แนะนำนิตยสาร : Offscreen

Offscreen

วันก่อนกลับถึงบ้านมีพัสดุมาส่ง พี่บุรุษไปรษณีย์วางเอาไว้บนหัวเสาที่กำแพงบ้านครับ เป็นพัสดุที่ส่งมาจากเยอรมันและมีการออกแบบแพคเกจจิ้งที่ดีมาก แน่นหนา แข็งแรง น่าจะมีสำนักพิมพ์ในบ้านเราทำอย่างนี้บ้าง (นอกจากสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ที่ผมประทับใจในการบรรจุหนังสือเพื่อจัดส่งให้ลูกค้ามากถึงมากที่สุดครับ)

แกะกล่องออกมาเจอเล่มนี้ครับ

Offscreen no.9

และเล่มนี้อีกเล่ม

Offscreen 10

Offscreen เป็นนิตยสารรายสามเดือน เนื้อหาเกี่ยวกับผู้คนในแวดวงเว็บดีไซน์และ application developer แต่ละเล่มจะมีบทสัมภาษณ์คนในด้านนี้ให้อ่านกันจุใจ เสริมด้วยเนื้อหาอื่นๆ อย่างเช่น ภาพออฟฟิศบริษัทไอทีดังๆ หรือบริษัททำแอปที่เราใช้กันอยู่ และด้วยความที่เนื้อหาเกี่ยวกับคนทำงานด้านดีไซน์ ทำให้การใช้ฟอนต์ การวางเลย์เอาต์และภาพประกอบของนิตยสารเล่มนี้ออกมาดูดีน่าอ่าน กระดาษที่ใช้ก็ให้ความรู้สึกดีเมื่อสัมผัสและพลิกอ่าน

บรรณาธิการของ Offscreen ถูกตั้งคำถามมากเหมือนกันว่า ยุคนี้คนส่วนใหญ่อ่านหนังสือบนหน้าจอกันหมดแล้ว แถมเนื้อหาของนิตยสารก็เป็นเรื่ิองราวของคนในวงการไอทีและออนไลน์ ซึ่งก็เป็นกลุ่มคนที่คุ้นเคยกับหน้าจอดีที่สุด ทำไมถึงเลือกที่จะพิมพ์ออกมาเป็นเล่มแทนที่จะให้อ่านบนหน้าจอ เขาตอบว่ายังงี้ครับ เขาบอกว่า Offscreen เป็นนิตยสารของเรื่องราวที่เกิดขึ้น “นอก” จอ เหมือนกับชื่อนิตยสาร เขาอยากให้คนอ่านวางไอแพด หันมาหยิบแก้วกาแฟแล้วเพลินไปกับการอ่านในแบบเดิมๆ เขาเชื่อว่าการนำเสนอคอนเทนต์แบบที่เขาทำเป็นรูปเล่มที่สัมผัสได้ เก็บสะสมได้แล้วก็อ่านที่ไหนก็ได้มันเหมาะสมกว่า

อีกเรื่องที่เท่ห์มากในความคิดของผมก็คือ กองบรรณาธิการของ Offscreen มีอยู่แค่คนเดียวคือ Kai Brach ซึ่งรับหน้าที่ทั้งบรรณาธิการและอาร์ต ไดฯ อยู่ในตัวคนเดียวเสร็จสรรพ เวลาทำงานในกองก็ไม่ต้องทะเลาะกับใคร เพราะถ้าทะเลาะก็ทะเลาะกับตัวเอง มันจะดูแปลกไปหน่อย แต่เขาก็มีใช้บริการของฟรีแลนซ์อยู่ด้วยนะครับ ทั้งในด้านงานเขียน การถ่ายภาพ ที่แปลกอีกอย่างก็คือ Brach นี่อยู่ที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย แต่คนที่เขาสัมภาษณ์มาลงในเล่มส่วนใหญ่อยู่ในอเมริกา นั่งปิดต้นฉบับทำอาร์ตอยู่ที่เมลเบิร์น ปิดเล่มเสร็จส่งไฟล์ไปพิมพ์ที่เยอรมันแล้วก็จัดส่งให้สมาชิกกับลูกค้าทั่วโลกจากที่เยอรมัน (นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพัสดุที่ส่งมาถึงมาจากเยอรมันครับ)

เท่าที่เดินดูในร้านหนังสือใหญ่ๆ ตอนนี้ยังไม่มีใครเอา Offscreen มาวางขายนะครับ ผมเคยทวีตไปบอกเขาให้ติดต่อ Kinokuniya กับ Asiabooks ที่บ้านเราแล้ว เขาตอบมาว่าสองเจ้านี้ร้านใหญ่เกินไป ทางร้านเขาไม่วาง (อันนี้ไม่รู้ทำไม) ก็เลยลองแนะนำร้าน The Booksmith ที่เชียงใหม่ไป เห็นเขาว่าจะลองติดต่อดู แต่ไม่รู้ได้ความเป็นยังไงนะครับ

ถ้าใครสนใจอยากซื้อมาลองอ่านดูบ้าง ราคาขายปลีกรวมค่าส่ง (ส่งทุกที่ทั่วโลก) ตกเล่มละ ๒๒ เหรียญ แต่ถ้าสมัครสมาชิก ๓ เล่ม หรือซื้อ ๓ เล่มจะลดเหลือ ๕๙ เหรียญ เชิญได้ที่นี่ครับ หรือถ้าจะอ่านบลอกทำความรู้จักกันก่อนก็ที่นี่ครับ

ขอให้มีความสุขกับการอ่านครับ ❤

What We Read: เอกวสา สุขส่ง

Eakwasa

ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้น โดยมีตอนนี้เป็นตอนแรกครับ

ชื่อ-นามสกุล :  เอกวสา สุขส่ง (ดาว)

อาชีพ : นักข่าวนิตยสารธุรกิจการตลาดรายเดือน

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
เมื่อว่างจากการปิดเล่ม ประมาณช่วง ๒ อาทิตย์แรกของเดือน ตอนนั้นจะมีเวลาชิลๆ ให้หยิบหนังสือมาอ่านได้สบายๆ ส่วนใหญ่จะอ่านตอนเย็นหลังจากกลับบ้านกับวันเสาร์ อาทิตย์ ถ้าไม่ได้ออกไปทำธุระที่ไหนก็ใช้เวลาอ่านได้ทั้งวัน ถ้าเล่มไหนสนุกอ่านเพลินๆ ใช้เวลาไม่กี่วันก็อ่านจบ แต่ถ้าเป็นช่วงปิดเล่มอยู่จะขอเว้นการอ่านหนังสือไปสักพักใหญ่ๆ เคลียร์งานจบค่อยเจอกัน

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
กำลังอ่าน Love a Lot is Not Enough มากกว่าแค่คำว่า “รัก” อยู่ เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คของเพื่อนสมัยเรียนปริญญาโทเขียนขึ้นมา ชื่อ “หนึ่ง” และ “เดียว” ทั้งสองคนเป็นคู่รักที่รู้จักกันมานานกว่า ๑๖ ปี ทำธุรกิจด้านความรักด้วยกันมา ๙ ปี แต่งงานกันมาแล้ว ๗ ปี และปัจจุบันมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนอายุ ๖ เดือน ชื่อว่า “คนนี้” โดยทั้งคู่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ความรักและการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันออกมาเป็นข้อๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่ามีอีกหลายคำและหลายข้อสำคัญ ที่สามารถนำมาใช้กับชีวิตคู่ของทุกคนได้ เพื่อความรักและความเข้าใจที่ยืนยาว

loveisnotenough

ไม่ว่าจะเป็น… ๑. เวลาทะเลาะกันให้รีบคิดว่าพรุ่งนี้ก็ลืมแล้วว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ให้รีบคืนดีกัน ๒. อย่าเบื่อที่จะรับสาย เพราะมันดีกว่าไม่มีใครโทรเข้ามา ๓. ไม่มองบ้างไม่พูดบ้างทำให้ความรักยืนยาวขึ้น ๔. ความรักไม่ใช่เกมส์กีฬาอย่ามัวแต่หาคนชนะหรือแพ้ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะเป็นผู้แพ้ทั้งคู่ ๕. เมื่อคนหนึ่งพูดอีกคนต้องฟัง

และยังมีอีกหลายข้อที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากสำหรับตัวเอง เพราะปกติแล้วจะชอบอ่านแต่หนังสือแปลแนวสืบสวน สอบสวน กับแฟนตาซีเป็นส่วนใหญ่ พออ่านเล่มนี้แล้วรู้สึกว่านำมาใช้ในชีวิตจริงได้ และเหมาะกับทุกคน

หนังสือที่คุณอ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
เล่มที่อ่านจบไปล่าสุดคือ สนิท ชิด เชือด (Sharp Objects) ของ Gillian Flynn ผู้แต่งคนเดียวกับเรื่อง Gone Girl อันโด่งดังทั้งในรูปแบบหนังสือและภาพยนตร์ เป็นแนวลึกลับ สอบสวน โดยมีคามิลล์ พริกเกอร์ นักข่าวสาวจากชิคาโกเป็นตัวเดินเรื่อง เธอถูกส่งไปทำข่าวฆาตกรรมเด็กนักเรียนที่เมืองเล็กๆ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอที่จากมานานกว่า ๑๐ ปี ภายในเมืองเล็กๆ ที่ดูน่าจะปลอดภัยกลับแฝงเรื่องราวและเบื้องหลังบางอย่างที่น่าสะพรึงไว้มากมาย

sharpobjects

ที่น่าสนใจคือตัวละครทุกตัวดูเหมือนคนมีปมและช่างน่าสงสัยไปหมดว่าใครคือฆาตกรตัวจริง ตอนแรกเดาไว้แล้วว่ามีคนสำคัญของคามิลล์คนนึงเป็นฆาตรกรแน่ๆ แต่สุดท้ายก็หักมุม และมีหลายอย่างที่ซับซ้อนกว่าที่คาดเดาไว้มาก ผู้เขียนวางพล็อตไว้ได้น่าติดตามและหักมุมสุดๆ แม้ว่าเมื่อเทียบกับ Gone Girl แล้ว ระดับความซับซ้อนของเรื่องนี้ยังถือว่าเบากว่าเยอะมากกกกกกกก แต่ก็ไม่น่าผิดหวังสำหรับคอนิยายแนวนี้

หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร?
มีหนังสือเล่มนึงที่ซื้อไว้เพื่อเตรียมอ่านตอนว่างๆ แล้ว ชื่อ Six Years สาปสูญ เขียนโดย ฮาร์ลาน โคเบน ซึ่งมีผลงานออกมาหลายเล่มแล้ว และแน่นอนว่ายังเป็นแนวลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนปม เช่นเคย เพราะเป็นแนวที่ชอบมาก อีกเรื่องที่สนใจคือ Fifty Shades of Grey อันโด่งดัง บอกเลยว่าอ่านตามกระแส ยังไม่ได้ดูหนังว่าเป็นไง แต่ได้ยินจากคนที่เคยมาหลายคนบอกว่าหนังสือแซ่บกว่าเยอะ งานนี้ต้องลอง อิอิ

sixyears

หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
ถ้าเป็นแนวที่สามารถนำกลับมาใช้ในชีวิตจริงได้คงแนะนำ Love a Lot is Not Enough มากกว่าแค่คำว่า “รัก” แม้จะยังอ่านไม่จบดีแต่ก็ได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตคู่มาเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของแฟนหรือคนรักก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ ส่วนคนที่โสดก็ใช่ว่าจะอ่านไม่ได้ เพราะมีบางข้อที่เหมาะกับคนโสดเหมือนกัน หรือจะอ่านไว้เพื่อเตรียมรับมือกับความรักใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคตก็ยังได้

ส่วนใครที่ชอบแนวแฟนตาซีขอแนะนำ The Hunger Games ทั้ง ๓ เล่ม ถึงจะเป็นนิยายแฟนตาซีแต่ก็มีทั้งแอกชั่น ดราม่า และการเมืองแทรกอยู่ด้วย จึงออกโทนดาร์กๆ หน่อย ไม่ใช่แนวแฟนตาซีเพ้อฝัน บางคนดูในโรงอาจจะไม่อิน แต่ถ้าอ่านหนังสือแล้วบอกเลยว่าสนุกกว่ามาก เปิดโลกจินตนาการได้กว้างไกลสุดๆ ส่วนตัวแล้วไปดูในโรงก่อนในภาคแรกจากนั้นก็ติดใจเลยซื้อมาอ่านทีเดียว ๓ เล่มรวดจบแบบมาราธอน ฟินๆ กันไป

แนะนำนิตยสาร : The Wisdom มกราคม – มีนาคม ๒๕๕๘

The Wisdom

นิตยสาร The Wisdom เป็นนิตยสารราย ๓ เดือนที่แจกฟรีให้กับลูกค้ากลุ่ม Wisdom ของธนาคารกสิกรไทยนะครับ สำหรับฉบับแรกของปีนี้เป็นเล่มพิเศษเนื่องในโอกาสที่พระที่นั่งอนันตสมาคมจะมีอายุครบ ๑๐๐ ปีในปีนี้

เนื้อหาส่วนใหญ่ในเล่มก็เลยเป็นเรื่องราวของพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยมีบทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหลายคนด้วยกัน ประกอบด้วย ศ.ดร.มรว.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดี ท่านผู้หญิงสุภรภ์เพ็ญ หลวงเทพนิมิต รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ไทย และ ผศ.ดร.พีรศรี โพวาทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยนอกจากบทสัมภาษณ์ที่ว่ามาแล้วยังมีภาพประกอบทั้งที่เป็นภาพเก่าที่หาชมได้ยาก และภาพงานศิลป์ที่จัดแสดงอยู่ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมด้วย

นอกจากนี้ ยังมีบทความพิเศษที่เล่าถึงโครงการเส้นทางรถไฟไทยสู่จีน ซึ่งเป็นเมกะโปรเจ็คต์ที่เกือบจะเกิดขึ้นจริงตั้งแต่เมื่อ ๑๒๙ ปีก่อน โดยมีข้อมูลและแผนที่โบราณจากคุณไกรฤกษ์ นานา นักค้นคว้าประวัติศาสตร์ไทย ที่ไปประมูลเอกสารชิ้นนี้มาจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยเอกสารชิ้นนี้ได้เปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับกิจการรถไฟที่ไม่เคยถูกบันทึกเอาไว้ในประเทศไทยมาก่อน

ใครที่สนใจ The Wisdom เล่มนี้ลองติดต่อธนาคารกสิกรไทยดูนะครับ

โครงการระดมทุน โมบี-ดิ๊ก ฉบับประชาชน

โครงการระดมทุน โมบี-ดิ๊ก ฉบับประชาชน

มีโครงการน่าสนใจมาบอกต่อครับ ทางกลุ่มวรรณกรรมไม่จำกัดได้ร่วมกับ Readery ร้านหนังสือออนไลน์ จัดโครงการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการแปล Moby-Dick ฉบับภาษาไทย โดยมีคุณขวัญดวง แซ่เตีย เป็นผู้แปล และคุณมนตรี ภูมี เป็นบรรณาธิการ

การระดมทุนครั้งนี้ ตั้งเป้าหมายการระดมทุนเอาไว้ที่ ๕๐๐,๐๐๐ บาทถ้วน ผู้สนใจสามารถลงทุนอย่างน้อยคนละ ๗๐๐ บาท โดยจะได้รับหนังสือ Moby-Dick ฉบับภาษาไทย ปกแข็ง จำนวน ๑ เล่ม (ต่อ ๗๐๐ บาท) ได้รับหนังสือภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘

การระดมทุนครั้งนี้มีกำหนดถึงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์นี้นะครับ

ผมไม่รู้จักกับใครที่กลุ่มวรรณกรรมไม่จำกัดและ Readery เป็นการส่วนตัว รวมทั้งยังไม่เคยเห็นผลงานของคุณขวัญดวง และคุณมนตรีมาก่อน แต่ผมคิดว่าโครงการนี้จะช่วยเผยแพร่วรรณกรรมคลาสสิกให้กว้างขวางขึ้นในประเทศไทย และถ้าจะรอให้มีสำนักพิมพ์ไหนใจถึงจัดพิมพ์ออกมาจำหน่ายก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อไหร่ งานนี้ก็เลยช่วยสนับสนุนและเผยแพร่ตามกำลังที่มีนะครับ

ผู้สนใจขอเชิญเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมและร่วมลงทุนได้ที่นี่ครับ

ประสบการณ์ไป “ดูที่” ครั้งแรก

ไร่อ้อย

ผมเพิ่งไป “ดูที่” มา เป็นการไปดูที่โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะซื้อที่ดินเปล่าเป็นของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต

เรื่องของเรื่องก็คือ ผมวางแผนชีวิตเอาไว้ว่าหลังจากที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนไปอีกสักพักก็จะเกษียณล่ะ ใช้ชีวิตชิลๆ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงหมาไปวันๆ ทีนี้ถ้าจะให้ดีก็อยากจะมีที่เยอะๆ สักหน่อย จะได้ปลูกพืชผักสวนครัว ผลไม้ ได้หลายอย่าง มีที่ให้หมาวิ่งเล่น ขุดบ่อน้ำให้หมาได้โดดเล่นดำผุดดำว่ายให้สำราญใจ ความต้องการขนาดนี้จะอยู่กรุงเทพฯ หรือปริมณฑลก็ท่าจะไม่ไหว ชีวิตไม่ได้มั่งมีขนาดนั้น ก็เลยต้องออกไปหาที่ทางตามต่างจังหวัด

หลังจากถามไถ่ไปทางคนรู้จักมาพักใหญ่ๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนก็มีคนมาบอกว่า มีคนแถวบ้านเขาจะขายที่ มีโฉนดเรียบร้อย แบ่งเป็นแปลงแล้ว พอถามไถ่ทำเลที่ตั้ง ขนาดพื้นที่และราคาแล้วเห็นว่าพอไหว ก็เลยนัดไปดูที่กัน

ผมไปดูที่ครั้งนี้ไปแบบคนไม่มีความรู้เลยนะครับ ไม่ได้ถามใครหรือเสิร์ชเน็ตหาข้อมูลก่อนเลยว่าจะต้องดูอะไรบ้าง ดูทิศ ดูลมอะไรไม่มีอ่ะ ไปแบบตัวเปล่าๆ นี่ล่ะ อาศัยว่ามีคนในพื้นที่พาไปดูให้อุ่นใจได้อย่างเดียว ขนาดว่ามีคนในพื้นที่พาไปนะครับก็ยังหลงเล็กน้อยให้พองาม ไปถึงแล้วก็ไม่แน่ใจว่าแปลงที่เขาจะขายน่ะแปลงไหน (เพราะไม่ได้โทรตามเจ้าของที่มาด้วย) แต่ยังดีที่มีคนรู้จักช่วยชี้ให้ดู ก็แปลงที่เห็นในรูปด้านบนนี่แหละครับ ขนาดพื้นที่ตั้งแต่จุดที่ยืนถ่ายรูปนี้ จากคันดินที่ขอบรูปด้านซ้ายไปจรดคันดินด้านขวาที่มีต้นตาลตายยอดด้วนอยู่นั่น แล้วยิงยาวตรงทะลุแปลงไร่อ้อยที่เห็นอยู่ลิบๆ นั่นเข้าไปอีกหลายสิบเมตร

คนที่พามาบอกที่นี่น้ำไม่ท่วมแน่ๆ ขนาดตอนน้ำท่วมใหญ่ก็ยังไม่ท่วม เพราะถ้าที่นี่ท่วมล่ะก็อำเภออื่นขึ้นบ้านสองชั้นนั่นแหละ แกว่างั้น

ดูแปลงนี้เสร็จเราย้ายไปดูอีกแปลงที่อีกตำบลนึง ปรากฎว่าแปลงนั้นที่สวยกว่านี้ ดูแล้วบรรยากาศดีกว่านี้ (แต่ดันไม่ได้ถ่ายรูปมา) สรุปว่าชอบแปลงที่สองมากกว่า แต่ติดนิดเดียวที่เจ้าของไม่ยอมแบ่งขาย จะขายยกแปลง ซึ่งมันใหญ่เกินกว่าที่เราอยากได้ ตอนนี้ก็เลยพยายามหาคนมาช่วยกันแชร์กับดูที่แปลงใหม่ไปพร้อมๆ กัน

มีใครสนใจมั้ยครับ?

แนะนำหนังสือ : ๗๒ ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย

๗๒ ปีธนาคารแห่งประเทศไทย

มีหนังสือดีมาแนะนำครับ สำหรับคนที่สนใจเรื่องราวด้านประวัติศาสตร์และการเงินการธนาคาร เล่มนี้เลยครับ ๗๒ ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. จัดทำขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๒ ปีของการก่อตั้งเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา

เนื้อหา ด้านในเล่าถึงประวัติของธปท. ตั้งแต่ยุคก่อนที่จะมีธนาคารชาติ ซึ่งมีชาวต่างชาติเสนอตัวมาขอตั้งธนาคารชาติให้กับสยามประเทศหลายรายด้วยกัน มาจนถึงความพยายามของคนไทยเอง แต่ก็มีความคิดเห็นที่หลากหลาย ไม่เห็นพ้องต้องกันนัก รวมทั้งยังโดนขัดขวางจากที่ปรึกษาต่างชาติ ทำให้กว่าจะก่อตั้งและเปิดดำเนินการธนาคารชาติของเราได้ก็กินเวลาล่วงเลยมา นับสิบปีเลยทีเดียว

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องราวและประวัติของผู้ว่าการธปท. ทุกคน (พร้อมภาพประกอบ) ตั้งแต่คนแรก คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย มาจนถึง ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ คนปัจจุบัน (ที่กำลังจะหมดวาระในปีนี้และได้ยินมาว่าจะไม่เสนอตัวเข้ารับคัดเลือกเป็น วาระสอง) โดยผู้เขียนได้เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคของผู้ว่าการแต่ ละคน ซึ่งในหลายกรณีเป็นการมีส่วนร่วมของธปท. ต่อเหตุการณ์สำคัญทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ประเภทที่ว่าถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาอาจถึงขั้นประเทศล่มจมกันได้เลย

บาง เหตุการณ์ก็เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยประเภทที่คนชอบเรื่องราวทำนองนี้น่าจะถูก ใจ อาทิเช่น น่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเมื่อแรกเปิดดำเนินการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดทำลูกกุญแจทองคำขึ้น โดยลูกกุญแจนี้ใช้เพื่อไขประตูหน้าของที่ทำการในวันนั้น หรือความเป็นมาของโรงพิมพ์ธนบัตรของไทยที่ต้องถึงระดับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สั่งการถึงจะได้ดำเนินการ

หนังสือเล่มนี้ไม่มีวางจำหน่ายนะครับ ใครสนใจลองสอบถามไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเอาเอง โชคดีครับ

————————-

อัพเดตครับ

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่ลิ้งก์นี้นะครับ https://www.bot.or.th/Broadcast/EBook/72BOT/72BOT/book/files/extfile/72BOT.pdf

ปีนี้ตั้งใจจะอ่าน “หนังสือ”

Gone Girl

เมื่อตอนวันหยุดช่วงปลายปีที่ผ่านมาใช้เวลานั่งคิดว่าวาระของปีนี้จะเป็น อะไรดี แล้วก็นึกได้ว่าช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาผมอ่านหนังสือ (ที่เป็นเล่ม) น้อยลงมาก ถึงแม้จะซื้อในปริมาณเท่าๆ กับเมื่อก่อน แต่ก็ซื้อมาเก็บมากองเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้หยิบมาอ่านจริงจังมากนัก นี่ยังดีว่าปีที่แล้วกลับมาอ่านนิยายแปลได้หลายเล่ม พอคิดได้อย่างนี้ก็เลยสรุปว่า เอาล่ะวะ ปี ๒๕๕๘ นี่จะตั้งใจอ่านหนังสือเป็นจริงเป็นจัง

ผมตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะอ่านให้ได้เฉลี่ยเดือนละเล่ม ๑๒ เดือนก็ ๑๒ เล่ม ฟังแล้วดูเหมือนน้อยเนอะ แต่ต้องเผื่อเอาไว้หน่อย เพราะจะอ่านทั้งที่เป็นนิยายและ non-fiction แล้วบางเล่มก็เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งวัดจากระดับความชำนาญด้านภาษาของตัวเองแล้วคงใช้เวลาพอสมควร ก็เอามาเฉลี่ยกับเล่มที่เป็นภาษาไทย กะคร่าวๆ ว่าเดือนละเล่มนี่น่าจะเอาอยู่ (พอพิมพ์ “เอาอยู่” แล้วหน้าคนบางคนลอยมาเลยทีเดียว)

ประเดิมเดือนแรกของปีด้วย Gone Girl นิยายขายดีติดอันดับ ๑ ของ New York Times เอามาสร้างเป็นหนังก็ทำรายได้ถล่มทลาย แถมด้วยเสียงวิจารณ์ด้านบวก ก่อนจะอ่านพยายามไม่รับรู้เรื่องราวจากใครทั้งสิ้น เดี๋ยวจะสปอยล์ซะก่อน ผลจากการอ่านเก็บไปเรื่อยๆ วันละสิบยี่สิบหน้า ช่วงเสาร์-อาทิตย์ว่างๆ ก็อ่านยาวไป สำเร็จตามเป้านะ ๕๕๕ หน้า จบได้ภายในเดือนนึงพอดี (จำนวนหน้านี่ไม่ได้มุข เท่านี้จริงๆ)

เดือนกุมภาฯ นี้จะเริ่มเล่มใหม่แต่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้เริ่มเลย มันยากอีตรงเลือกว่าจะอ่านเล่มไหนนี่แหละ รักพี่เสียดายน้อง พลิกไปพลิกมา บางเล่มหยิบมาตั้งท่าจะอ่านแล้วก็เปลี่ยนใจ

แล้วจะมาอัพเดทใหม่นะครับ

แนะนำหนังสือ : ๗๒ ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย

๗๒ ปีธนาคารแห่งประเทศไทย

มีหนังสือดีมาแนะนำครับ สำหรับคนที่สนใจเรื่องราวด้านประวัติศาสตร์และการเงินการธนาคาร เล่มนี้เลยครับ ๗๒ ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. จัดทำขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๒ ปีของการก่อตั้งเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา

เนื้อหาด้านในเล่าถึงประวัติของธปท. ตั้งแต่ยุคก่อนที่จะมีธนาคารชาติ ซึ่งมีชาวต่างชาติเสนอตัวมาขอตั้งธนาคารชาติให้กับสยามประเทศหลายรายด้วยกัน มาจนถึงความพยายามของคนไทยเอง แต่ก็มีความคิดเห็นที่หลากหลาย ไม่เห็นพ้องต้องกันนัก รวมทั้งยังโดนขัดขวางจากที่ปรึกษาต่างชาติ ทำให้กว่าจะก่อตั้งและเปิดดำเนินการธนาคารชาติของเราได้ก็กินเวลาล่วงเลยมานับสิบปีเลยทีเดียว

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องราวและประวัติของผู้ว่าการธปท. ทุกคน (พร้อมภาพประกอบ) ตั้งแต่คนแรก คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย มาจนถึง ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ คนปัจจุบัน (ที่กำลังจะหมดวาระในปีนี้และได้ยินมาว่าจะไม่เสนอตัวเข้ารับคัดเลือกเป็นวาระสอง) โดยผู้เขียนได้เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคของผู้ว่าการแต่ละคน ซึ่งในหลายกรณีเป็นการมีส่วนร่วมของธปท. ต่อเหตุการณ์สำคัญทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ประเภทที่ว่าถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาอาจถึงขั้นประเทศล่มจมกันได้เลย

บางเหตุการณ์ก็เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยประเภทที่คนชอบเรื่องราวทำนองนี้น่าจะถูกใจ อาทิเช่น น่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเมื่อแรกเปิดดำเนินการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดทำลูกกุญแจทองคำขึ้น โดยลูกกุญแจนี้ใช้เพื่อไขประตูหน้าของที่ทำการในวันนั้น หรือความเป็นมาของโรงพิมพ์ธนบัตรของไทยที่ต้องถึงระดับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สั่งการถึงจะได้ดำเนินการ

หนังสือเล่มนี้ไม่มีวางจำหน่ายนะครับ ใครสนใจลองสอบถามไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเอาเอง โชคดีครับ

————————-

อัพเดตครับ

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่ลิ้งก์นี้นะครับ https://www.bot.or.th/Broadcast/EBook/72BOT/72BOT/book/files/extfile/72BOT.pdf

ปีนี้ตั้งใจจะอ่าน “หนังสือ”

Gone Girl

เมื่อตอนวันหยุดช่วงปลายปีที่ผ่านมาใช้เวลานั่งคิดว่าวาระของปีนี้จะเป็นอะไรดี แล้วก็นึกได้ว่าช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาผมอ่านหนังสือ (ที่เป็นเล่ม) น้อยลงมาก ถึงแม้จะซื้อในปริมาณเท่าๆ กับเมื่อก่อน แต่ก็ซื้อมาเก็บมากองเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้หยิบมาอ่านจริงจังมากนัก นี่ยังดีว่าปีที่แล้วกลับมาอ่านนิยายแปลได้หลายเล่ม พอคิดได้อย่างนี้ก็เลยสรุปว่า เอาล่ะวะ ปี ๒๕๕๘ นี่จะตั้งใจอ่านหนังสือเป็นจริงเป็นจัง

ผมตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะอ่านให้ได้เฉลี่ยเดือนละเล่ม ๑๒ เดือนก็ ๑๒ เล่ม ฟังแล้วดูเหมือนน้อยเนอะ แต่ต้องเผื่อเอาไว้หน่อย เพราะจะอ่านทั้งที่เป็นนิยายและ non-fiction แล้วบางเล่มก็เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งวัดจากระดับความชำนาญด้านภาษาของตัวเองแล้วคงใช้เวลาพอสมควร ก็เอามาเฉลี่ยกับเล่มที่เป็นภาษาไทย กะคร่าวๆ ว่าเดือนละเล่มนี่น่าจะเอาอยู่ (พอพิมพ์ “เอาอยู่” แล้วหน้าคนบางคนลอยมาเลยทีเดียว)

ประเดิมเดือนแรกของปีด้วย Gone Girl นิยายขายดีติดอันดับ ๑ ของ New York Times เอามาสร้างเป็นหนังก็ทำรายได้ถล่มทลาย แถมด้วยเสียงวิจารณ์ด้านบวก ก่อนจะอ่านพยายามไม่รับรู้เรื่องราวจากใครทั้งสิ้น เดี๋ยวจะสปอยล์ซะก่อน ผลจากการอ่านเก็บไปเรื่อยๆ วันละสิบยี่สิบหน้า ช่วงเสาร์-อาทิตย์ว่างๆ ก็อ่านยาวไป สำเร็จตามเป้านะ ๕๕๕ หน้า จบได้ภายในเดือนนึงพอดี (จำนวนหน้านี่ไม่ได้มุข เท่านี้จริงๆ)

เดือนกุมภาฯ นี้จะเริ่มเล่มใหม่แต่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้เริ่มเลย มันยากอีตรงเลือกว่าจะอ่านเล่มไหนนี่แหละ รักพี่เสียดายน้อง พลิกไปพลิกมา บางเล่มหยิบมาตั้งท่าจะอ่านแล้วก็เปลี่ยนใจ

แล้วจะมาอัพเดทใหม่นะครับ

หนังสือที่ซื้อครั้งสุดท้ายของปี ๒๕๕๗

หนังสือที่ซื้อในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗

ที่เห็นในรูปข้างบนคือหนังสือที่ผมซื้อเป็นครั้งสุดท้ายของปี ๒๕๕๗ (ซื้อในวันอังคารที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗) ดูเผินๆ เหมือนเก็บกด เหมือนมันอั้นมานาน ซึ่งสืบเนื่องมาจากที่ทำงานปัจจุบันไม่ได้อยู่ใกล้กับร้าน Kinokuniya เอาเสียเลย (Kinokuniya เป็นร้านหนังสือที่ถูกจริตผมมากที่สุดในเวลานี้ อ่านได้จากโพสต์นี้ครับ) แม้จะมีโอกาสได้แวะร้านหนังสือภาษาอังกฤษเจ้าอื่นบ้าง แต่ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน ช่วงปลายปีก็เลยจัดเวลาให้หนึ่งวันสำหรับไปเดินดูหนังสือที่นี่ให้เต็มที่ พร้อมกับลิสต์รายการไปคร่าวๆ ว่ามีเล่มไหนบ้างที่อยากได้ ส่วนนอกจากนี้ไปว่ากันหน้างาน

อยู่ที่ Kinokuniya ตั้งแต่ ๑๑ โมงถึง ๕ โมงเย็น นั่งละเลียดเลือกเข้าเลือกออก รักพี่เสียดายน้อง เล่มไหนคัดออกก็จดใส่รายการเอาไว้สำหรับรอบหน้า สรุปเก็บกลับมาได้ ๑๑ เล่ม อย่างที่เห็น ประกอบด้วย (ผมใส่ลิงค์ไว้ด้วย เผื่อใครสนใจเล่มไหนจะได้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้นะครับ)

หมายเหตุ : ๒ เล่มสุดท้ายนี่เป็นนิยายนะครับ

ป.ล. การซื้อหนังสือครั้งนี้ได้คอนเฟิร์มสัจธรรมหนึ่งข้อ ก็คือ การช็อปปิ้งนี่ช่วยบำบัดได้จริงด้วยนะครับ ทีแรกผมนึกว่าผู้หญิงพูดกันเล่นๆ งวดนี้เจอกับตัวเอง จ่ายเงินเสร็จรู้สึกสารให้ความสุขทุกตัวหลั่งไหลรอบกาย (ปลายเดือนมาว่ากันอีกที 5555)