หนังสือที่ซื้อครั้งสุดท้ายของปี ๒๕๕๗

หนังสือที่ซื้อในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗

ที่เห็นในรูปข้างบนคือหนังสือที่ผมซื้อเป็นครั้งสุดท้ายของปี ๒๕๕๗ (ซื้อในวันอังคารที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗) ดูเผินๆ เหมือนเก็บกด เหมือนมันอั้นมานาน ซึ่งสืบเนื่องมาจากที่ทำงานปัจจุบันไม่ได้อยู่ใกล้กับร้าน Kinokuniya เอาเสียเลย (Kinokuniya เป็นร้านหนังสือที่ถูกจริตผมมากที่สุดในเวลานี้ อ่านได้จากโพสต์นี้ครับ) แม้จะมีโอกาสได้แวะร้านหนังสือภาษาอังกฤษเจ้าอื่นบ้าง แต่ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน ช่วงปลายปีก็เลยจัดเวลาให้หนึ่งวันสำหรับไปเดินดูหนังสือที่นี่ให้เต็มที่ พร้อมกับลิสต์รายการไปคร่าวๆ ว่ามีเล่มไหนบ้างที่อยากได้ ส่วนนอกจากนี้ไปว่ากันหน้างาน

อยู่ที่ Kinokuniya ตั้งแต่ ๑๑ โมงถึง ๕ โมงเย็น นั่งละเลียดเลือกเข้าเลือกออก รักพี่เสียดายน้อง เล่มไหนคัดออกก็จดใส่รายการเอาไว้สำหรับรอบหน้า สรุปเก็บกลับมาได้ ๑๑ เล่ม อย่างที่เห็น ประกอบด้วย (ผมใส่ลิงค์ไว้ด้วย เผื่อใครสนใจเล่มไหนจะได้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้นะครับ)

หมายเหตุ : ๒ เล่มสุดท้ายนี่เป็นนิยายนะครับ

ป.ล. การซื้อหนังสือครั้งนี้ได้คอนเฟิร์มสัจธรรมหนึ่งข้อ ก็คือ การช็อปปิ้งนี่ช่วยบำบัดได้จริงด้วยนะครับ ทีแรกผมนึกว่าผู้หญิงพูดกันเล่นๆ งวดนี้เจอกับตัวเอง จ่ายเงินเสร็จรู้สึกสารให้ความสุขทุกตัวหลั่งไหลรอบกาย (ปลายเดือนมาว่ากันอีกที 5555)

 

แรงบันดาลใจอยู่ที่ร้านหนังสือ

Kinokuniya Siam Paragon

ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือคนทำงาน ผมเชื่อว่าในบางห้วงเวลาแต่ละคนล้วนต้องการ “แรงบันดาลใจ”

แรงบันดาลใจที่จะช่วยดึงตัวเองขึ้นมาจากเตียงในตอนเช้าเพื่อมาทำงาน แรงบันดาลใจที่จะออกกำลังกาย แรงบันดาลใจที่จะลดน้ำหนัก ฯลฯ

แน่นอนว่า่แต่ละคนจะมีแหล่งแรงบันดาลใจแตกต่างกันไป อาจเป็นได้ทั้งสถานที่ กิจกรรม หรือตัวบุคคล หลายคนใช้โรงภาพยนตร์เป็นที่สร้างแรงบันดาลใจ บางคนไปทะเล ภูเขา คนจำนวนไม่น้อยใช้การช็อปปิ้งเป็นการเติมพลัง

สำหรับผม แรงบันดาลใจอยู่ที่ร้านหนังสือ

เมื่อหมดพลังจากการทำงาน ขาดแรงใจ หรือรู้สึกอับทึบทางปัญญา ผมใช้ร้านหนังสือเป็นที่บำบัด การขลุกอยู่ในร้านหนังสือเป็นชั่วโมงๆ อาจฟังดูแปลกและไม่ใช่พฤติกรรมที่คุ้นเคยของใครหลายคน แต่เวลาที่หยิบจับ สัมผัสเนื้อกระดาษ พลิกอ่านเนื้อหา เลือกดูอาร์ตเวิร์คอยู่นั้น ผมรู้สึกเหมือนมีพลังงานชาร์จเข้ามาในตัว เป็นเหมือนคนไข้ที่ผ่านการเยียวยา บางครั้งแม้ยังไม่หายขาดแต่อาการก็ดีขึ้นมาก พร้อมที่จะออกไปสู้ชีวิตกันต่อ

ในบรรดาร้านหนังสือ (ในประเทศ) ที่มีโอกาสได้เข้าไปใช้บริการ ขอบอกว่าอันดับหนึ่งในดวงใจในตอนนี้ผมยกให้ Kinokuniya สาขาสยามพารากอน

ด้วยปริมาณหนังสือที่มี บวกกับประเภทหนังสือแต่ละปกที่เลือกมาวาง ไปจนถึงบรรยากาศของร้าน รวมๆ กันแล้วโดนมาก

พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า ผมไม่สนใจร้านหนังสือขนาดเล็ก ร้านหนังสืออิสระ และร้านหนังสือมือสอง ซึ่งแต่ละร้านก็มีข้อดีและจุดเด่นของตัวเอง เอาไว้มีโอกาสเรามาแลกเปลี่ยน “ร้านหนังสือในดวงใจ” กัน

สำหรับเครือข่ายร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศสองเครือนั้น ในฐานะคนอ่านต้องบอกว่ายังไม่ใช่และยังไม่โดนครับ