือ : ๗๒ ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย

๗๒ ปีธนาคารแห่งประเทศไทย

มีหนังสือดีมาแนะนำครับ สำหรับคนที่สนใจเรื่องราวด้านประวัติศาสตร์และการเงินการธนาคาร เล่มนี้เลยครับ ๗๒ ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. จัดทำขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๒ ปีของการก่อตั้งเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา

เนื้อหา ด้านในเล่าถึงประวัติของธปท. ตั้งแต่ยุคก่อนที่จะมีธนาคารชาติ ซึ่งมีชาวต่างชาติเสนอตัวมาขอตั้งธนาคารชาติให้กับสยามประเทศหลายรายด้วยกัน มาจนถึงความพยายามของคนไทยเอง แต่ก็มีความคิดเห็นที่หลากหลาย ไม่เห็นพ้องต้องกันนัก รวมทั้งยังโดนขัดขวางจากที่ปรึกษาต่างชาติ ทำให้กว่าจะก่อตั้งและเปิดดำเนินการธนาคารชาติของเราได้ก็กินเวลาล่วงเลยมา นับสิบปีเลยทีเดียว

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องราวและประวัติของผู้ว่าการธปท. ทุกคน (พร้อมภาพประกอบ) ตั้งแต่คนแรก คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย มาจนถึง ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ คนปัจจุบัน (ที่กำลังจะหมดวาระในปีนี้และได้ยินมาว่าจะไม่เสนอตัวเข้ารับคัดเลือกเป็น วาระสอง) โดยผู้เขียนได้เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคของผู้ว่าการแต่ ละคน ซึ่งในหลายกรณีเป็นการมีส่วนร่วมของธปท. ต่อเหตุการณ์สำคัญทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ประเภทที่ว่าถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาอาจถึงขั้นประเทศล่มจมกันได้เลย

บาง เหตุการณ์ก็เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยประเภทที่คนชอบเรื่องราวทำนองนี้น่าจะถูก ใจ อาทิเช่น น่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเมื่อแรกเปิดดำเนินการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดทำลูกกุญแจทองคำขึ้น โดยลูกกุญแจนี้ใช้เพื่อไขประตูหน้าของที่ทำการในวันนั้น หรือความเป็นมาของโรงพิมพ์ธนบัตรของไทยที่ต้องถึงระดับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สั่งการถึงจะได้ดำเนินการ

หนังสือเล่มนี้ไม่มีวางจำหน่ายนะครับ ใครสนใจลองสอบถามไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเอาเอง โชคดีครับ

————————-

อัพเดตครับ

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่ลิ้งก์นี้นะครับ https://www.bot.or.th/Broadcast/EBook/72BOT/72BOT/book/files/extfile/72BOT.pdf