Bloomberg Businessweek ไทยแลนด์ ฉบับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

เดือนนี้เมื่อ ๒ ปีที่แล้วนิตยสาร Bloomberg Businessweek ไทยแลนด์ ขึ้นปกด้วยรูปคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมด้วยคำโปรย “เศรษฐกิจไทยภายใต้รัฐบาล ‘ยิ่งลักษณ์'”

Bloomberg Businessweek ไทยแลนด์  ฉบับสิงหาคม  ๒๕๕๔

[นิตยสาร Bloomberg Businessweek ไทยแลนด์ ฉบับสิงหาคม ๒๕๕๔]

ปกนี้มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบางประการนะครับ

ต้องบอกว่า ปกนี้เป็นปกแรกและปกเดียวของ Bloomberg Businessweek ไทยแลนด์ ที่ใช้คนไทยขึ้นปกและการตัดสินใจใช้รูปคุณยิ่งลักษณ์ขึ้นปกพร้อมด้วยคำโปรยดังกล่าวถือเป็นความเสี่ยงประการหนึ่ง (ของหนังสือและตัวผมเอง) เพราะทีมงานต้องปิดเล่มตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือนกรกฎาคม และในวันที่ปิดเล่มเพื่อส่งไฟล์เข้าโรงพิมพ์นั้นยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างแน่ชัดว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งใครมาเป็นนายกฯ หากเวลาต่อมานายกฯ ไม่ใช่คุณยิ่งลักษณ์ ตัวผมในฐานะบรรณาธิการผู้ตัดสินใจย่อมต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเก็งหวยผิดในครั้งนี้ แต่ในเวลานั้นผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณทักษิณคงไม่ไว้ใจใครเท่าน้องสาวตัวเองแน่ๆ ก็เลยฟันธงมาทางนี้แบบไม่มีกั๊ก

ถ้าจะพูดแบบอ้างอิงคำวิชาการให้ดูน่าเชื่อถือก็ต้องบอกว่า การตัดสินใจครั้งนี้แม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็เป็น calculated risk ที่ได้มีการประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว และการเสี่ยงครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะ Bloomberg Businessweek ไทยแลนด์ เป็นนิตยสารรายเดือนเล่มแรกที่ขึ้นปกด้วยรูป (และเรื่อง) คุณยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ สำหรับคนอื่นอาจไม่อินและไม่ฟินกับเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่สำหรับทีมงานและตัวผมในฐานะบรรณาธิการ นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เราภูมิใจนะครับ

สำหรับเรื่องจากปก นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องวางแผนล่วงหน้า เพราะตอนที่เก็บข้อมูลและไปคุยกับแหล่งข่าว เรายังไม่รู้เลยว่าพรรคไหนจะชนะการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นเราต้องทำงานเป็นสองเท่า คือ เก็บข้อมูลและสัมภาษณ์เผื่อทั้งกรณีที่เพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลหรือประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล จนกระทั่งเลือกตั้งเสร็จ ผลคะแนนออกมาชัด หลังจากนั้นก็มุ่งไปทางเดียว ก็ได้มาเป็นบทความชิ้นนี้

หน้าเปิดเรื่องจากปก Bloomberg Businessweek ไทยแลนด์ ฉบับสิงหาคม ๒๕๕๔

[หน้าเปิดเรื่องจากปก Bloomberg Businessweek ไทยแลนด์ ฉบับสิงหาคม ๒๕๕๔]

หมายเหตุ : มีเรื่องบังเอิญเล็กน้อยที่ฉบับนี้เป็นฉบับก้าวสู่ปีที่ ๕ ของ Bloomberg Businessweek ไทยแลนด์ พอดี ที่หน้าปกก็เลยมีข้อความแจ้งผู้อ่านเอาไว้ด้วย ซึ่งการตัดสินใจทำเรื่องนี้และปกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเป็นการฉลองการขึ้นปีที่ ๕ แต่อย่างใดครับ

ใช้แอพอะไรกัน?

[แอพที่ว่านี่หมายถึงแอพในสมาร์ทโฟนนะครับ ไม่รวมถึงแอพในเครื่องเดสค์ท็อป]

คนใช้สมาร์ทโฟนจะมีการใช้งานแตกต่างกันไปตามจริตของแต่ละคน ซึ่งก็จะมีแอพที่ใช้ประจำอยู่จำนวนหนึ่งแล้วแต่ความชอบ ความถนัด แม้บางคนจะจริตตรงกันก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้แอพเหมือนกันก็ได้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะการได้รู้ว่าคนอื่นใช้แอพอะไรเพื่อทำอะไรกันบ้างอาจจะช่วยให้เราใช้ประโยชน์จากโทรศัพท์ของเราได้มากขึ้น

เอาของผมเอง โดยนิสัยแล้วผมเป็นพวก info junkie เพราะฉะนั้นแอพที่ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเพื่อสนองความต้องการในเรื่องพวกนี้เป็นหลัก

My iPhone Home Screen

(อันนี้ไม่ได้เรียงตามการใช้งานนะครับ เอาแบบที่นึกได้)

  • facebook -> เอาไว้เสือกเรื่องคนรอบตัวและสื่อสารผ่านทาง facebook message หรือ chat
  • twitter -> เอาไว้ทวีต
  • Flipboard -> ใช้สำหรับอ่านทวีตและ Google+ เพื่อเสือกเรื่องชาวบ้านและติดตามข่าวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน (ทุกวันนี้ผมใช้ twitter เป็นช่องทางรับข่าวสารมากกว่าช่องทางอื่นๆ แต่สาเหตุที่ใช้ตัวนี้อ่านทวีตแทนก็เพราะ user interface มันดึงดูดมากกว่าและให้ข้อมูลได้มากกว่า)
  • Feedly -> อ่านฟีดและบลอกทั้งหลายทั้งปวงที่สมัครเอาไว้ อันนี้เป็นนิสัยที่ติดมาตั้งแต่สมัยที่บลอกยังเฟื่องฟู
  • Evernote -> นี่พลาดไม่ได้ ใช้เก็บบันทึก คำคม คำพูดเด็ดๆ รวมไปถึงหน้าเว็บ และข้อมูลสารพัดเพื่อเอาไว้ใช้งาน หรือเตือนความทรงจำในวันข้างหน้า จุดเด่นคือ ทำงานแบบข้ามแพลตฟอร์ม มีทั้งบนเว็บ บนพีซี บนแมค บนมือถือทั้ง iOS ทั้งแอนดรอยด์ วินโดว์สโฟน ถ้าวันข้างหน้าจะเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มอื่นรับรองไม่มีปัญหาแน่นอน
  • Pocket -> เก็บหน้าเว็บเอาไว้อ่านตอนว่างๆ เป็นเหมือน bookmark ออนไลน์ นี่ก็ใช้สะดวก มีทั้งบนเว็บ เป็นปลั๊กอินบนเบราเซอร์ทั้ง firefox chrome opera บนมือถือก็ใช้ได้
  • Mailbox -> สำหรับจัดการ Gmail
  • Yahoo! Mail -> ชื่อก็บอกว่าใช้จัดการ Yahoo! Mail
  • Boxer -> สำหรับเมลอื่นๆ (ทำไมอีเมลเยอะจังวะ?)
  • Any.Do -> รายการ to do list วันนี้ วันหน้าและวันไหนๆ
  • Cal -> ปฎิทิน นัดหมาย รายการต่างๆ ที่ไม่ใช้ของที่ติดเครื่องมาก็เพราะตัวนี้ user interface แจ่มกว่ามาก
  • Line -> สื่อสารกับชาวบ้านชาวช่อง เดิมใช้ What’s app แต่คนรอบตัวเปลี่ยนมาใช้ตัวนี้กันหมดก็ต้องเปลี่ยนตาม

ที่ว่ามานี่เป็นแอพหลักๆ ที่ผมใช้ทุกวัน (ไม่นับแอพของ iOS เองด้วย) ยังมีบางแอพที่สองสามวันใช้ทีและหลายแอพที่นานๆ ใช้ที และมีบางแอพที่แทบไม่เคยใช้เลย แต่ยังไม่ได้ลบออกจากเครื่อง เพราะเห็นว่าคอนเซ็ปต์บางอย่างมันน่าสนใจ เก็บไว้เป็นไอเดียหรือเพื่อเรียนรู้ได้

อ้อ เผื่อใครสนใจจะลองดาวน์โหลดมาใช้งานบ้าง ทุกแอพที่ว่ามานี่ ฟรีทั้งหมดครับ 🙂

แง่มุมธุรกิจจาก The Godfather

หมายเหตุก่อนอ่าน : บทความชิ้นนี้ลงตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Corporate Thailand ฉบับ July 2004 การนำมาโพสต์ครั้งนี้ไม่ได้มีการดัดแปลง เปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงข้อความหรือเนื้อหาใดๆ ยกเว้นเปลี่ยนตัวเลขให้เป็นเลขไทย

ช่วงปลายปี ๒๕๔๕ นิตยสาร Forbes ของสหรัฐอเมริกาได้ทำการคัดเลือกภาพยนตร์ด้านธุรกิจที่ดีเด่นสุดยอด ๑๐ อันดับแรก โดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ นักวิจารณ์ คนเขียนบทและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ ซึ่งถึงแม้ภาพยนตร์ด้านธุรกิจจะมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับภาพยนตร์แอคชั่นและรักโรแมนติค แต่ภาพยนตร์ที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีเยี่ยมเรื่องหนึ่งอย่าง Citizen Kane ก็เป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ แสดงให้เห็นว่าเรื่องราวในแวดวงธุรกิจนั้นก็มีสีสันและ Story ที่ดีพอจะสร้างเป็นภาพยนตร์ชั้นเยี่ยมได้เช่นเดียวกัน

ผลจากการคัดเลือกของคณะกรรมการในครั้งนั้นมีภาพยนตร์บางเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ทราบผล นั่นคือ The Godfather ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้ติดอยู่ในอันดับ ๔ และ The Godfather Part II ที่ครองอันดับ ๒ เพราะเมื่อดูจากเนื้อเรื่องและแนวทางของภาพยนตร์ทั้ง ๒ เรื่องนี้แล้ว ไม่น่าจะมาติดอันดับภาพยนตร์ด้านธุรกิจได้ แต่คณะกรรมการก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าทั้ง ๒ เรื่องนี้เหมาะสมแล้วที่จะได้รับการจัดอันดับตามที่ประกาศออกมา

The Godfather ฉบับภาพยนตร์สร้างขึ้นจากบทประพันธ์ในชื่อเดียวกันของ Mario Puzo ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ๒๕๑๒ เมื่อประสบความสำเร็จยอดขายถล่มทลายก็ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ออกฉายใน ๓ ปีถัดมา ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในด้านรายได้และคำชมจากนักวิจารณ์ทั่วไป ความยอดเยี่ยมในเชิงภาพยนตร์ของ The Godfather นั้นขอละเอาไว้ไม่กล่าวถึงในที่นี้ แต่จะขอพูดถึงแง่มุมในด้านการบริหารจัดการธุรกิจที่เราพบเห็นได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้แทน

The Godfather แสดงให้เราได้เห็นว่า ในสังคมธุรกิจนั้น “เครือข่าย” หรือ Network เป็นสิ่งสำคัญมาก บทบาทของดอนวีโต คอร์เลโอเน ผู้เป็นประมุขของตระกูลคอร์เลโอเนนั้นเป็นทั้งศูนย์กลางของเครือข่ายแห่งหนึ่ง และยังเป็นตัวเชื่อมไปยังศูนย์กลาง (ประมุข) เครือข่ายแห่งอื่นอีกด้วย เราได้เห็นฉากการเจรจาระหว่างดอนคอร์เลโอเนกับประมุขตระกูลอื่นที่ประสงค์จะขอใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของคอร์เลโอเน แลกกับผลตอบแทนในรูปของส่วนแบ่งรายได้ในธุรกิจค้ายาเสพติด เท่ากับว่าเครือข่ายที่มีอยู่นั้น แท้จริงแล้วเป็น “ทุน” ประเภทหนึ่ง ที่สามารถก่อให้เกิดธุรกิจขึ้นได้ ถ้าจะเรียกกันตามภาษาในยุคบูรณาการก็ต้องว่า “แปลงเครือข่ายเป็นทุน” นั่นเอง

สิ่งนี้ไม่ต่างจากแวดวงสังคมธุรกิจไทยมากนัก เราได้เห็นธุรกิจที่เกิดขึ้นและดำเนินไปภายใต้ปัจจัยของการเป็น “คนรู้จักกัน” จำนวนไม่น้อย ยิ่งในช่วงหลายสิบปีก่อน ที่สังคมธุรกิจไทยจะมีตระกูลใหญ่ครอบครองอยู่เพียงไม่กี่สิบตระกูลเท่านั้น เรามักได้ยินข่าวคราวการแต่งงานกันระหว่างลูกหลานของคนในตระกูลใหญ่เหล่านี้อยู่เสมอ ซึ่งจุดหนึ่งก็เพื่อสร้างสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่างตระกูลเพื่อช่วยเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจนั่นเอง

หรือในยุคสมัยใหม่ หลักสูตรการเรียน MBA ที่ฮิตนักหนานั้นก็มีส่วนช่วยต่อการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าเรียน ซึ่งอาจนำไปสู่การต่อยอดทางธุรกิจได้เช่นกัน

The Godfather ยังแสดงให้ผู้ชมได้เห็นความสำคัญของ “ข้อมูล” อย่างเป็นรูปธรรม ดังในฉากที่ไมเคิล คอร์เลโอเน บุตรชายคนเล็กของดอนคอร์เลโอเนจะต้องไปเจรจาสงบศึกกับคู่อริของตระกูล ก่อนหน้าการเจรจาได้มีการสั่งการให้สืบหาสถานที่ที่จะใช้เป็นที่เจรจาโดยด่วน เพื่อจัดเตรียมอาวุธไว้ให้ไมเคิลใช้สังหารคู่เจรจาก่อนที่จะหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ซิซิลี หากไม่สามารถหาข้อมูลสำคัญนี้มาได้หรือได้ข้อมูลที่ผิดพลาด ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นคงยากที่จะประเมินได้

ซึ่งก็นำมาสู่สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของการทำธุรกิจ คือ การเสาะแสวงหาข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สายลับ เราได้เห็นดอนคอร์เลโอเนสั่งการให้ลูกสมุนที่ไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่งพยายามไปฝังตัวเป็นสายลับในองค์กรคู่อริ ขณะเดียวกันดอนของตระกูลคู่อริก็พยายามซื้อตัวคนใกล้ชิดของดอนคอร์เลโอเนให้แปรพักตร์ด้วยเช่นกัน เรื่องราวเหล่านี้สำหรับสังคมธุรกิจอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามากเหลือเกิน รวมทั้งยังเกิดขึ้นแล้วจริงๆ หลายครั้งหลายคราในหลายองค์กรด้วยกัน

หากเรามององค์กรอาชญากรรมของตระกูลคอร์เลโอเนเป็นองค์กรธุรกิจ การตระเตรียมทายาทเพื่อรอถึงวันส่งมอบองค์กรให้ครอบครองก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อย เพราะเหตุที่ไม่คาดคิดหลายประการอาจเกิดขึ้นกับตัวผู้นำิองค์กรได้ทุกเมื่อ ใน The Godfather เองเราได้เห็นดอนคอร์เลโอเนพยายามสั่งสอนซันนี ผู้เป็นลูกชายคนโตให้เรียนรู้หลักการบริหารกิจการของตระกูล รวมทั้งกลเม็ดต่างๆ ที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของตระกูล

แต่เหมือนดังคำกล่าวที่ว่าเอาไว้ “คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต” เพราะซันนี คอร์เลโอเนต้องประสบเหตุร้ายที่คาดไม่ถึง ทำให้ไมเคิล บุตรชายคนเล็ก ผู้ซึ่งไม่เคยแสดงความต้องการที่จะมารับช่วงกิจการของตระกูลเอาเสียเลย กลับต้องมารับหน้าที่นี้ และก็เป็นไมเคิลนี่เองที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่สุดและสามารถนำพากิจการของตระกูลคอร์เลโอเนให้รุ่งเรืองและเริ่มก้าวออกจากเงามืดมาสู่ธุรกิจถูกกฎหมายมากขึ้นได้สมความใฝ่ฝันของดอนคอร์เลโอเน

นั่นแสดงให้เห็นว่า ทายาทธุรกิจที่เหมาะสมนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นบุตรคนแรกหรือผู้มีอาวุโสสูงสุดเสมอไป หากแต่ควรจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากที่สุดมากกว่า องค์กรธุรกิจยักษ์ใหญ่ของไทยอย่างน้อยสองแห่งที่ผู้นำองค์กรคนปัจจุบันมิได้เป็นบุตรชายคนโตของตระกูล คือ ธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือซีพี และบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ผู้นำเครือสหพัฒน์ ซึ่งทั้งสองก็สามารถนำพากิจการของตระกูลให้เติบโตและขยายออกไปได้มากจนเป็นองค์กรชั้นนำของไทยในปัจจุบัน

หมายเหตุ : เมื่อกล่าวถึงแง่มุมด้านธุรกิจจาก The Godfather แล้ว ขอกล่าวถึงตัว The Godfather เองสักเล็กน้อย หนังสือ The Godfather ที่เขียนโดย Mario Puzo ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ มียอดขายรวมจนถึงวันนี้ประมาณ ๑๖๐ ล้านเหรียญ ส่วนภาพยนตร์ The Godfather ที่กำกับโดย Francis Ford Coppola ทั้ง ๓ ภาคนั้น ทำรายได้เฉพาะในสหรัฐอเมริกาได้ถึง ๔๕๐ ล้านเหรียญ ๑๔๕ ล้านเหรียญและ ๙๐ ล้านเหรียญตามลำดับ และได้มีการประเมินกันว่าเมื่อรวมรายได้ที่เกิดจาก The Godfather ทั้งหมด ทั้งจากยอดขายหนังสือ รายได้จากภาพยนตร์ รวมทั้วยอดขายของวิดีโอและดีวีดีและอื่นๆ แล้ว คาดว่าจะมียอดเกินกว่า ๑ พันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว

Corporate Thailand July 2004

[นิตยสาร Corporate Thailand ฉบับ July 2004 ที่ตีพิมพ์ข้อเขียนชิ้นนี้ครั้งแรก]

ข้อดีของวิกฤติต้มยำกุ้ง ตอนที่ ๒

ครั้งที่แล้วผมเล่าถึงข้อดีของวิกฤติต้ายำกุ้งข้อแรกไปแล้ว เป็นเรื่องของการงาน ครั้งนี้ข้อสองเป็นเรื่องของการเงิน ซึ่งก็ต่อเนื่องมาจากข้อแรก

นั่นคือ วิกฤติต้มยำกุ้งทำให้ได้ซาบซึ้งกับวลีที่ว่า การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ และนอกจากไม่มีหนี้แล้วยังต้อง มีเงินเก็บ ด้วยนะครับ

บทเรียนข้อนี้แลกมาด้วยหยาดเหงื่อชนิดที่ผ่านมาแล้วสิบกว่าปียังจำได้ไม่ลืม

อย่างที่ได้เล่าไปว่า ช่วงที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งบริษัทที่ผมทำงานอยู่ลดเงินเดือนลง ๓๐% แถมบางเดือนก็จ่ายล่าช้าไม่ตรงตามกำหนด แต่ตอนนั้นผมผ่อนทั้งบ้านทั้งรถตามประสาคนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ซึ่งธนาคารกับไฟแนนซ์ที่เป็นเจ้าหนี้ไม่รับรู้ด้วย เขารู้แค่ว่าถึงกำหนดต้องจ่ายมาตามจำนวน ดอกเบี้ยเงินกู้บ้านขึ้นไปที่ ๑๖% ถ้าจ่ายช้าดอกก็เพิ่ม ชีวิตตอนนั้นต้องปากกัดตีนถีบเอาเรื่องอยู่นะครับ

ทำงานประจำจันทร์ถึงศุกร์ เสาร์อาทิตย์ขนของขึ้นรถไปเปิดท้ายขายของ ตระเวนไปแต่ละอาทิตย์ ตั้งแต่บิ๊กซี ราชดำริ หมู่บ้านเมืองเอก ฟิวเจอร์ปาร์ค บางแค ถนอมมิตร พาร์ค ที่วัชรพล ฯลฯ แรกๆ ก็เอาข้าวของในบ้านไปขาย พวกเทปคาสเซ็ทต์ที่สะสมเอาไว้ สมุดบันทึกที่ได้จากหน่วยงานต่างๆ ข้าวของที่ระลึก สิ่งละอันพันละน้อย จนเริ่มเหลือน้อยก็ไปหาของมาขาย ตอนนั้นคนกำลังเริ่มฮิตต่อจิ๊กซอว์ ก็ไปรับจากสำเพ็งมาขาย อีกสักพักคนเริ่มขายกันเยอะ ก็ไปเอาถุงน่องจากโบ๊เบ๊มาขายเพิ่มเข้าไป มีน้องที่รู้จักทำเสื้อยืดขายอยู่โบ๊เบ๊ก็ไปรับมาขาย น้องคนนี้ก็ดีมากให้เอาเสื้อมาก่อนขายได้ค่อยเอาเงินไปให้ (ขอบคุณมากนะดุ๊ย) พอขายของเสร็จกลับบ้านค่ำมืดก็มานั่งทำงานบ้านต่อ เช้าวันจันทร์ก็ไปทำงาน

ชีวิตวนเวียนอย่างนี้อยู่พักใหญ่

จนวันนึงคิดว่า ไม่ไหวแล้ว ก็พอดีได้งานใหม่ เงินเดือนมากขึ้น จ่ายเงินเดือนตรงเวลา ก็เริ่มหายใจหายคอได้บ้าง จากนั้นก็เร่งโปะหนี้ ไล่ไปทีละอย่าง ทยอยโปะบัตรเครดิตจนหมด ตามด้วยโปะบ้าน ใช้เวลาหลายปีจนในที่สุดก็เป็นไท

หนี้ก็เหมือนไขมัน ถ้ามีมากก็ทำให้เราอุ้ยอ้าย จะขยับเนื้อขยับตัวก็ไม่สะดวก

วันที่หมดหนี้เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดวันนึงนะครับ

หลังจากนั้นผมเก็บเงินเป็นเรื่องเป็นราว พยายามเป็นหนี้ให้น้อยที่สุด เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เมื่อไหร่ที่วิกฤติจะกลับมาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงว่าระบบเศรษฐกิจโลกทุกวันนี้มันโยงใยผูกพันกันไปหมด บางทีวิกฤติรอบหน้าอาจจะไม่ได้เกิดจากตัวเราเองแต่เราโดนลูกหลงของคนอื่นก็อาจเป็นได้

ถ้าวันนั้นมาถึง คนที่ตัวเบาที่สุดจะเหนื่อยน้อยที่สุด

Cash is King ครับ

ข้อดีของวิกฤติต้มยำกุ้ง

พรุ่งนี้ก็ ๒ กรกฎาคมแล้วนะครับ ถือเป็นวันที่มีความสำคัญระดับจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์โลกได้เหมือนกันว่า วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ เป็นวันที่รัฐบาลไทยประกาศเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัว (ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินบาทไหลจากระดับ ๒๕ บาทต่อดอลลาร์ไปทำสถิติเอาไว้ที่ ๕๕ บาทต่อดอลลาร์) และถือเป็นจุดเริ่มอย่างเป็นทางการของวิกฤติการเงินครั้งสำคัญของไทยที่ชาวต่างชาติพร้อมใจขนานนามให้ว่า วิกฤติต้มยำกุ้ง

ต่อมาก็ลุกลามไปสู่ประเทศอื่นๆ แถบนี้จนกลายเป็นวิกฤติการเงินเอเชีย หลังจากนั้นก็ขยายวงออกไปภูมิภาคอื่น จนปะทุเป็นวิกฤติประเทศเศรษฐกิจใหม่ในที่สุดและทุกครั้งที่มีใครหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก็จะต้องพาดพิงถึงประเทศไทยในฐานะตัวต้นเหตุให้เราได้ภาคภูมิใจกันทุกครั้งไป (มั้ย?)

ผลกระทบของวิกฤติต้มยำกุ้งนี่ถ้าเล่าให้คนที่โตไม่ทันได้ฟังอาจจะนึกว่าโม้ เพราะมันเจ๊งกันแทบจะทั้งประเทศ บริษัทไฟแนนซ์หายไปหลายสิบแห่ง โดยที่หลายบริษัทเป็นบริษัทระดับท็อปของประเทศ ธนาคารที่เชื่อกันว่ามั่นคง ไม่ล้มกันง่ายๆ ก็โดนยุบไปรวมกับธนาคารอื่น และมีอีกหลายแห่งที่ไม่ถูกยุบแต่เจ้าสัวนายแบงค์ต้องยอมให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นมากขึ้นเพื่อเอาตัวให้รอด

บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังๆ ตอนนั้นแทบจะเจ๊งเรียบ โครงการก่อสร้างที่แย่งกันขึ้น แข่งกันสร้าง กลายเป็นโครงการร้าง สร้างต่อไม่ได้ เพราะไม่มีเงิน แต่ถึงบริษัทมีเงินสร้างก็ไม่มีคนซื้อ เพราะตกงานกันเพียบ มันแย่ถึงขนาดที่คนระดับ ชาตรี โสภณพนิช บิ๊กบอสแบงค์กรุงเทพ ออกมาบอกนักข่าวว่า เจ้าสัววันนี้ไม่มีแล้ว มีแต่เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์

ขนาดนายแบงค์ยังเป็นอย่างนี้ แล้วคนธรรมดาจะไปเหลืออะไร

แต่วิกฤติต้มยำกุ้งก็ยังมีข้อดีอยู่นะครับ เอาข้อที่ฝังใจผมและส่งผลต่อการทำงานของผมมากที่สุดก็คือ วิกฤตินี้ทำให้รู้ได้ว่า ความมั่นคงในอาชีพการงานมันไม่มีอีกต่อไปแล้ว

ทำไมผมถึงคิดอย่างนี้

ก่อนหน้าวิกฤติต้มยำกุ้งเศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่องมาร่วมสิบปี คนที่เรียนจบออกมาทำงานไม่กี่ปีก็มีบัตรเครดิต ซื้อบ้าน ซื้อรถ กันได้ง่ายๆ แบงค์เองก็ปล่อยกู้สบายๆ เพราะรู้ว่าลูกหนี้มีกำลังผ่อนได้อยู่แล้ว

พอเกิดวิกฤติปั๊บ เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางกบาล เอากรณีผมแล้วกัน บริษัทเอาคนออกไปเกือบครึ่งนึง งานก็เลยเพิ่มขึ้นเป็น ๒ เท่า เงินเดือนถูกลดไป ๓๐% แถมบางเดือนออกช้าอีกต่างหาก แต่มีงานทำก็ยังดีกว่าไม่มี เพราะเวลานั้นคนตกงานกันเป็นแสน ไม่มีใครมองหางานใหม่ ก็ไม่มีที่ไหนรับคนเพิ่ม มีแต่เล็งจะเลิกจ้าง แค่รักษางานเอาไว้ได้นี่ก็มหัศจรรย์แล้ว

สถานการณ์อย่างนี้จะไปหาความมั่นคงในอาชีพจากที่ไหน ถึงเวลาจะผ่านมาแล้วก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอย่างนี้อีกมั้ย

แต่ข้อดีอยู่ตรงนี้ครับ พอรับรู้ได้ว่า เราไม่สามารถมองหาความมั่นคงในอาชีพได้แล้ว มันก็เลยเกิดแรงผลักดันมาจากข้างในให้ต้องพัฒนาตัวเองไม่หยุด ก่อนหน้านี้เคยทำได้อยู่อย่างเดียว ก็เริ่มหัดทำอย่างอื่นด้วย ไอ้ของที่ทำอยู่ก็หาวิธีทำให้ดีขึ้นไปอีก อะไรที่ขาดก็หามาเติม ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็เพื่อที่ว่า ถ้าปุบปับเกิดอะไรขึ้นมา เราก็จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดแรงงาน (ผมมีความสุขดีกับการเป็นลูกจ้างครับ)

พอทำอย่างนี้ไปได้สักพัก กลายเป็นว่ามันช่วยเปิดโอกาสให้กับชีวิต ผมมีโอกาสได้ทำงานดีๆ งานที่ทำแล้วมีความสุขต่อเนื่องกันมาตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้

ต้องขอบคุณวิกฤติต้มยำกุ้งนะครับ

หญิง-ชายเลือกคู่ ดูอะไร?

เมื่อไม่นานมานี้ผมมีโอกาสได้สนทนากับคนที่เคยทำงานในบริษัทจัดหาคู่แห่งหนึ่ง เท่าที่เคยได้ยินมาบริษัทนี้มีชื่อเสียงอยู่ในระดับต้นๆ ของประเทศ หลังจากที่คุยกิจธุระกันเรียบร้อย ผมก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ถามถึงข้อสงสัยบางประการ รวมทั้งรายละเอียดของการหาคู่ให้ชาวบ้านด้วย

ข้อแรกเลย ผมถามว่า จากประสบการณ์ที่เขาทำงานมา ผู้หญิงกับผู้ชายมีหลักเกณฑ์ในการเลือกคู่ยังไง

ได้คำตอบว่า สองเพศนี้เลือกไม่เหมือนกัน (เออ ลืมถามเพศที่สามนะ) เอาผู้หญิงก่อน เขาบอกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะดูจากฐานะและหน้าที่การงานของฝ่ายชายเป็นอันดับแรก การจะผ่านเกณฑ์ข้อนี้ไปได้ต้องมีฐานะและการงานไม่ด้อยกว่าฝ่ายหญิง อย่างน้อยก็ต้องสูสีกัน ถ้าต่ำกว่าก็ตกรอบแรกไปเลยนะครับ ผู้หญิงที่ใช้เกณฑ์ข้อนี้รวมไปถึงคนที่รวยอยู่แล้วหรือมีหน้าที่การงานดีอยู่แล้วด้วย พวกที่คิดว่าฉันรวยอยู่แล้ว ผู้ชายด้อยกว่าก็ไม่เป็นไรนี่เขาบอกว่าไม่ค่อยเจอครับ

มาฝั่งผู้ชายบ้าง สั้นๆ ง่ายๆ เกือบร้อยทั้งร้อยดูหน้าตาและรูปร่างครับ ฐานะกับการงานนี่ตามมาห่างๆ เลย

ข้อต่อมา ใครบ้างที่มาใช้บริการจัดหาคู่ เขาบอกว่า มีทั้งหญิงและชายแต่สัดส่วนผู้หญิงจะมากกว่า และคนที่มาใช้บริการก็หลากหลายมาก มีตั้งแต่เด็กวัยรุ่นที่แม่เดินจูงมือพามาเลย มีนางแบบ มีลูกหลานนักการเมือง หมอก็มี ไปจนถึงนักธุรกิจระดับสิบล้านร้อยล้านก็มี แต่ละคนก็มีเป้าหมายหรือความต้องการแตกต่างกันไป เขาเล่าว่า ผู้หญิงบางคนสเปคมาเลยว่าจะหาคู่ที่เป็นฝรั่งเท่านั้น มีบางคนส่งรูป “ณเดชน์” มาให้ บอกว่าจะเอาหน้าตาประมาณนี้ บางคนเพิ่งถูกแฟนบอกเลิกมาเมื่ออาทิตย์ก่อน มาถึงก็เร่งเลยว่าอยากได้เร็วที่สุด

สำหรับขั้นตอนการทำงานของบริษัทจัดหาคู่ที่ได้รับความต้องการของลูกค้ามาแล้ว ก็ต้องมาคัดเลือกจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ว่ามีใครเข้าข่ายที่ลูกค้าตั้งเอาไว้บ้าง แล้วต้องดูด้วยว่าน่าจะเข้ากันได้ เพื่อส่งให้ลูกค้าดูอีกที หากพอใจในเบื้องต้น ทีนี้ก็จะมีการนัดเดทกัน ตรงนี้ทางบริษัทจะประสานงานให้ จองร้านอาหารให้ หาแผนที่ เตรียมเส้นทาง อะไรให้เสร็จสรรพ แต่เขาไม่ไปด้วยนะ ลูกค้าเจอกันเอง คุยกันเอง กินข้าวเสร็จจะไปกินกาแฟ จิบไวน์ ดูหนัง ช็อปปิ้ง อะไรก็ตามสะดวก

เสร็จสรรพวันรุ่งขึ้น ทางบริษัทจะโทรไปถามผล

ก็มีทั้งที่พอใจและไม่พอใจนะครับ ถ้าเป็นกรณีที่ไม่พอใจนี่บางทีโทรมาวันนั้นเลย เหตุผลก็แตกต่างกันไป ลูกค้าผู้ชายบางคนบอกว่า สาวคู่เดทพูดสบถและคำหยาบแทบจะตลอดเวลา อย่างนี้ไม่เอา ส่วนลูกค้าผู้หญิงไปเจอคู่เดทที่เอาแต่คุยเรื่องการเมือง หรือบางคนไปเจอคนกินมูมมามจนรับไม่ได้ก็มี กรณีที่ยังไม่โอเคอย่างนี้ทางบริษัทก็จะหาคู่เดทคนใหม่ให้

มีกรณีประทับใจหลายคู่หลายคนเหมือนกัน เขาเล่าว่ามีอยู่คู่นึงที่บริษัทจับคู่ให้ไปเดทกัน พอแยกย้ายกันขับรถกลับที่พักของตัวเอง ถึงได้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่คอนโดเดียวกัน จอดรถชั้นเดียวกัน แต่คนละฝั่ง แล้วก็ไม่เคยเจอกันมาก่อน คู่นี้หลังจากที่เดทกันแล้วสุดท้ายก็สานสัมพันธ์กันต่อ แล้วก็มีสาวบางคนที่พอมาถึงก็บอกกับพนักงานเลยว่า อยากไปออกรายการ Take Me Out Thailand ช่วยจัดให้ได้มั้ย แบบนี้ก็มีนะครับ

ฟังจากที่เขาเล่ามา ผมคิดว่าธุรกิจจัดหาคู่น่าจะโตได้อีกมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้คนส่วนมากจะรู้สึกขัดเขินหรือไม่สะดวกใจกับการไปให้บริษัทช่วยหาคู่ให้ แต่สภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันที่แต่ละคนต้องก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่มีเวลาไปเจอคนที่ถูกใจ หรือเจอแต่กลุ่มคนในแวดวงเดียวกันก็ดันรู้ไส้รู้พุงกันหมดเสียอีก บริการลักษณะนี้ก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับคนไร้คู่ได้นะครับ

เอกยุทธ อัญชันบุตร เป็นใคร?

ช่วง ๓-๔ วันมานี้คงไม่มีใครได้พื้นที่ข่าวเท่ากับ เอกยุทธ อัญชันบุตร

เรื่องราวของเอกยุทธที่นำเสนอผ่านสื่อออกมาส่วนใหญ่บอกเพียงว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับแชร์ชาร์เตอร์เมื่อราว ๓๐ ปีก่อน แต่รายละเอียดของเรื่องนี้ก็ไม่มีมากนัก แต่คนหนึ่งที่รู้เรื่องราวของเอกยุทธดีน่าจะเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ได้เขียนเรื่องราวของเอกยุทธลงในนิตยสารผู้จัดการ ฉบับเดือนมิถุนายน ๒๕๒๘ ในชื่อเรื่องว่า “เอกยุทธ อัญชันบุตร ดินที่ถูกปั้นให้เป็นดาว แล้วก็กลายเป็นธุลี”

ผมโตไม่ทันนิตยสารฉบับที่ว่า แต่โชคดีที่เมื่อหลายปีก่อนทางผู้จัดการได้รวบรวมงานเขียนของสนธิ ลิ้มทองกุลมารวมเล่มและหนึ่งในนั้นคือ เจ้าพ่อ ซึ่งมีข้อเขียนชิ้นนี้รวมอยู่ด้วย

mafia_cover

เรื่องราวในบทความนี้เล่าถึงประวัติและความเป็นมาของเอกยุทธก่อนที่จะมาเริ่มแชร์ชาเตอร์ และต่อเนื่องไปถึงเรื่องราวของแชร์ชาเตอร์ตั้งแต่ต้นจนถึงบทสุดท้ายที่ต้องล้มโต๊ะแชร์ เพราะเอกยุทธผู้เป็นเจ้ามือหายตัวไปเสียเฉยๆ คงเหลือไว้เพียงตำนานให้คนกล่าวถึงกัน

eakayuth

นอกจากเรื่องราวของเอกยุทธตามที่เล่ามาแล้ว งานเขียนในหนังสือเล่มนี้อ่านสนุกตามสไตล์สนธิ ลิ้มทองกุล โดยเฉพาะเรื่องราวของแชร์แม่ชม้อย ในชื่อ “ชม้อย ทิพย์โส วีรสตรีหรือซาตานกันแน่!” ที่ต้องบอกว่าไม่ควรพลาด

ลองหาอ่านกันดูครับ

ก้าวออกจาก Comfort Zone

ผมเพิ่งไปสอนหนังสือมา จริงๆ อย่าเรียกว่าสอนเลย เรียกว่าไปเล่าประสบการณ์ให้นักศึกษาฟังจะตรงกว่า เรื่องของเรื่องก็คือ ที่วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล มีสอนวิชา Business Research ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งพูดถึงการเก็บข้อมูลและกระบวนการหนึ่งของการเก็บข้อมูลก็คือ การสัมภาษณ์ อาจารย์ที่สอนก็เลยติดต่อมาให้ผมไปช่วยเล่าให้นักศึกษาฟังหน่อยว่า การสัมภาษณ์ควรทำอย่างไร

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้วนะครับที่ผมได้มีโอกาสไปเล่าให้นักศึกษาฟังในหัวข้อนี้ แต่ความประหม่าและความตื่นเต้นก็ยังเต็มที่เหมือนครั้งแรก คงเป็นเพราะไม่คุ้นกับการบรรยายให้ใครฟังเป็นทางการสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายถามและฟังเสียมากกว่า แต่ถึงจะประหม่าอย่างที่ว่า ผมก็ยินดีไปนะครับ เพราะมองว่าการไปบรรยายอย่างนี้เป็นการช่วยให้ผมได้ออกจาก Comfort Zone ของตัวเองบ้าง

คำว่า Comfort Zone นี้ผมได้ยินครั้งแรกเมื่อประมาณ ๕-๖ ปีก่อนในระหว่างการสัมภาษณ์ซีอีโอบริษัทแห่งหนึ่ง ที่มีการขยายธุรกิจไปในประเทศแถบภูมิภาคนี้ แต่พบปัญหาว่าผู้บริหารของบริษัทไม่อยากย้ายไปทำงานในประเทศเหล่านั้น ด้วยเหตุผลของความไม่คุ้นเคยทั้งในด้านภาษา วัฒนธรรมและผู้คน ถึงขนาดที่สัญญาว่าถ้าไปแล้วกลับมาจะได้รับการโปรโมทให้ใหญ่ขึ้น ก็ยังไม่ค่อยอยากจะไปกัน

ซีอีโอท่านนั้นสรุปว่า เป็นเพราะที่ผ่านมาประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ อากาศก็ดี ภัยธรรมชาติก็ไม่ค่อยมี ทำให้เราอยู่กันง่ายๆ สบายๆ กลายเป็น Comfort Zone ของเรา และพออยู่อย่างนั้นไปนานๆ เราก็ไม่อยากก้าวออกมา เพราะไม่พร้อมที่จะเจอกับการเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน และความไม่คุ้นเคย

การจะออกจาก Comfort Zone ของตัวเองนี่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตเสมอไปนะครับ เราเริ่มจากเรื่องเล็กๆ กันก่อนก็ได้ ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ทำไป เพื่อเรียนรู้และลองรับมือกับความไม่คุ้นเคยทีละน้อย อย่างเช่น ลองเปลี่ยนเส้นทางขับรถไปทำงาน เปลี่ยนเมนูอาหารที่เคยกิน เปลี่ยนร้านเจ้าประจำไปกินร้านอื่นดูบ้าง หรือลองเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตวันหยุด จากที่เคยเดินห้างก็อาจจะลองทำอย่างอื่น ฯลฯ

การได้เตรียมตัวทำอะไรที่ไม่คุ้นเคย ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ต้องแก้ปัญหาเมื่อเจอสถานการณ์ไม่คาดคิดหรือไม่ได้เตรียมรับไว้ก่อน ต้องปรับตัวหรือรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งเหล่านี้ถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีและแม้จะมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา ความเสียหายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก มองในแง่ดีเราก็ได้รู้ว่า เส้นทางใหม่ที่ลองใช้รถติดมากกว่าเส้นเดิม หรือเมนูนี้มันไม่เวิร์ค

แต่จากที่ผมเคยลองก้าวออกจาก Comfort Zone ของตัวเองดูแล้ว พบว่าหลายครั้งก็เป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิต เหมือนอย่างที่ลองไปบรรยายให้นักศึกษาฟังนี่แหละครับ

หมายเหตุ : ร่างลายมือฉบับแรกก่อนพิมพ์ครับ

buak_comfort_zone_draft_page1

หน้า ๑ – ๒ (คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)

buak_comfort_zone_draft_page2

หน้า ๓ – ๔ (คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)