แนะนำหนังสือ : Digital Transformation พลิกโอกาสธุรกิจด้วยดิจิทัล

Digital Transformation พลิกโอกาสธุรกิจด้วยดิจิทัล
เพื่อให้เข้ากับนโยบายของรัฐบาลที่กำลังจะตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผมขอแนะนำหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องการนำดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ในด้านธุรกิจครับ

หนังสือเล่มนี้เขียนโดยคุณอุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล (หรือคุณพอลลี่) ซึ่งเป็นตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่งในแวดวงดิจิทัลบ้านเรา (ปกติผมจะใช้ ดิจิตอล แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับคำที่คุณพอลลี่ใช้และเป็นไปตามที่ราชบัณฑิตท่านกำหนดนะครับ) คุณพอลลี่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Thomas Idea ที่อยู่มาตั้งแต่เมื่อครั้งดอทคอมบูมในยุคแรก ในยุคนั้น Thomas Idea ดังมากในเรื่องการออกแบบและทำเว็บไซต์ให้กับลูกค้าและหลังจากที่ฟองสบู่ดอทคอมแตกกระจาย หลายบริษัทล้มหายตายจากไป บริษัทนี้ก็ยังอยู่และเติบโตขยายกิจการมาทำด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง

ผมรู้จักกับคุณพอลลี่ครั้งแรกในฐานะนักข่าวกับแหล่งข่าว ต่อมาเมื่อจะเพิ่มคอลัมน์ด้านธุรกิจไอทีและออนไลน์ในนิตยสารธุรกิจรายเดือนที่ผมรับหน้าที่บรรณาธิการอยู่ก็นึกถึงคุณพอลลี่เป็นคนแรกซึ่งคุณพอลลี่ก็ตอบรับด้วยดี (แม้ไม่ได้ค่าเรื่อง) และคุณพอลลี่ในฐานะคอลัมนิสต์ได้สร้างความประทับใจให้ผมหลายประการด้วยกัน

ประการแรก คุณพอลลี่ไม่เคยเบี้ยว ไม่ว่างานจะยุ่งหรือมีธุระต้องไปเมืองนอกก็ไม่เคยขาดส่งต้นฉบับ ประการต่อมา จากการอ่านต้นฉบับทุกเดือน ผมสัมผัสได้เลยว่าคุณพอลลี่ใส่ใจกับการเขียนคอลัมน์มาก (แม้ไม่ได้ค่าเรื่อง – ย้ำอีกครั้ง) เนื้อหาที่หยิบมาเขียนในแต่ละเดือนจะเป็นเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจในช่วงนั้นเสมอ แถมด้วยข้อมูล สถิติและตัวเลขจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและอ้างอิงได้ ประการสุดท้าย คุณพอลลี่ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมาก เพราะบางครั้งคุณพอลลี่ ต้องใช้ภาพประกอบในคอลัมน์ที่เขียน ก็จัดแจงซื้อภาพจาก stock photo จนเรียบร้อยก่อนจะส่งมาให้ทีมงานผมจัดอาร์ตเวิร์ค

ขอบอกว่าที่เล่ามาในพารากราฟข้างบนมีอยู่ครบในหนังสือเล่มนี้

เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้จะว่าไปแล้วน่าจะเหมาะกับเจ้าของกิจการและผู้บริหาร ไปจนถึงผู้ที่สนใจอยากได้ไอเดียที่จะนำดิจิทัลไปใช้กับธุรกิจของตัวเอง อ่านแล้วเข้าใจและเห็นภาพรวมกว้างๆ ก่อน แล้วค่อยนำไปประยุกต์ใช้หรือต่อยอดกันอีกที โดยคุณพอลลี่ได้เล่าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลที่ธุรกิจต่างๆ สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยให้เข้าถึงลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคในยุคนี้ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น mobile payment หรือ social media ไปจนถึงการใช้ mobile app รวมไปถึงตัวอย่างขององค์กรที่นำดิจิทัลมาใช้จริง

ก่อนหน้านี้คุณพอลลี่มีงานเขียนมาแล้วสองเล่ม เล่มแรกคือ Digital Marketing ไอเดียลัดปฏิวัติการตลาด (ดูรูปด้านล่าง) และเล่มต่อมา Digital Commerce: Turn Browsers to Buyers หากใครสนใจก็ลองหาซื้อกันดูนะครับ

Digital Marketing ไอเดียลัดปฏิวัติการตลาด

แนะนำหนังสือ : กาหลมหรทึก

กาหลมหรทึก

หนังสือเล่มที่แล้วว่าชื่อแปลกแล้ว เล่มนี้แปลกกว่าอีก ถึงขนาดเล่นเอาไม่แน่ใจว่าออกเสียงยังไงกันเลยนะ

บอกตามตรงว่าเห็นครั้งแรกก็ไม่ได้สนใจ ถึงจะพะหน้าปกว่าได้รางวัลนวนิยายยอดเยี่ยมรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดมาก็เถอะ แต่มาสะดุดตรงความเห็นของคุณมณฑารัตน์ ทรงเผ่า ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการคัดสรร เธอบอกว่า

“ทึ่งกับโครงเรื่อง ทึ่งกับชั้นเชิงการเล่า กระทั่งตอนจบที่คิดว่าเรื่องคงจบตรงที่คิด ผู้เขียนกลับหักมุมให้จบได้ลึกลงไปอีก ท้าทายขอบเขตจินตนาการของคน เป็นกลซ้อนกลที่เกินกว่าการคาดเดา”

นี่ระดับผู้แปลนิยายสืบสวนสอบสวนมาแล้วไม่รู้กี่เล่มต่อกี่เล่มยังว่าไว้ขนาดนี้ ก็เลยลองดู

บอกได้เลยว่า ไม่ผิดหวังนะครับ แล้วก็ทึ่งกับโครงเรื่องที่ผู้เขียนวางไว้ แถมด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่มีการปูทั้งเรื่องจริงเรื่องหลอก มีหยอดเกร็ดประวัติศาสตร์ไว้เป็นระยะ แต่ที่ผมชอบมากที่สุดคือ ฉากไคลแมกซ์ตอนเฉลยตัวจอมบงการนี่แหละ นิยายแนวนี้หลายเล่มปูเรื่องมาดีหมดแต่ดันมาตายเอาตอนเฉลยผู้ร้าย แต่เล่มนี้ไม่เป็นอย่างนั้นครับ อย่างที่คุณมณฑารัตน์ว่าเอาไว้นั่นแหละ ผู้เขียนสามารถหักมุมให้จบลึกลงไปได้อีก

แนะนำครับ

หมายเหตุ : ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมคิดว่า ที่โปรยหราเอาไว้บนปกว่าผู้เขียนอาจจะเทียบได้เป็น “แดน บราวน์ แห่งสยามประเทศ” นี่ สำหรับผมแทนที่จะชวนให้หยิบกลับได้ผลตรงกันข้ามนะครับ ที่ผมหยิบอ่านเล่มนี้เพราะความเห็นของคุณมณฑารัตน์โดยแท้

 

กาหลมหรทึก
ผู้เขียน : ปราปต์
ราคา : ๑๗๕ บาท

แนะนำหนังสือ : คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย

คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย

ก่อนจะอ่านรายละเอียดด้านล่าง ผมสรุปให้ก่อนเลยว่า หนังสือเล่มนี้น่าอ่านเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับคนที่ต้องการแรงบันดาลใจ หรือคนที่มีความฝันอยากจะทำอะไร แต่คิดว่า “ยังไม่พร้อม”

จบ…

อ่านมาถึงตรงนี้ใครที่มีเวลาน้อย ไปทำอย่างอื่นได้เลย แต่ถ้าว่างขอเชิญอ่านต่อนะครับ

ผมได้ยินชื่อ คุณรวิศ หาญอุตสาหะ ครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นผมไปงาน Digital Matters ที่จัดโดยทีมงาน thumbup ธีมของงานในวันนั้นคือ Content Marketing และคุณรวิศ มาในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ผู้ผลิตผงหอมศรีจันทร์ ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่นานได้สร้างความฮือฮาด้วยแคมเปญการตลาดออนไลน์ที่จับเอาแม่นางศรีจันทร์ ออกพญาหงส์ทอง และแม่บ้านมีหนวด มาสร้างสตอรีให้ออกพญาหงส์ทองมาจีบแม่นางศรีจันทร์ โดยที่แม่บ้านมีหนวดเป็นตัวอิจฉา แล้วนำเสนอเรื่องราวและภาพผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คของทั้งสามเจ้า

วันนั้น คุณรวิศมาเล่าถึงที่มาที่ไปและวิธีคิดของแคมเปญนี้ รวมทั้งผลที่ได้ ซึ่งน่าสนใจมาก

ผมกลับจากงานวันนั้นจำชื่อ คุณรวิศ ไม่ได้นะครับ จำได้แค่ “เจ้าของผงหอมศรีจันทร์”

หลังจากนั้นอีกหลายเดือน บริษัทที่ผมทำงานอยู่จะจัดอบรมด้านการตลาด เตรียมจะเชิญวิทยากรมาบรรยาย บอกมาว่าเป็นคนเขียนหนังสือการตลาดขายดีชื่อ Marketing Everything! ซึ่งวันนั้นบอกตรงๆ ว่า ผมฟังแล้วก็เฉยๆ แต่แล้วทางแผนกที่จัดเกิดแจ้งมาให้ผมคิดหัวข้อที่อยากฟังให้วิทยากรหน่อย แกจะได้เตรียมตัวมาถูก แล้วก็ส่งโปรไฟล์มาให้

พอเห็นโปรไฟล์ถึงได้รู้ว่าเป็น คุณรวิศ นี่เอง ไม่ยักรู้มาก่อนว่าเขียนหนังสือด้วย แต่ที่ทึ่งก็คือ ในโปรไฟล์บอกไว้ว่าก่อนหน้าที่จะมารับช่วงธุรกิจครอบครัว แกเป็นคนสายไฟแนนซ์มาก่อนนะครับ แล้วก็เป็นไฟแนนซ์ที่เรียนวิศวะมาก่อนด้วย เรียกว่ามาตามสูตรคนจบ MBA เลย

วันที่คุณรวิศมาบรรยาย แกบอกว่าแกเพิ่งมาจับเรื่องมาร์เก็ตติ้งตอนที่มาทำกิจการที่บ้านนี่เอง แต่หลังจากได้คุยกันแล้วก็ไม่แปลกใจ แกเป็นนักอ่านนะครับ อ่านเยอะด้วย โคตรเยอะ

เนื้อหาที่บรรยายวันนั้นออกแนวกึ่งมาร์เก็ตติ้งกึ่งเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ ฟังแล้วจุดไฟติดเลยนะครับ ที่พิเศษก็คือคุณรวิศเล่าให้ฟังเรื่องที่กำลังจะรีแบรนด์ผงหอมศรีจันทร์ เอาข้อมูลที่สำรวจมาแชร์ให้ฟัง แถมด้วยดีไซน์ใหม่ของผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้เปิดตัว

จบการบรรยายวันนั้นผมจำได้แม่นเลยทีนี้ว่าคนๆ นี้ชื่อ รวิศ หาญอุตสาหะ

หลังจากนั้น คุณรวิศออกหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาส่วนหนึ่งจากการบรรยายวันนั้นด้วย ก็เล่มนี้แหละครับ

ผลงานคุณสุเชาว์ ศิษย์คเณศ ที่วังบางขุนพรหม

ภาพวาดผลงานอาจารย์สุเชาว์ ศิษย์คเณศ (๓)

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผมมีโอกาสได้อ่านบทความด้านศิลปะชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวันที่ทำงานอยู่ (ใช่ครับ บทความด้านศิลปะในหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวัน คุณอ่านไม่ผิดครับ) บทความชิ้นนี้เขียนโดยผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย เล่าถึงศิลปินไทยท่านหนึ่งที่มีชีวิตยากลำบาก สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะศิลปินผู้นี้เป็นผู้มาก่อนกาล แนวทางการวาดภาพของท่านยังไม่เป็นที่นิยมในสังคมไทยในเวลานั้น ซึ่งจะว่าไปแล้วนี่นับเป็นเรื่องปกติของศิลปินเอกหลายท่าน

ศิลปินท่านนี้คือ คุณสุเชาว์ ศิษย์คเณศ

สิ่งที่กระทบใจผมมากที่สุดในบทความชิ้นนั้นก็คือ ข้อความที่บอกว่าคุณสุเชาว์มักจะวาดรูปบ้าน เนื่องจากในชีวิตจริงคุณสุเชาว์ไม่เคยมีบ้านเป็นของตัวเอง ต้องอาศัยอยู่ในห้องเช่าและย้ายไปมาอยู่ตลอด บ้านจึงเป็นสิ่งที่อยู่ในใจคุณสุเชาว์เสมอเมื่อจะวาดรูปก็เลยมักจะออกมาเป็นรูปบ้าน

ภาพผลงานของคุณสุเชาว์ที่ลงประกอบในบทความนั้นเป็นภาพวาดลักษณะเดียวกับภาพด้านบน แม้ภาพที่ตีพิมพ์จะเป็นเพียงภาพขาวดำ ขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ต้องบอกว่าได้เห็นแล้วทำให้คนไม่ประสาด้านศิลปะอย่างผมทึ่ง อึ้งและประทับใจอย่างมาก หลังจากนั้นถ้ามีโอกาสแวะเวียนผ่านงานแสดงศิลปะหรือแกลเลอรีที่ไหน ผมพยายามดูว่ามีผลงานของคุณสุเชาว์บ้างไหม เพราะอยากเห็นของจริงด้วยตาตัวเองซักครั้ง แต่ไม่มีโอกาสเลยนะครับ

จนกระทั่งวันนึงมีกิจธุระต้องเข้าไปที่วังบางขุนพรหม ซึ่งเป็นที่ทำการของธนาคารแห่งประเทศไทย ระหว่างที่เดินๆ อยู่สายตาก็มองงานศิลปินเอกของไทยแต่ละท่านไปเพลินๆ ก็ต้องมาสะดุดกับภาพวาดที่มีองค์ประกอบคุ้นตา ใช้โทนสีหม่น เป็นภาพของคุณสุเชาว์จริงๆ แต่น่าเสียดายที่แบงก์ชาติเป็นสถานที่ที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูง ผมมีโอกาสยืนดูอยู่ได้ไม่นานก็ต้องออกมา

จากวันนั้นมาสิบกว่าปีก็ยังไม่มีโอกาสได้เจองานของคุณสุเชาว์ที่ไหนอีก

จนกระทั่งสัปดาห์ก่อนผมมีได้เข้าไปประชุมงานในวังบางขุนพรหมอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือโชคชะตาชักนำประการใด ในห้องประชุมมีภาพวาดของคุณสุเชาว์สามภาพแขวนเรียงกันประชันอยู่ตรงหน้าเลย ในระหว่างที่การประชุมดำเนินไปผมก็รอจังหวะไป พอสบโอกาสก็เดินไปชม ขยับเข้าไปดูรอยฝีแปรงรอยปาดเกรียงใกล้ๆ แล้วถอยออกมาดูภาพในระยะห่าง ขยับเข้าขยับออกอยู่นาน จากนั้นก็ถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์มาบันทึกภาพเก็บไว้เป็นภาพชุดนี้นี่แหละครับ

ภาพวาดผลงานอาจารย์สุเชาว์ ศิษย์คเณศ (๒)

มีอีกภาพครับ

ภาพวาดผลงานอาจารย์สุเชาว์ ศิษย์คเณศ (๑)

ไม่รู้เหมือนกันว่าที่วังบางขุนพรหมยังมีภาพของคุณสุเชาว์อีกมั้ย เพราะในพื้นที่ที่ผมเข้าไปเห็นมีอยู่เพียงสามภาพนี้ครับ

ปอลิง ทราบมาว่าที่ธนาคารทิสโก้ มีภาพของคุณสุเชาว์อยู่จำนวนหนึ่งด้วยครับ หากใครมีภาพถ่ายจะแชร์มาให้ชมบ้างก็ขอบคุณมากครับ

ครบรอบ ๓ ปีการจากไปของ Steve Jobs

Steve Jobs

วันนี้เป็นวันครบรอบ ๓ ปีการเสียชีวิตของพี่’ตีฟ จ็อบส์นะครับ ในฐานะติ่งของพี่จ็อบส์ ผมขอไว้อาลัยด้วยคลิปการกล่าว speech ปี ๒๐๐๕ ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งผมฟันธงเป็นการส่วนตัวว่า นี่เป็นสปีชที่ดีที่สุดที่กล่าวโดยบุคคลที่ไม่ใช่นักการเมืองหรือผู้นำประชาชน

สปีชนี้อาจไม่มีข้อความจับใจทำนอง “Don’t ask what your country can do for you. Ask instead what you can do for your country” ของคุณพี่เคนเนดี้ หรือไม่ยิ่งใหญ่เท่า “I have a dream” ของพี่คิง จูเนียร์ แต่ถ้ายังไม่เคยฟัง ลองฟังเถอะครับ จะเป็นเวลา ๑๕ นาทีที่ไม่เสียเปล่าแน่นอน

ปอลิง ขอปิดท้ายด้วยอีเมลที่พี่ทิม คุก ซีอีโอที่รับไม้ต่อจากจ็อบส์ส่งถึงพนักงาน Apple ในโอกาสนี้ครับ

Team,

Sunday will mark the third anniversary of Steve’s passing. I’m sure that many of you will be thinking of him on that day, as I know I will.

I hope you’ll take a moment to appreciate the many ways Steve made our world better. Children learn in new ways thanks to the products he dreamed up. The most creative people on earth use them to compose symphonies and pop songs, and write everything from novels to poetry to text messages. Steve’s life’s work produced the canvas on which artists now create masterpieces.

Steve’s vision extended far beyond the years he was alive, and the values on which he built Apple will always be with us. Many of the ideas and projects we’re working on today got started after he died, but his influence on them — and on all of us — is unmistakeable.

Enjoy your weekend, and thanks for helping carry Steve’s legacy into the future.

Tim

๒๐ หนังสือในดวงใจของผู้ใช้ Facebook

ช่วง ๒ – ๓ สัปดาห์ก่อนในกลุ่มผู้ใช้ Facebook มีกิจกรรมอีกอย่างที่ฮิตกัน นั่นคือ การแชร์รายชื่อหนังสือ ๑๐ เล่มในดวงใจ แล้วแท็กต่อๆ กันไป เข้าใจว่าคงมีคนเล่นเยอะพอสมควรจนถึงขนาดที่ทีม Facebook Data Science เก็บรวบรวมข้อมูลแล้วเอามาเปิดเผยกัน โดยบอกว่าข้อมูลนี้สุ่มเก็บมาจากตัวอย่าง “หลักแสน” คน (ไม่ได้บอกว่ากี่แสน) และกลุ่มตัวอย่างนี้อยู่ในอเมริกา ๖๓% ในอินเดีย ๙.๓% ในสหราชอาณาจักร ๖.๓% ที่เหลือก็ที่อื่นๆ นะ และอายุเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างนี้อยู่ที่ ๓๗ ปี เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในสัดส่วนเกินกว่า ๓ ต่อ ๑

ได้ผลมาตามนี้ (มีหนังสือในดวงใจของใครหลายคนอยู่เหมือนกัน)

๑. ชุด The Harry Potter, J.K. Rowling (๒๑.๐๘%)
๒. To Kill a Mockingbird, Harper Lee (๑๔.๔๘%)
๓. ชุด The Lord of the Rings, J.R.R. Tolkien (๑๓.๘๖%)
๔. The Hobbit, J.R.R. Tolkien (๗.๔๘%)
๕. Pride and Prejudice, Jane Austen (๗.๒๘%)
๖. The Holy Bible (๗.๒๑%)
๗. The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy, Douglas Adams (๕.๙๗%)
๘. The Hunger Games Trilogy, Suzanne Collins (๕.๘๒%)
๙. Catcher in the Rye, J.D. Salinger (๕.๗๐%)
๑๐. The Great Gatsby, F. Scott Fitzgerald (๕.๖๑%)
๑๑. ๑๙๘๔, George Orwell (๕.๓๗%)
๑๒. Little Women, Louisa May Alcott (๕.๒๖%)
๑๓. Jane Eyre, Charlotte Bronte (๕.๒๓%)
๑๔. The Stand, Stephen King (๕.๑๑%)
๑๕. Gone with the Wind, Margaret Mitchell (๔.๙๕%)
๑๖. A Wrinkle in Time, Madeleine L’Engle (๔.๓๘%)
๑๗. The Handmaid’s Tale, Margaret Atwood (๔.๒๗%)
๑๘. The Lion, the Witch, and the Wardrobe, C.S. Lewis (๔.๐๕%)
๑๙. The Alchemist, Paulo Coelho (๔.๐๑%)
๒๐. Anne of Green Gables, L.M. Montgomery (๓.๙๕%)

เจ๊ Rowling มาอันดับ ๑ นี่ไม่ค่อยแปลกใจนะ แต่หลายเล่มนี่คาดไม่ถึง ซึ่งก็คงเป็นเพราะอายุเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างที่ ๓๗ นี่แหละ

หนังสือในดวงใจ ๑๐ เล่ม (ตอนที่ ๒)

My shelf

ต่อจากโพสต์ที่แล้วที่เล่าถึงหนังสือในดวงใจ ๕ เล่มไปแล้วนะครับ โพสต์นี้มาว่ากันต่อ

๖. ฤทธิ์มีดสั้น โดย โกวเล้ง

นิยายกำลังภายในนี่ผมถือว่าเป็นหนังสือที่มี learning curve สูงมากนะครับ พยายามจะอ่านมาตั้งแต่ช่วงมอปลาย แต่ก็ไปไม่รอด เข้ามหา’ลัยลองเช่ามาอ่านอีกทีก็ยังไม่รอด สาเหตุเป็นเพราะรายละเอียดมันเยอะเหลือเกิน ต้องใช้เซลล์สมองเยอะมาก ตัวละครมีเพียบ และในบรรดานั้นแต่ละคนมีไม่ต่ำกว่า ๓ ชื่อ มีทั้งชื่อปกติสามัญ มีฉายาอีก แล้วมีชื่อแบบไม่ปกติด้วย ยกตัวอย่างเรื่องฤทธิ์มีดสั้น ตัวเอกชื่อ ลี้คิมฮวง แต่ฉายาพี่เค้าคือ เซี่ยวลี้ปวยตอ เท่านั้นยังไม่พอ คุณพี่ยังมีชื่อที่เรียกขานกันว่า ลี้ถ้ำฮวย อีกชื่อนึง นี่ยังไม่นับคำเรียกนับญาติกันอีกนะ จะเป็น ตั่วกอ อาอึ้ม อาเจ่ก อีกสารพัดอ่ะ และตัวละครแต่ละตัวก็มีวิชาฝีมือแตกต่างหลากหลายจากหลายสำนักวิชา อ่านๆ ไปก็นึกในใจ กูจะรอดมั้ย?

ฤทธิ์มีดสั้น / โกวเล้ง

สุดท้ายตัดสินใจ เอาวะ เห็นใครบอกเป็นเสียงเดียวว่า เล่มนี้แหละ แม่มสุดยอด ผมอดทนอ่านจนพ้นช่วง learning curve มาได้ ทีนี้ยาวเลยครับ จบฤทธิ์มีดสั้น ต่อด้วยเหยี่ยวเดือนเก้า ไปจอมดาบหิมะแดง ข้ามฟากไปหาพี่กิมย้ง เล่นมังกรหยก ก๊วยเจ๋ง อึ้งย้ง ต่อภาคเอี้ยก้วย เซียวเหล่งนึ่ง ยาวไปเตียบ่อกี้ ต่อไปถึง ๘ เทพอสูรมังกรฟ้า แล้วข้ามมาเล็กเซี่ยวหงส์ ฯลฯ ฟังดูเหมือนจะเยอะแต่ถ้าเทียบกับบรรดาเซียนหนังสือกำลังภายในแล้วผมอ่อนด้อยมาก

ในบรรดาหนังสือกำลังภายในทั้งหมดผมยกให้ฤทธิ์มีดสั้นนี่แหละ เหตุที่ช่วยเปิดโลกบู๊ลิ้มให้ผมได้ในที่สุด

๗. Liar’s Poker โดย Michael Lewis

ในช่วงปี ‘๙๐ มีคำพูดทำนองว่า อย่าเพิ่งเข้าทำงานใน Wall Street หากยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง Wall Street (กำกับโดย Oliver Stone) และยังไม่ได้อ่าน Bonfire of the Vanities (ของ Tom Wolfe) และ Liar’s Poker เล่มนี้

Liar's Poker / Michael Lewis

ความหมายของคำพูดที่ว่าคือ ถ้ายังไม่ได้ดูหนัง ไม่ได้อ่านหนังสือ ๒ เล่มนี้ก็จะยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมของแวดวง Wall Street ยังไม่รู้ซึ้งถึงเล่ห์เหลี่ยมและความโลภ หากเข้าไปทำงานก็จะโดนกินทั้งเป็นซะเปล่าๆ

Michael Lewis เขียนหนังสือเล่มนี้จากประสบการณ์การทำงานเป็นเซลส์ขายบอนด์อยู่ที่ Salomon Brothers ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในตลาดบอนด์ในยุคนั้น โดยเล่าให้เห็นถึงความโลภและเห็นแก่ตัวของคนในวงการ ทำได้ทุกอย่างแม้แต่การขายขยะให้กับลูกค้า (ได้อย่างหน้าตาเฉย แถมพนักงานที่ขายได้ยังได้คำชมอีกต่างหาก) Liar’s Poker เป็นหนังสือเล่มแรกๆ (หรือเล่มแรก) ที่คนในวงการมาเขียนเล่าเรื่องวงการของตัวเองในทำนอง insider tells all และเป็นต้นแบบให้กับหนังสือแนวเดียวกันนี้ในยุคหลังๆ

ตัวละครในเล่มนี้บางคนเป็นหนึ่งในพวกตัวจี๊ดที่มาถล่มค่าเงินบาทของไทยในช่วงต้มยำกุ้งด้วยนะครับ

 Liar’s Poker ประสบความสำเร็จสูงมาก ส่งให้ Lewis มาเป็นนักเขียนเต็มตัวและเขียนงานดีๆ น่าอ่านตามมาอีกหลายเล่ม อย่าง The New New Thing ที่เป็นเรื่องราวของ Jim Clark หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Netscape และมีส่วนทำให้เกิดยุคดอทคอมในช่วงปี ‘๙๐ หรือ The Blind Side เรื่องของนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่นำมาสร้างเป็นหนังและส่งให้ Sandra Bullock ได้ออสการ์

Lewis เคยให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า เขาเจตนาเขียน Liar’s Poker เพื่อเตือนสติคนหนุ่มสาวถึงความโลภ ความไร้จริยธรรม ไร้เหตุผลของแวดวง Wall Street และหวังว่าจะช่วยให้คนหันไปทำงานด้านอื่น แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะหนังสือเล่มนี้กลับยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้คนสนใจที่จะเข้าทำงานใน Wall Street มากขึ้น เป็นอย่างนั้นไป

๘. One Up On Wall Street โดย Peter Lynch

ผมสนใจเรื่องหุ้นตอนเรียนปีสามในมหา’ลัย ปัญหาสำคัญที่เจอตอนนั้นคือ หนังสือที่เกี่ยวกับการเลือกหุ้น วิเคราะห์หุ้นมีน้อยมาก ที่พอจะมีอยู่บ้างก็เป็นพวกตำราเรียน ซึ่ง (โคตร) จะวิชาการ กับหนังสือเรื่องการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค ซึ่งก็เป็นพวกแท่งเทียน เขียนกราฟ ลากเส้น แต่ต้องใช้โปรแกรม ซึ่งเราไม่มี ยุคนั้นไม่ต้องพูดถึงอินเทอร์เน็ตนะครับ คนรู้จักน่าจะมีแค่หยิบมือ จะเข้ากูเกิ้ลหาแบบสมัยนี้ก็ทำไม่ได้ ก็ต้องคอยอ่านเอาจากนิตยสารเล่มไหนที่พอจะมีลงบทความเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง

จนกระทั่งจบออกมาทำงาน ผมไปอ่านเจอจากที่ไหนก็จำไม่ได้ว่ามีหนังสือเกี่ยวกับการเลือกหุ้นในแนวปัจจัยพื้นฐานที่ดีมากๆ อยู่เล่มนึง เขียนโดย Peter Lynch ผมได้เล่มนี้จากเอเชียบุ๊คส์ สาขาสุขุมวิท เหลืออยู่เล่มนึงพอดี จริงๆ ตอนนั้นก็ยังอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ความนะ (ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ได้ความ) แต่อารมณ์ประมาณ กูเอาไว้ก่อนล่ะ

One Up On Wall Street / Peter Lynch

Peter Lynch เป็นซูเปอร์สตาร์ในแวดวงกองทุนรวมสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในนักการเงินที่ชาวบ้านชาวช่องรู้จักดี กองทุนที่พี่เค้าบริหารเติบโตได้กำไรต่อเนื่อง ถ้าจำไม่ผิดสถิติคือ ลงทุน ๑๐ ปีกำไร ๑๙ เท่า ขนาดนั้นเลยนะ ด้วยเครดิตขนาดนี้พอพี่ Lynch เขียนหนังสือว่าด้วยการเลือกหุ้นออกมาก็เลยขายดีถล่มทลาย แล้วที่เจ๋งก็คือ หนังสือของพี่เค้าดีจริงๆ สอนวิธีเลือกหุ้นแบบดูปัจจัยพื้นฐาน ใช้ภาษาแบบง่ายๆ ชาวบ้านก็เข้าใจงี้

ช่วงนั้นถ้ามีใครมาถามผมว่าจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเล่นหุ้นเล่มไหนดี ผมจะแนะนำเล่มนี้ตลอดนะครับ จนหลังๆ มานี้มีหนังสือของไทยหลายเล่มที่ออกมาแล้วเขียนดี เข้าใจง่ายประมาณเดียวกัน ถึงได้เปลี่ยนมาแนะนำเล่มอื่นไปแทน

 ๙. The World Is Flat โดย Thomas L. Friedman

Friedman เป็นคอลัมนิสต์ (ที่ดังมาก) ของหนังสือพิมพ์ The New York Times เขียนเล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่องจาก The Lexus and the Olive Tree ที่ว่าด้วยเรื่องราวและบทบาทของ Globalization ที่มีต่อประเทศต่างๆ สำหรับเล่มนี้เป็นเรื่องราวของ Globalization และเทคโนโลยีที่ช่วยให้ประเทศด้อย เอ่อ… กำลังพัฒนาสามารถมาแข่งขันกับประเทศพัฒนาได้ ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือ ธุรกิจเอาต์ซอร์สของอินเดีย ที่ทำเอาคนอเมริกันตกงานกันเพียบบบบ

The World Is Flat / Thomas L. Friedman

สำหรับเล่มที่มีอยู่จะเห็นว่าหน้าปกแปลกไปไม่เหมือนเล่มอื่นๆ ที่เป็นรูปโลกแบนๆ เพราะเล่มนี้เป็น First Edition ที่ทางสำนักพิมพ์ทำพลาด ไปเอารูปมาทำปกโดยไม่ได้ขอลิขสิทธิ์จากเจ้าของ (เป็นตัวอย่างที่ดีว่า สำนักพิมพ์ระดับโลกแม่มก็พลาดโง่ๆ กันได้) พอออกวางขายได้ไม่นานก็โดนฟ้อง เลยต้องเก็บกลับมาพิมพ์ปกใหม่ เวอร์ชั่นนี้เลยมีน้อยนิดนึง รูปที่อยู่บนปกนี่ชื่อว่า I Told You So หรือแปลได้ว่า กูบอกมึงแล้ว (ว่าโลกแบน)

๑๐. Live Love Laugh โดย มนูญ ทองนพรัตน์

คอนเซ็ปต์หนังสือเล่มนี้แข็งแรงมากและถูกใจผมมาก เป็นหนังสือที่ไปสัมภาษณ์คนอาชีพต่างๆ ถึงรูปแบบการใช้ชีวิต ความชอบส่วนตัว งานที่ทำและที่สำคัญคือ บ้านที่เขาอยู่เป็นยังไง ซึ่งก็จะแตกต่างกันตามรูปแบบการใช้ชีวิต อาชีพการงานและความชอบของแต่ละคน เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้คล้ายกับรายการทีวีที่ผมชอบมากรายการนึงทางช่อง ThaiPBS คือ เป็น อยู่ คือ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะผู้เขียนเล่มนี้เป็นทีมงานคนนึงของรายการเป็น อยู่ คือ ด้วย

Live Love Laugh / มนูญ ทองนพรัตน์

จริงๆ ครบ ๑๐ เล่มแล้ว แต่มันเหมือนยังไม่สุด ขออนุญาตแหกกฎ เพิ่มอีกสองสามเล่มคงไม่ว่ากันนะ

๑๑. TIME ฉบับ August 18, 1997

ผมเป็นติ่งพี่’ตีฟ จ็อบส์มาตั้งแต่ม.๒ พอมีงานมีการทำแล้วก็พอจะอ่านภาษาอังกฤษได้บ้างก็เริ่มซื้อหนังสือและแมกกาซีนเกี่ยวกับพี่จ็อบส์ Apple และ Pixar เก็บไว้ ในบรรดาคอลเล็คชั่นทั้งหมดนี่ ต้องยกให้เล่มนี้

TIME / August 18, 1997

ในปี ๑๙๙๗ จ็อบส์เพิ่งกลับมาที่ Apple และในวันนั้นจ็อบส์และ Apple ต่างจากวันที่จ็อบส์เสียชีวิตมากนะครับ Apple กำลังแย่ ใกล้จะล้มละลายเต็มที เรื่องและภาพจากปกเล่มนี้เป็น exclusive story ที่เป็น behind the scene ก่อนที่จ็อบส์จะขึ้นพูดที่งาน MacWorld และประเด็นสำคัญของงานวันนั้นก็คือ การประกาศดีลที่ไม่น่าเป็นไปได้ คือ Microsoft จะลงทุนใน Apple จำนวน ๑๕๐ ล้านเหรียญและสัญญาว่าจะผลิตซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องแมคต่อไป

ดีลนี้โคตรสำคัญสำหรับ Apple ในเวลานั้น ประมาณว่าถ้าดีลล้ม Apple ก็อาจล้มนะครับ

ทีเด็ดของเรื่องนี้ก็คือ ก่อนวันงานแค่ ๑๒ ชั่วโมงจ็อบส์ยังโทรเจรจาดีลกับบิลล์ เกตส์อยู่เลย นักข่าว Time ก็อยู่แถวนั้นด้วย รายละเอียดของดีลอาจจะไม่ได้ยิน แต่หลังจากที่ปิดดีลได้นี่สิครับ จ็อบส์บอกกับเกตส์ว่า

“Thank you for your support for this company. I think the world’s a better place for it”

ครับ ถ้าใครเป็นสาวก Apple ในเวลานั้น ได้ยินประโยคนี้คงจี๊ดดดดดดดน่าดู

๑๒. The Godfather โดย Mario Puzo

 ไม่รู้จะพูดยังไงเล่มนี้ ผมเริ่มจากดูหนังก่อน โคตรชอบ แล้วก็ซื้อเล่มฉบับแปลภาษาไทยมาอ่าน พอเริ่มอ่านภาษาอังกฤษได้ก็ซื้อเล่มภาษาอังกฤษมาอีก หยิบมาอ่านแต่ละครั้งได้มุมมองใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกครั้ง ทีแรกก็อ่านเอามันนะ ครั้งต่อไป เฮ้ย นี่มันเรื่องของครอบครัวนะ ครั้งถัดมา อ้าว มีเรื่องบิสสิเนสด้วยนะ อ่านอีกที อืม นี่มันมีการบริหารบุคคลด้วยนะมึง สุดที่จะเอ่ยอ่ะ

The Godfather / Mario Puzo

๑๓. งานเขียนของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล

ผมเป็นศิษย์สำนักผู้จัดการนะครับ ถึงวันนี้ออกจากสำนักมาแล้วก็ยังสำนึกตัวอยู่เสมอและถือว่าโชคดีมากที่มีโอกาสได้อ่านงานเขียนของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ท่านเจ้าสำนักมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นทำงาน

คุณสนธิมีความสามารถพิเศษในการอธิบายเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่ายๆ บวกกับภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้การเล่าเรื่องของคุณสนธิดึงดูด น่าติดตามและมีพลังอย่างมาก ใครที่เคยดูรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ทางช่อง ๙ โมเดิร์นไนน์เมื่อหลายปีก่อนคงจะพอจำกันได้

ถ้าจะเอาให้ใกล้กว่านั้นก็ลองนึกถึงภาพคุณสนธิบนเวทีพันธมิตรนะครับ

โลกานุวัตร / สนธิ ลิ้มทองกุล

เวลาเขียนหนังสือแล้วเขียนไม่ออก อาจจะตื้อด้วยการเล่าเรื่อง หรือ สำนวนภาษา ผมมักจะหยิบงานเขียนของคุณสนธิมาเปิดดู ซึ่งข้อเสียของการอ่านงานของคุณสนธิที่เจอทุกครั้งก็คือ อ่านแล้วมันเพลิน ลืมเวลา บ่อยครั้งที่ต้องตัดใจวางเพราะไม่งั้นจะเขียนงานตัวเองไม่ทันครับ

 ๑๔. เชอร์ลอคโฮล์มส์ โดย Sir Arthur Conan Doyle

พี่โฮล์มส์นี่น่าจะเป็นนักสืบในดวงใจของเด็กผู้ชาย (และผู้ใหญ่) จำนวนไม่น้อยนะครับ และผมเชื่อว่า ถ้าไปถามเด็กผู้ชายว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร? เด็กส่วนหนึ่งจะอยากเป็นนักสืบ โดยมีที่มาจากความเท่ของพี่โฮล์มส์นี่แหละ (แต่เด็กยุคนี้ไม่รู้แล้วนะ อาจจะอยากโตขึ้นมาเป็นณเดชน์ หรือเจมส์ จิ กันหมดแล้ว)

เชอร์ลอคโฮล์มส์ / Sir Arthur Conan Doyle

ชุดนี้อ.สายสุวรรณเป็นผู้แปล ผมซื้อเอง อ่านมาตั้งแต่เด็ก เพิ่งมาเปิดดูวันนี้ว่าพิมพ์มาตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๖ คลาสสิคมากกกกก

ครบแล้วครับ ยาวมาก ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ใครคิดเห็นยังไง อยากแชร์หนังสือเล่มไหน เชิญได้ในคอมเม้นต์นะครับ

หนังสือในดวงใจ ๑๐ เล่ม (ตอนที่ ๑)

My desk / September 7, 2014

สืบเนื่องจากน้องเมย์ แห่ง openrice ได้แถ่กมาในเรื่อง ๑๐ อันดับหนังสือในดวงใจ หลังจากที่ใช้เวลาพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว (แปลว่า อู้) ก็ได้มาดังรายการต่อไปนี้ครับ

(หมายเหตุ : ไม่ได้เรียงตามลำดับความชอบ ความสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น ชอบแม่มเท่ากันหมด)

๑. หนังสือแปลของคุณสุวิทย์ ขาวปลอด

ผมได้อ่านหนังสือฝีมือแปลของคุณสุวิทย์ ขาวปลอด มาตั้งแต่ช่วงเรียนมอปลาย อ่านแล้วชอบสไตล์ เรื่องที่พี่เค้าเลือกมาแปลก็ใช่เลย บู๊ ล้างผลาญ เขย่าขวัญ สั่นประสาท อะไรแนวนี้ ตามอ่านได้สักพักมั่นใจว่าใช่แน่ ก็ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกสำนักพิมพ์วรรณวิภาของคุณพี่ เป็นแบบพรีเพด ส่งเงินไปให้ก่อน (นี่มาก่อนบริษัทมือถืออีกนะ ใครว่าวงการหนังสือเชย) เวลาหนังสือเล่มใหม่ออกก็จะส่งมาให้ที่บ้าน ทางสำนักพิมพ์ก็ตัดยอดเงินไป ให้ส่วนลดด้วย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ ๓๐%

วิธีนี้คนอ่านกับสำนักพิมพ์ซื้อใจกันขนาดที่ว่า คนอ่านไม่ต้องรู้ว่าเล่มหน้าจะเป็นเรื่องอะไร ของนักเขียนคนไหน ขอให้เชื่อมือเชื่อรสนิยมคุณสุวิทย์เถอะว่า ไม่มีผิดหวัง ส่วนสำนักพิมพ์ก็แฟร์ว่า ถ้าส่งไปแล้ว ลองอ่านดูแล้วคิดว่าไม่ใช่แนว ก็ส่งมาคืนได้ ไม่คิดเงินด้วย เชื่อใจกันขนาดนั้นเลย

ผมได้อ่านงานของนักเขียนดังๆ หลายคนในสมัยนั้นก็จากการแปลของคุณสุวิทย์และนักแปลคนอื่นในสำนักพิมพ์นี่เอง อย่าง Stephen King (นี่ไม่ต้องแนะนำ) Michael Crichton (นี่ดังมาตั้งนานก่อนจะมาระเบิดระเบ้อกับ Jurassic Park) Tom Clancy (พี่คนนี้ชอบเหลือเกินกับแนว techno thriller รบกันเนี่ย) ผมอ่านงานแปลของคุณสุวิทย์มาตั้งแต่เรียนมอปลาย เข้ามหา’ลัย จนจบออกมาทำงาน ต่อมาอีกหลายปีจนคิดว่าน่าจะพออ่านงานฉบับภาษาอังกฤษได้แล้วถึงได้เลิกราการอ่านงานแปลของคุณสุวิทย์ไป

ในบรรดาหนังสือแปลของคุณสุวิทย์ ขอเลือกเล่มนี้ เพราะเป็นเล่มแรกๆ ที่ได้อ่าน (ดูสภาพเอาแล้วกันว่านานแค่ไหนแล้ว) และทำให้ซื้ออ่านมาเรื่อยๆ อย่างที่ว่ามาครับ

ท้าสู้ผีนรก / Stephen King - สุวิทย์ ขาวปลอด

 ๒. On Writing โดย Stephen King

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน จะมีหนังสืออยู่ประเภทนึงที่ผมมักจะซื้อเก็บไว้ ว่างๆ ก็หยิบมาอ่าน ตอนนี้ก็มีหลายเล่มอยู่ ก็คือหนังสือเกี่ยวกับการเขียน โดยเฉพาะถ้าเป็นนักเขียนมาเขียนเองนี่ชอบมาก แต่ในบรรดาทั้งหลายทั้งปวงที่มีชอบเล่มนี้มากที่สุด

On Writing / Stephen King

ผมได้อ่านงานของ King มานานจากการแปลของคุณสุวิทย์ (ตามที่เล่ามาในข้อ ๑) King เป็นนักเขียนเรื่องสยองขวัญที่ขายดีโคตรๆ (จริงๆ ถ้าใช้สำนวนผม อาจจะหยาบนิดนึงนะ ต้องบอกว่า ขายดีเหี้ยๆ ถ้าเจ๊ J.K. Rowling ไม่ได้พิมพ์ Harry Potter ก็น่าจะยังครองอันดับ ๑ นักเขียนขายดีที่สุดของโลกอยู่) มีนิยายและเรื่องสั้นที่เอาไปทำหนังหลายเรื่อง ที่ติดตาตรึงใจใครหลายๆ คนก็อย่างเช่น Stand By Me หรือ The Shawshank Redemption แต่เล่มนี้ King เขียนเรื่องการเขียนหนังสือบวกกับอัตชีวประวัติตัวเอง จากเด็กที่ชอบเขียนหนังสือจนโตขึ้นมาเป็นนักเขียนที่ดิ้นรนพยายามเลี้ยงชีพตัวเองด้วยงานเขียน จนมาถึงวันที่ประสบความสำเร็จ

King เขียนหนังสือเล่มนี้หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนจนเกือบเสียชีวิตและได้เล่าประสบการณ์เฉียดตายวันนั้นเอาไว้ด้วย

เล่มนี้ครั้งแรกผมซื้อเป็นฉบับปกอ่อนมาก่อน แล้วมีวันนึงไปเจอเล่มปกแข็งที่ร้านหนังสือมือสองเจ้าประจำก็เลยซื้อเก็บไว้อีก

๓. พันธุ์หมาบ้า โดย พี่ชาติ กอบจิตติ

แต่ไหนแต่ไรมาผมเป็นคนไม่อ่านหนังสือแนวเพื่อชีวิต เพื่อสังคม ชีวิตทุกข์ยาก ลำบากลำบน รวมถึงวรรณกรรมเข้มข้น จริงจัง เลยนะครับ จะหยิบอ่านก็ชวนให้หาวเรอเสียทุกครั้งไป ซึ่งพี่ชาติมาแนวนี้ เพราะฉะนั้นวางใจได้ว่าไม่เคยคิดอ่านงานของพี่เค้าเลย ยิ่งพี่เค้าได้ซีไรต์จาก คำพิพากษา ด้วยนะ ผมยิ่งมั่นใจว่าไม่ใช่แนวกูแน่ๆ

พันธุ์หมาบ้า / ชาติ กอบจิตติ

จนกระทั่งพี่เขียนพันธุ์หมาบ้าออกมานี่แหละ ทีแรกก็นึกว่าแนวนั้นแหละ เลยไม่ได้สนใจ จนกระทั่งได้อ่านคำวิจารณ์กับมีคนพูดถึง โดยเฉพาะเรื่อง “กล้วย” และ “เครื่องปอกกล้วย” ก็เลยลองไปพลิกๆ ดูในร้านหนังสือ ถึงได้รู้ว่า เฮ้ย แม่มใช่เลย เกือบพลาดแล้วกู เล่มนี้ก็เลยเป็นงานเขียนเล่มแรกของพี่ชาติที่ได้อ่าน แล้วต่อมาก็ลามไปเล่มอื่น แม้กระทั่งคำพิพากษาที่ทีแรกไม่เอาเลย สุดท้ายก็กลับมาอ่าน รวมไปถึงงานและบทสัมภาษณ์พี่ชาติหลังจากนั้นด้วย

เรียกได้ว่าพันธุ์หมาบ้าเป็นเล่มที่ทำให้ได้อ่านงานพี่ชาติและติดตามมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อสิบกว่าปีก่อนร้านนายอินทร์ ท่าพระจันทร์ จะมีจัดงานเสวนาพบนักเขียนทุกบ่ายวันศุกร์ ครั้งนึงเชิญพี่ชาติมา ผมแว่บออกไปฟังแล้วเอาหนังสือให้พี่เค้าเซ็น เป็นการขอลายเซ็นคนครั้งแรกในชีวิตอ่ะ

(หมายเหตุ : มีเรื่องนึงที่สงสัย เด็กยุคนี้ยังอ่านพันธุ์หมาบ้ากันอยู่มั้ย?)

๔. ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน โดย พี่วินทร์ เลียววาริณ

เล่มนี้ซื้อมาแล้ววางไว้ กว่าจะอ่านก็นานมาก เหตุที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองนะครับ แต่พอเริ่มอ่านแล้วสนุกมาก โคตรทึ่งที่พี่วินทร์เอาประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาเป็นแบคกราวน์แล้ววางโครงเรื่องทับซ้อนลงไป แล้วเล่าออกมาได้สนุกขนาดนี้

ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน / วินทร์ เลียววาริณ

ตอนที่อ่าน The Da Vinci Code ของ Dan Brown ยังนึกถึงเล่มนี้อยู่เลยว่ามาสไตล์คล้ายกัน เอาประวัติศาสตร์เป็นพื้นหลังแล้วเขียนเติมเข้าไป อาจจะบิดหรือเติมบางอย่างเข้าไปให้เรื่องสนุกขึ้น เล่มนี้เป็นอีกเล่มนึงที่อ่านแล้วหยิบมาอ่านซ้ำ

 ๕. งู โดย วิมล ไทรนิ่มนวล

คุณวิมลเป็นอีกคนนึงที่ผมจัดอยู่ในกลุ่มนักเขียนวรรณกรรมเข้มข้น จริงจัง แนวเพื่อชีวิต ก็เลยไม่เคยสนใจจะอ่านงานของพี่เค้าเลย โดยเฉพาะงานก่อนหน้าเล่มนี้คือ คนทรงเจ้า ดูคร่าวๆ แล้วไม่ใช่แนวแน่ๆ แต่เล่มนี้ก็มีเหตุบังเอิญไปเจอในร้านหนังสือแล้วปกสะดุดตาเลยหยิบมาพลิกๆ ดู (เป็นบทเรียนว่า ปกหนังสือ ช่วยกระตุ้นยอดขายได้นะครับ) แล้วเรื่องที่เขียนตรงกับที่ใจคิดพอดี ก็เลยซื้อมาอ่านและชอบมาก สุดท้ายก็กลับไปอ่านคนทรงเจ้าต่อนะ (เหมือนเคสพี่ชาติเลย)

งู / วิมล ไทรนิ่มนวล

งู เป็นเรื่องที่พูดถึงคนในผ้าเหลืองที่สูบกินจากสังคมรอบข้าง โดยอาศัยความเชื่อและศรัทธาของชาวบ้านเป็นเครื่องมือ (ฟังดูคุ้นๆ มั้ย?) จริงๆ มีประเด็นและสาระอื่นอยู่ด้วยนะ แต่ผมอ่านแล้วมีปัญญาจับมาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

 

ทีแรกว่าจะเขียนให้ครบทั้ง ๑๐ เล่ม แต่นี่แค่ ๕ เล่มแรกก็ยาวขนาดนี้แล้ว ที่เหลือขอเอาไว้ต่อโพสต์หน้านะจ๊ะ (แปลว่า อู้อีกแล้ว)

ประโยคเด็ดจาก Creative Unfold 2014

คุณกระทิง พูนผล

เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้เข้าฟังบรรยายหัวข้อ IF… Defining the Future ในงาน Creative Unfold 2014 ที่ TCDC เป็นผู้จัด งานนี้มีวิทยากรมาพูดหลายคนด้วยกัน (รายละเอียดเดี๋ยวค่อยว่ากันในโพสต์อื่น) แต่ที่ประทับใจผมที่สุดน่าจะเป็นช่วงคำถามคำตอบหลังการบรรยายของคุณกระทิง พูนผล ที่มาพูดในเรื่อง Startup

หลังจากที่คุณกระทิงบรรยายจบ มีสุภาพสตรีต่างชาติคนหนึ่งลุกขึ้นตั้งคำถามว่า ปกติแล้วถ้าในประเทศตะวันตกหรือที่ Silicon Valley คนที่ทำ Startup จะฝันใหญ่ คิดถึงการทำบริษัทที่มีลูกค้าหรือผู้ใช้บริการในหลักล้าน หรือร้อยล้านคน แต่จากที่เธอได้รู้มาคนไทยที่ทำ Startup ไม่ได้คิดการใหญ่ขนาดนี้

เธอถามว่า ทำไม?

คุณกระทิงตอบว่า เพราะประเทศไทยมีลักษณะพิเศษ คนที่ล้มเหลวจะโดนผลกระทบตามมาหนักมาก ผู้ประกอบการ (Entrepreneur) ที่นี่ต้องใช้ความพยายามมากกว่าที่อื่นเพื่อจะทำให้สำเร็จ ประโยคที่เด็ดมากและเรียกเสียงปรบมือจากผู้ฟังทั่วห้องสัมมนาคือ The gravity here is 2 times.

ครับ แรงดึงดูดที่ประเทศไทยนี่มันหนักหนากว่าที่อื่น หากมีใครลุกขึ้นมาสร้างกิจการของตัวเอง ถ้าสำเร็จก็แล้วไป แต่ถ้าล้มเหลวก็แทบจะโดนตราหน้าไปตลอด ไม่เหมือนกับโลกตะวันตกที่เขามองว่า ความล้มเหลวมันเป็นบทเรียน เป็นประสบการณ์ที่จะช่วยให้การทำงานวันข้างหน้าไม่ซ้ำรอยเดิม

เจอแบบนี้หลายๆ คนก็ฝ่อ แต่สุดท้ายแล้วทัศนคติแบบนี้ก็จะเปลี่ยน เพราะนี่เป็นกระแสหลักของโลก

ถึงเวลาของ Startup ไทยแล้วครับ

คำแนะนำจาก Steve Jobs ถึง Tim Cook

steve jobs and tim cook

การรับช่วงต่อจากใครสักคนไม่เคยเป็นเรื่องง่าย

โดยเฉพาะถ้า “คนเก่า” ได้เคยสร้างผลงานที่ดีเลิศเอาไว้ด้วยแล้วยิ่งทำให้แรงกดทับบนบ่าของผู้มาใหม่ยิ่งหนักขึ้นไปอีก เพราะทุกสายตาล้วนจับจ้องและคาดหวังผลงานในระดับเดิม หากไม่แกร่งจริงอาจอยู่ได้ไม่นาน

เรื่องนี้ถาม David Moyes ดูได้

หันมามองในโลกธุรกิจดูบ้าง หนึ่งในบริษัทที่ถูกจับตามองมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้น Apple ซึ่งเป็นผลมาจากการนำของ Steve Jobs ที่กลับเข้ามาบริหารตั้งแต่ปี ๑๙๙๗ และได้พลิกฟื้นฐานะ Apple จากย่ำแย่จนขึ้นมาเป็นบริษัทชั้นนำของโลก มีการออกผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการตัวแล้วตัวเล่า ไล่มาตั้งแต่ iPod iPhone และ iPad แต่ปัญหาสุขภาพของ Jobs ในระยะหลังก็ทำให้เริ่มมีการคาดการณ์กันว่าใครจะมาแทนที่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ฟันธงกันว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่มีทางสร้างผลงานได้อย่าง Jobs

หน้าที่นี้ตกเป็นของ Tim Cook

ขณะที่ทุกคนล้วนมองว่า การรับไม้ต่อจาก Jobs น่าจะสร้างความกดดันมหาศาล ในทางกลับกัน Cook อาจไม่มีแรงกดดันเลยก็ได้ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าทุกคนไม่คิดว่าเขาจะแทนที่ Jobs ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคำแนะนำจากตัว Jobs เอง

Cook กล่าวถึงเรื่องนี้เป็นครั้งแรกในการสัมภาษณ์กับ Bloomberg Businessweek ฉบับ ๖ ธันวาคม ๒๐๑๒

เขาเล่าว่า ในช่วงหน้าร้อนปี ๒๐๑๑ Jobs โทรตามให้ Cook ไปที่บ้านเพื่อบอกว่าจะเสนอคณะกรรมการให้แต่งตั้ง Cook เป็นซีอีโอ โดยที่ Jobs จะขยับไปเป็นประธานกรรมการ และ Jobs ได้กล่าวย้ำกับ Cook ว่า

“I never want you to ask what I would have done, Just do what’s right.”

ในช่วงก่อนที่ Jobs จะเสียชีวิตก็ได้ย้ำประโยคนี้อีกครั้ง ซึ่ง Cook เล่าว่า คำแนะนำนี้ช่วยลดแรงกดดันไปได้อย่างมาก

สำหรับ Tim Cook คำแนะนำครั้งนี้อาจเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดที่เขาเคยได้รับจากนายคนนี้เลยก็ได้