ในโลกทุนนิยม สิ่งที่มักถูกหยิบยกมากล่าวถึงเป็นสัญลักษณ์คือ Wall Street (เนื่องจากถนนสายนี้เป็นที่ตั้งของอาคารที่ทำการตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก และสถาบันการเงินชื่อดังอีกมาก) และหนังในชื่อเดียวกันนี้เองก็ได้สะท้อนภาพของโลกทุนนิยมที่ถูกขับดันด้วยความโลภไว้อย่างชัดเจน
Oliver Stone กำกับหนังเรื่องนี้ต่อจากความสำเร็จของ Platoon นักวิจารณ์หลายคนบอกว่า Wall Street ก็คือ Platoon ที่เปลี่ยนสมรภูมิจากป่าทึบที่เวียดนามมาอยู่ในป่าคอนกรีตที่นิวยอร์ก แต่ระดับของการต่อสู้ ห้ำหั่นและแย่งชิงเพื่อให้มีชีวิตรอดนั้นแทบไม่ได้ต่างกันเลย
Stone เคยเล่าถึงที่มาของการสร้างหนังเรื่องนี้ว่า เพื่ออุทิศให้กับพ่อของเขาที่เคยทำงานเป็นนายหน้าค้าหุ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และตลาดหุ้นพังพินาศทั่วโลก (เริ่มตั้งแต่ปี ๑๙๒๙ และต่อเนื่องมาถึงทศวรรษ ๑๙๓๐)
ตอนที่เริ่มเดินหน้าโปรเจ็กต์หนังเรื่องนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในยุครุ่งเรืองสุดขีด มีดีลซื้อกิจการ ควบรวมกิจการมูลค่ามหาศาลเกิดขึ้นมากมาย นักการเงินหลายคนมีสถานสภาพโด่งดังเป็นที่รู้จักไม่แพ้ดาราฮอลลีวูด ขณะเดียวกันก็มีการกระทำผิดกฎหมายเกิดขึ้นมากมายอยู่หลังฉากด้วยเช่นกัน ซึ่ง Stone ได้หยิบเอาสิ่งเหล่านี้มาเล่าไว้ในหนังได้อย่างครบรส
ในหนังเรื่องนี้ก็เลยมีทั้งการทำ Leverage Buyout (LBO) มี insider trading มี hostile takeover แถมด้วยการทำ greenmail และมีโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นแรกๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวยในยุคนั้นปรากฎอยู่ด้วย แต่ฉากที่เด็ดที่สุดในหนังและเป็นการแสดงที่โดดเด่นมากของ Michael Douglas ตัวเอกของเรื่องคือ ฉากการประชุมผู้ถือหุ้นที่มีวลีเด็ดและเป็นวลีที่สะท้อนแนวคิดผู้คนในตลาดหุ้นยุคนั้นได้ดีที่สุด นั่นคือ
Greed is good.
วลีนี้เป็นอมตะพอๆ กับ “I am your father.” ใน The Empire Strikes Back นะครับ
และการแสดงที่เด็ดขาดของ Douglas ก็ได้ทำให้ตัวละครในชื่อ Gordon Gekko กลายเป็นที่จดจำและมักจะถูกอ้างถึงในเวลาที่กล่าวถึงคนในแวดวงวอลล์สตรีทอยู่เสมอ (ถึงขนาดที่ได้ขึ้นปก Fortune ล่ะเอ้า นี่ไปขุดกรุหนังสือส่วนตัวมาถ่ายภาพประกอบเลยนะ) ขณะที่ Douglas เองก็ได้รางวัลออสการ์ดารานำชายไปจากบทนี้ด้วย
Gordon Gekko ขึ้นปก Fortune ฉบับ June 20, 2005 (เฮ้ย นี่มันสิบปีพอดีเลยนะ Fortune เล่มนี้อ่ะ)
Wall Street โชคไม่ดีตรงที่ก่อนที่หนังจะเข้าฉายได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ Black Monday (วันจันทร์ที่ ๑๙ ตุลาคม ๑๙๘๗) ตลาดหุ้นร่วงทั่วโลก ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงไป ๕๐๘ จุด (๒๒%) เมื่อหนังเข้าฉายในเดือนธันวาคมก็เป็นช่วงที่ผู้คนรู้สึกเหม็นเบื่อกับเรื่องราวของตลาดหุ้นกันหมดแล้วทำให้หนังทำเงินได้ไม่มากนัก (๔๓ ล้านเหรียญ) แต่ต่อมาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังชั้นดีและกลายเป็นต้นแบบให้หนังแนวเดียวกันในยุคต่อมาอีกหลายเรื่อง (โอกาสหน้ามาว่ากันต่อ) รวมทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมากเดินเข้าสู่แวดวงการเงินกันอีกด้วย
สำหรับฉาก Greed is good ที่ว่า ดูได้จากลิ้งก์ด้านล่างครับ
หมายเหตุ : เมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน ผมไปเจอหนังสือที่แปลมาจากหนังสือที่เขียนขึ้นจากบทภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญ ความที่ชอบหนังเรื่องนี้มากก็เลยซื้อเก็บไว้ และก็ไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้จากที่ไหนอีกเลย (จริงๆ คนอื่นก็คงมีแหละนะ พูดซะเว่อร์ไป) ถือว่าฟลุ๊คมาก รวมทั้งแมกกาซีนเมืองนอกที่เอา Douglas มาขึ้นปกในฐานะ Gordon Gekko ก็จะเก็บๆ เอาไว้เหมือนกันอย่าง Fortune ด้านบนครับ