What We Read: นพพร พวงสมบัติ

Nopphorn

ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้นครับ

ชื่อ-นามสกุล : นพพร พวงสมบัติ

อาชีพ : นักวิเคราะห์นโยบายและแผน คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ก่อนจะเล่าเรื่องการอ่าน ขอขอดเกล็ดตัวเองนิดนึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่โดนคำถามเรื่องการอ่านนี่ก็นึกย้อนมาสงสัยตัวเองเหมือนกันว่า “เฮ้ย! ทำไมกูอ่านหนังสืออย่างนี้วะครับ” เลยนึกย้อนไปถึงสมัยเด็กๆ เพราะคิดว่าเรื่องราวสมัยนู้นมันคงมีส่วนทำให้เราเป็นอย่างทุกวันนี้นี่แหละ ที่บ้านเป็นครอบครัวข้าราชการระดับล่างๆ มีหนังสือในบ้านก็ไม่มากอะไร แต่ผมจะสนใจไปทำไมเพราะโลกของเด็กคือการออกไปวิ่งเล่นซนกับเพื่อนข้างนอก เล่นดีดลูกแก้ว โยนหุ่น ปีนต้นไม้ ฯลฯ อะไรกันไป หนังสือที่อยู่ในบ้านหากพอจะมีเวลาอ่านผ่านตาบ้าง ก็เป็นพวกหนังสือของพ่อกับแม่ที่ได้อภินันทนาการจากการทำงานหรือใช้ทำงาน ตำรับอาหารนานาชาติ ของแม่นี่เป็นเล่มนึงเลยที่นั่งอ่านมาตั้งแต่เด็ก เคยมีเอามาลองทำขนมกินกันเองด้วย…แต่ไม่สำเร็จเพราะเมนูอาหารนานาชาติไม่เหมาะกับอุปกรณ์ในครัวไทยสไตล์ Local เรื่องที่จำขึ้นใจเรื่องนึงคือ เมนูยำผ้าขี้ริ้ว ก็แบบสงสัยมากประสาเด็กๆ ว่า “เฮ้ย! ผ้าขี้ริ้วที่กูใช้ถูบ้านนี่เอามากินได้ด้วยเหรอวะเนี่ย เอาเหอะใครจะกินก็กิน…กูคนนึงล่ะที่จะไม่กิน” กว่าจะรู้ว่า “ผ้าขี้ริ้ว” ที่ว่าเป็นชิ้นส่วนเครื่องในของวัวก็โตจนนั่งกระดกเหล้ากับเพื่อนแล้วมีผ้าขี้ริ้วลวกจิ้มวางแนมอยู่ข้างวงเหล้าแล้ว อีกเล่มคือหนังสือสุขภาพอะไรซักอย่างที่จดจำเอาท่าโยคะมาฝึกเล่นส่วนตัว โดยเฉพาะท่าศพอาสนะที่เซียนมาก ทำแล้วหลับยาวเลย

ด้วยความที่ไม่ได้เป็นครอบครัวมีตังค์อะไรมาก หนังสือเลยดูเหมือนจะเป็นของใช้ฟุ่มเฟือยขึ้นมาทันที ซื้อหนังสือมาอ่านจึงเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีอยู่ในหัว แบบว่าถ้ามีตังค์กูซื้อของเล่นก่อน…ฮ่าฮ่าฮ่า นอกจากหนังสือเรียนที่ต้องอ่านสอบแล้ว หนังสือที่ต้องถือว่าเป็นการอ่านแบบนักอ่านในสมัยเด็ก ก็มีมาจากหนังสืออ่านนอกเวลาที่ครูบังคับให้อ่านนั่นแหละ กับหนังสือในห้องสมุดที่ต้องเอามาทำรายงานส่งครู และแม้ว่าโตมาจะชอบไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือใหญ่ประจำจังหวัดอยู่บ่อยๆ แต่โซนที่ไปเดินดูกลับเป็นแผนกเครื่องเขียน ส่วนหนังสือเล่มที่ยอมควักกระตังซื้อมาลองอ่านบ้าง จำได้ว่าเป็นพ๊อคเกตบุ๊คชื่อดัง ต่วยตูน เพราะดูชื่อแล้วท่าทางจะมีเรื่องสนุกกับภาพการ์ตูนเยอะ…เออ! ดูมันสิครับ

โตมาจนเข้ามหาวิทยาลัยผมยังหลงระเริงกับการเฮฮาไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้จักโลกแห่งการอ่านอะไรเลย รู้จักชื่อนักเขียนบ้างก็เพราะเคยได้ยินหรืออ่านข่าวคราวในหนังสือพิมพ์-ดูทีวีเท่านั้น เรื่องจะตามอ่านน่ะเรอะ…ไม่มีซะหรอก ก็เชื่อมั้ยเล่าว่าวันที่ได้ย้ายเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ เพื่อนรักชวนเดินเข้าร้านหนังสือดอกหญ้าท่าพระจันทร์ ผมก็ไม่รู้จะเลือกอ่านอะไร จนเพื่อนมันเลือกหนังสือชุดสามก๊กฉบับวณิพกไปได้ ๓-๔ เล่มแล้วก็จะกลับกันแล้ว สุดท้ายผีห่าก็ดลใจให้ผมหยิบ ปีศาจ ของเสนีย์ เสาวพงศ์ ซึ่งจัดพิมพ์เป็นไซส์พ๊อกเกตบุ๊กพื้นสีเทา มีภาพผู้หญิงผู้ชายตัวสีแดงยืนชี้ไปในท้องฟ้า ไอ้ที่หยิบขึ้นมาก็เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นหนังสือแนว Thriller สมกับชื่อ ปีศาจ เท่านั้นแหละ ไม่ได้คิดเป็นอื่นเล้ย หยิบมานอนอ่านเล่นที่คณะรุ่นพี่ยังแซวว่า “แหม! หัวก้าวหน้าเชียวนะมึง” ก็ไม่ได้ get (เชี่ย) อะไรเลยครับ บอกกลับแค่ว่า “เฮ้ย! พี่ผมอ่านมาเกือบจะครึ่งเล่มแล้วนี่ยังไม่เห็นมีปีศาจซักตัวเลยครับพี่” …ดูเอาเหอะว่าผมนี่แม่งหน่อมแหน้มเรื่องการอ่านขนาดไหน

วันที่ผลักให้ผมดูเหมือนจะเข้าสู่โลกการอ่านอย่างจริงจัง (หมายถึงอ่านในแบบของผม..ไม่ได้เทียบกับใคร) คือ หลังจากวันที่มหาวิทยาลัยสั่งทัณฑ์บนผมไว้จนกว่าจะจบการศึกษาตั้งแต่ปลายๆ ปีที่สอง ผลของการโดนทัณฑ์บนเลยทำให้ผมต้องออกไปจากเวทีกิจกรรมนักศึกษาที่ทำอยู่ (และใช้เวลามากกว่าในห้องเรียน) ผนวกกับวิชาที่เรียนก็ต้องอ่านหนังสือเยอะพอควร ก็เลยได้ฤกษ์เข้าไปฝังตัวในห้องสมุดตั้งแต่นั้น อ่านหนังสือเรียนเบื่อ ก็หาหนังสือนู่นนี่นั่นอ่าน อ่านเล่มนี้เลยเถิดต่อไปถึงเล่มนั้น เพื่อนนักอ่านเปรยๆ ว่าเล่มนั้นดีก็ลองไปหยิบมาอ่านมั่ง อ่านเองตีความเอง เข้าใจเอง อ่านไม่เข้าใจลองไปหาหนังสือวิจารณ์อ่านเพิ่มเติมบ้างว่าที่ว่าดีนั้นยังไง…เอ้อ! ถึงพอได้รู้เลาๆ ว่าโลกหนังสือและวรรณกรรมมันเป็นอย่างนี้เอง

อินโทรกันพอหอมปากหอมคอก็จะขอกลับมาตอบปัญหาดังนี้

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
ไม่ได้จัดสรรจริงจัง แต่พยายามอ่านทุกครั้งที่ว่างจากการงานจิปาถะ ชดเชยการอ่านในวัยเด็กที่เอาเวลาไปบ้าพลังอยู่อย่างเดียว พอดีเป็นคนที่ถ้าได้อ่านแล้วมันสนุก ก็จะตะบี้ตะบันอ่านทุกครั้งที่มีเวลา เคยอ่านนิยายจีนจนกระทั่งเพื่อนบ้านเคยแซวว่า มึงสำเร็จวิทยายุทธ์ขั้นไหนแล้ว แต่ปกติคือจะพยายามอ่านหนังสือ ๑ – ๒ บทก่อนนอน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องพยายามสร้างวินัยฝ่ายดีให้กับตัวเองบ้าง อีกเรื่องที่รู้สึกคืออ่านก่อนนอนนี่เหมือนเป็นการชะลอตัวเองให้นิ่งลง เหมือนสวดมนต์อะไรอย่างนั้นข้อสุดท้ายคือพยายามทำเป็นตัวอย่างให้ไอ้ตัวเล็กในบ้านดูว่า “ก่อนนอนเอ็งไม่ต้องเล่นเกมได้มั้ยเนี่ยเฮ้ย”

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
ด้วยความที่อ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยไร้รูปแบบ และก็พยายามใฝ่ดีอยู่บ้าง..ว่างั้น เลยมีหนังสือที่กำลังอ่านกองไว้ในที่ต่างๆ ให้ใกล้มือ ๒ – ๓ เล่ม เล่มที่อ่านๆ อยู่ช่วงเวลาพักระหว่างวัน คือ เพลงของพอล —หนังสือรวมบทวิจารณ์เพลงของพอล เฮง จากหน้าหนังสือพิมพ์มติชน เป็นคอลัมน์ที่แนะนำเพลงในอัลบั้มของศิลปินต่างๆ

PaulSong

อีกเล่มนึงคือ ไอ้หนูซามูไรวิถีแห่งนักรบ —หนังสือเยาวชนที่เขียนโดยฝรั่งเล่าเรื่องซามูไร แปลโดยคนไทยนามปากกว่า “ธารพายุ” พอดีก่อนหน้านี้อ่านวรรณกรรมเยาวชนเล่มนึงชื่อ หอบช้างหนีสุดแผ่นดิน ที่แปลโดยผู้ใช้นามปากกาเดียวกัน ก็เลยค่อนข้างเชื่อมั่นในคุณภาพของหนังสือที่ผู้แปลเลือกมาและสำนวนการแปลที่อ่านสนุก

Samurai

อีกเล่มนึงที่อ่านเป็นยานอนหลับก่อนนอน คือ ไวโอลินของไอน์สไตน์ —เป็นบันทึกข้อเขียนทัศนะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ สังคมและดนตรีของวาทยากรที่สนใจฟิสิกส์ ผู้เขียนชื่อโจเซฟ อีเกอร์ ตัวโปรยหนังสือที่เขียนความในใจของไอน์สไตน์ที่ว่า “หากไม่ได้เป็นนักฟิสิกส์ผมคงเป็นนักดนตรี” ผมว่าโจเซฟ อีเกอร์คงรำพึงในทางกลับกันว่า “ถ้าไม่ได้เป็นนักดนตรี ผมคงเป็นนักฟิสิกส์” เหมือนกัน ก็คงจะน่าสนุกดีสำหรับผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับฟิสิกส์ แต่คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องฟิสิกส์และดนตรีก็ยังจะได้เห็นเรื่องราวบันทึกสังคมในมิติวิทยาศาสตร์และดนตรีได้เพลินอยู่บ้าง แล้วถ้าเผื่อสนใจสนุกกับทฤษฎีฟิสิกส์และประวัติศาสตร์ดนตรี เล่มนี้ก็น่าจะเป็นเชื้อปะทุที่พอใช้ได้เล่มนึง —ทั้งสามเล่มได้มาจากแผงหนังสือลดราคาในวาระต่างๆ แบบว่าอ่านอะไรก็ได้ข้อให้ไม่แพงนักก็พอ.. ฮ่าฮ่า

Einstein
หนังสือที่คุณอ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
หนังสือเล่มที่เพิ่งอ่านจบ คือ หูหาเรื่อง ของเผ่าจ้าว กำลังใจดี หนังสือรวมบทวิจารณ์ศิลปิน-ดนตรีในรูปของเรื่องสั้น ได้มาจากกองหนังสือข้างเคียงกันกับหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ จะว่าไปหยิบหนังสือวิจารณ์บันเทิงมาอ่านนี่ก็ดูจะมีเหตุผลลึกๆ อยู่บ้าง คือสมัยเรียนหนังสือนี่มีโอกาสได้อ่านนิตยสารสีสัน เป็นประจำ ก็ได้ใช้ข้อมูลจากสีสัน ในการไปดูหนังฟังเพลงอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่พอชีวิตเข้าสู่วัยทำงานนี่เหมือนจะฟังเพลงอะไรน้อยลง พื้นที่ที่อยู่ก็มีการฟังเพลงอะไรต่างไปจากสมัยเรียน ก็เลยไม่ค่อยได้ติดตามสนใจอะไร ฟังเพลงไปตามกระแสที่เปิดๆ กันเท่านั้น พอเห็นหนังสือแนววิจารณ์เพลงก็ลองหยิบมาอ่านดูบ้างว่าช่วงที่ผ่านๆ มานี่มันมีอะไรที่เราพลาดไปหรือเปล่า ซึ่งก็ดูจะได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมมามากกว่าราคาที่จ่ายไปพอควร ตอนนี้เลยมีโอกาสกลับไปหาเพลงในยูทูบจากศิลปินและอัลบั้มที่แนะนำไว้ในหนังสือมาฟังระหว่างทำงานอยู่บ้าง

หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร?
ที่จริงหนังสือที่ตั้งใจจะอ่าน ก็คือกองหนังสือที่ไปซื้อมาอ่านแล้วยังไม่ได้อ่านนั่นแหละ มีหลายเล่มมากซึ่งบางเล่มก็อ่านๆ ไปแล้วแต่มีอะไรมาขัดจังหวะทำให้อ่านไม่จบซะที ถ้าจะให้เลือกเอามาซักเล่มก็น่าจะเป็น รุกสยามในนามของพระเจ้า เป็นวรรณกรรมขนาดยาวเขียนยั่วล้อประวัติศาสตร์ไทยในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยใช้ข้อมูลจากบันทึกจดหมายเหตุมาอ้างอิงประกอบด้วย มันสนุกก็ตรงนี้แหละ ตรงที่มันเป็นประวัติศาสตร์นิพนธ์มุมกลับที่เล่นตลกเอากับวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของคนในประวัติศาสตร์ไทย เล่มนี้อ่านไปได้พอควรแล้ว แต่ไปสะดุดความใหญ่ของหนังสือเลยทำให้เอาไปอ่านที่ไหนไม่ค่อยสะดวก ต้องอ่านไปวางไปจนสุดท้ายวางไปมากกว่าอ่านไป เลยไม่จบซักที ถ้าให้แถมอีกเล่มที่คิดจะอ่าน ก็คือเรื่อง สามก๊ก นี่แหละครับ เผอิญช่วงนึงมีโอกาสได้อ่าน โจโฉนายกตลอดกาล ของหม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช ก็เลยมีแรงกระตุ้นให้อยากกลับไปอ่านสามก๊กที่วางอยู่บนชั้นหนังสือในบ้านมานานแล้ว

Naraya

หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
สำหรับคนที่เพิ่งมาหัดอ่านหนังสือตอนโตอย่างผม ถ้าให้เลือกหนังสือที่อ่านจบแล้วอยากแนะนำให้คนอื่นอ่านต่อ ก็เป็นร้อยล่ะครับ เพราะชั่วโมงการบินด้านการอ่านน้อยเหลือเกิน คืออ่านเจออะไรดีนิดนึงก็ดีไปหมดทั้งเล่มเลยนั่นแหละ แต่ถ้าจะมีให้เลือกมาบ้างเท่าที่นึกออกก็จะมี

ติสตูนักปลูกต้นไม้ —วรรณกรรมเยาวชนที่เล่าเรื่องของเด็กชายผู้มีมืออันวิเศษสามารถปลูกต้นไม้ให้งอกงามได้อย่างอัศจรรย์ แต่นอกจากต้นไม้ที่ติสตูปลูกแล้วเด็กน้อยยังปลูกความรักในหัวใจของผู้คนด้วย

โต๊ะก็คือโต๊ะ —เรื่องเล่าสำหรับเด็กที่น่าจะมี “วาทกรรม” เยอะที่สุดในโลกนี้ละ เล่มนี้อ่านตอนที่มีโอกาสกลับเข้าชั้นเรียนในช่วงที่โลกสังคมศาสตร์กำลังเข้าสู่ยุคโพสต์ และมีโอกาสรู้จักโรลองด์ บาร์ท (Roland Barthes) ซึ่งได้สร้างความเชื่อชุดใหม่ในหัวผมว่า เฮ้ย!…“อเมริกาไม่มีจริง”

ภูเขาวิหารและโดมแห่งศิลา —ข้อเขียนของชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันเป็นรากฐานความขัดแย้งของยูดาห์ คริสต์และอิสลามในเขตตะวันออกกลางผ่านศาสนสถานอันเป็นที่เคารพร่วมกันของทั้งสามศาสนา เล่มนี้มาโนช พุฒตาล บุตรของฯ ยังเอ่ยปากว่าถ้าจะมีหนังสือซักเล่มที่เขียนเพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ (ขัดแย้ง) ของยิว-คริสต์-อิสลาม ก็น่าจะเป็นหนังสือเล่มนี้นี่แหละ

Dome

ผมเพียงแต่จะบอกว่า —รวมบทบรรณาธิการคัดสรร บ.ก.นิตยสารจีเอ็ม คุณปกรณ์  พงศ์วราภา คือ ถ้าเคยอ่านข้อเขียนในเว็บประเภทสิ่งที่ควรรู้ก่อนตาย สิ่งที่ควรรู้เมื่อวัย ๔๐ รู้งี้ตั้งใจเรียนตั้งแต่เด็กแล้ว ฯลฯ อะไรประมาณนี้ คือเฮียปกรณ์เค้าเขียนบอกไว้เมื่อปีมะโว้แล้วเว้ยเฮ้ย คือแกไม่ได้เขียนอะไรพรรค์อย่างนั้นจริงๆ หรอกนะครับ แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่แกเขียนนี่แกได้มาจากประสบการณ์การใช้ชีวิตของแกเองนั่นแหละ และก็ถ่ายทอดด้วยคำง่ายๆ เพื่อบอกคน “หนุ่ม” รุ่นต่อๆ ไปว่า…นะชีวิตมันเป็นของมันอย่างนี้เว้ยเฮ้ยหนุ่มสาว จงใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ที่เหลือก็ไปหาอ่านเอาเองละกัน

Pakorn

จิมกระดุม —เริ่มจากจิมกระดุมกับลูคัสคนขับหัวรถจักร และต่อเนื่องไปยัง จิมกระดุมกับ 13 ป่าเถื่อน คือถ้าจะมีอะไรที่สื่อถึงคุณค่าของ Positive Thinking ล่ะก็ จิมกระดุมนี่คือหนึ่งในเรื่องราวนั้น

Jim

ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน (The Alchemist) —-เขียนโดยเปาโล โคเอโย (Paulo Coellho) นักเขียนชาวบราซิล แปลโดย อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เอาแค่ชื่อคนแปลก็คาดหวังได้ว่าท่านจะเชื้อเชิญให้เราออกไปค้นพบ ”ปัญญา” สมกับที่ท่านเป็นโต้โผของโครงการจัดพิมพ์หนังสือและตำรา “คบไฟ” เรื่องเล่าของเด็กหนุ่มที่ออกท่องไปในดินแดนทะเลทราย ซึ่งจะนำเราไปเรียนรู้ ค้นหาความหมายของชีวิตและ….ฯลฯ

PauloCoellho

ส่งท้าย….ผมเคยอ่านหนังสือจนเกือบเชื่อว่า You are what you read หรือแบบว่า “เฮ้ย! ถ้าคุณมึงอยากรู้จักผมก็เอาหนังสือที่ผมอ่านไปอ่านดู แล้วคุณจะรู้ว่าผมเป็นยังไง” คือ ที่ต้องบอกว่า “เกือบ” นั่นก็เพราะผมเจอมากับตัวเองว่าเพื่อนที่มันนั่งอ่านหนังสือเล่มเดียวกับเราอยู่ มันยังคิดไม่เหมือนกันเลยว่ะเฮ้ย มันก็น่าจะใช่อยู่เหมือนกันนิครับ เราถูกหล่อหลอมเติบโตขึ้นมาต่างกัน วิถีในการรับรู้เข้าใจโลกก็ต่างกัน การตีความสารที่วิ่งพล่านในโลกนี้ก็คงต่างกันไป นะไม่งั้นเราก็คงไม่เถียงกันเรื่องประชาธิปไตยกันจนเอาเป็นเอาตายหน้าดำคร่ำเครียดจนต้องมีคนมาคืนความสุขให้เราอย่างทุกวันนี้

เราไม่ได้ดีเลวเก่งแย่ถ้าไม่หรือเคยอ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้หรือเล่มไหนๆ หนังสือมันรับใช้ผู้เขียนแค่เมื่อมันเขียนจบพิมพ์เป็นเล่มเท่านั้นแหละ ส่วนที่ว่ามันจะรับใช้ผู้อ่านอย่างไร ก็เป็นเรื่องของผู้อ่านแต่ละคนจะเลือกตามแนวทางของตนเอง ยังไงก็…ขอให้มีความสุขในการอ่านหนังสือที่คุณเลือกเรื่อยไปขอรับ

What We Read: อำนาจ ลิมป์บรรจงกิจ

Amnaj

ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้นครับ

ชื่อ-นามสกุล : อำนาจ ลิมป์บรรจงกิจ

อาชีพ : Senior Graphic Designer ที่ Car Thailand Magazine

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
การจัดสรรเวลาอ่านหนังสือของผม คือแค่ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็จะอ่าน ส่วนใหญ่จะเป็นก่อนนอน ก่อนทำงานหรือว่าเวลาตอนรอที่หน้าโรงหนัง แต่ถ้าจะมีเวลาได้อ่านจริงจังแบบต่อเนื่องน่าจะเป็นก่อนนอนของทุกๆ วัน นิตยสารบ้าง พ็อกเก็ตบุ๊คบ้างแล้วแต่ว่าช่วงนั้นๆ จะสนใจอะไร

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
หนังสือที่อ่านในตอนนี้คือนิตยสาร คิด (Creative Thailand) ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เนื้อหาเกี่ยวกับการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ที่มีส่วนช่วยในการผลักดันเศรษฐกิจไทย ที่จัดทำโดย TCDC

คิด

หนังสือที่คุณอ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
หนังสือที่อ่านจบเล่มล่าสุดคือ ฤทธิ์มีดสั้น นวนิยายกำลังภายใน บทประพันธ์ของโกวเล้ง แปลโดย ว. ณ เมืองลุง

ฤทธิ์มีดสั้นเป็นเรื่องราวของลี้คิมฮวง อดีตบัณฑิตหน้าบัลลังค์ฮ่องเต้ที่สืบทอดความยิ่งใหญ่ระดับ ๗ บัณฑิต ๓ ถ้ำฮวย ที่ตัวเอกของเราก็เก่งและฉลาดขนาดเป็น ๑ ในถ้ำฮวยที่ว่า และมีเพื่อนสนิทชื่อว่า อาฮุย (ฉบับ น. นพรัตน์ออกเสียงเป็น อาเฟย) แต่เพราะแกเป็นคนมากน้ำใจแบบที่ว่ามิตรภาพย่อมมาก่อนเสมอจนลืมนึกถึงตัวเอง…ชีวิตก็เลยต้องระทมชนิดกู่ไม่กลับ เพราะแกถือคติอภัยให้ทุกคนยกเว้นอภัยให้ตัวเอง

ฤทธิ์มีดสั้น

หนังสือชุดนี้เป็น ๓ เล่มจบ และมีการออกแบบรูปเล่มให้เหมือนตำราโบราณแบบในหนังจีนเลยช่วยเพิ่มอรรถรสในการอ่านดีนักแล

หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร?
หนังสือที่ตั้งใจจะอ่านเล่มต่อไป คือ The Name of The Rose (สมัชชาแห่งดอกกุหลาบ) ผลงานของ Umberto Eco แปลโดย ภัควดี วีระภาสพงษ์ เคยถูกทำเป็นภาพยนตร์มาแล้วเมื่อปี ๑๙๘๖ เรื่องราวเกี่ยวกับการสืบสวนคดีฆาตกรรมโดยบาทหลวงชาวอังกฤษตามติดด้วยลูกศิษย์ เหตุการณ์ในเรื่องมีแค่ ๗ วัน ส่วนหนังสือก็มีถึง ๗๐๐ กว่าหน้า พร้อมด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคกลาง และเรื่องราวเชิงปรัชญา (นี่มัน Sherlock Holmes แบบฉบับวาติกันเลยนะ Davinci Code ยังมาทีหลังเลย) ความจริงเป็นหนังสือที่พี่ชายคนโตซื้อไว้นานแล้ว ตอนนี้ไม่ทราบว่าหายไปไหน แต่ยังฝังใจว่าจะต้องอ่านให้ได้ คงต้องไปหาซื้อมาอ่านและเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวซะแล้ว

The name of Rose (Old Cover)

หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
เล่มนี้ผมอ่านมานานมากแล้วตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ  คือ แล่เนื้อ เถือหนัง เล่มแรก โดย ประชา สุวีรานนท์ เป็นหนังสือรวบรวมบทวิจารณ์ภาพยนตร์ที่ไม่ธรรมดา ลึกซึ้ง สอนในเรื่องการตีความภาพยนตร์อย่างมีชั้นเชิง ที่ร่วมสมัยไม่มีเชย แม้ว่าจะเป็นการรวบรวมบทความจากนิตยสารสารคดี เมื่อปี ๒๕๓๕-๒๕๓๙ แต่ที่ผมได้อ่านคือเล่มที่พิมพ์ครั้งที่ ๒ ปี ๒๕๔๐ รับรองว่าการชมภาพยนตร์ของใครก็ตามที่ได้อ่านจะเปลี่ยนไปไม่ใช่แค่ดูหนังแล้วสนุกไม่สนุก ดีหรือไม่ดี จะตีความได้มากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา คุณจะเข้าใจอุปนิสัยและสิ่งที่เป็นลายเซ็นเฉพาะของผู้กำกับคนนั้นๆ กันเลยทีเดียว

แล่เนื้อเถือหนัง

What We Read: กุศลิน ศิริสนธิ

Kusalin
ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้นครับ

ชื่อ-นามสกุล : กุศลิน ศิริสนธิ

อาชีพ : บรรณาธิการเว็บไซต์รีวิวร้านอาหาร OpenRice.com

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
ส่วนใหญ่ชอบอ่านหนังสือช่วงก่อนนอน เพราะรู้สึกว่าเป็นเวลาที่ได้อยู่กับตัวเอง บรรยากาศเงียบๆ ทำให้มีสมาธิ บางทีนอนไม่หลับก็จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อให้หลับ แต่ถ้าเจอหนังสือดีๆ ก็จะกลายเป็นว่าอ่านหนังสือจนไม่ได้นอนแทน 555 หรือถ้าเสาร์อาทิตย์ไหนมีเวลาว่างๆ ชิลล์ๆ ก็จะหยิบหนังสือไปนั่งอ่านในร้านกาแฟบ้างเหมือนกัน (แอบมีไลฟ์สไตล์ฮิปสเตอร์เบาๆ) ถ้าไม่ได้มีหนังสือที่อ่านค้างไว้หรือกำลังติดพันเล่มไหนเป็นพิเศษ เวลาออกไปร้านกาแฟก็จะดูนิตยสารน่าสนใจที่มีในร้านมาอ่าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเลือกอ่านนิตยสารแฟชั่น ท่องเที่ยว และอาหาร ตามปกที่ตัวเองสนใจแต่ด้วยความที่ทำงานเขียนคอนเทนต์ออนไลน์ ต้องมีไอเดียเพื่อเป็น output เยอะ บางครั้งก็จะนั่งอ่านนิตยสารอาหารต่างๆ ในเวลาทำงานเหมือนกัน เวลาที่คิดงานไม่ออก ไม่มีไอเดีย เริ่มตัน ก็จะหยิบนิตยสารอาหารมาอ่านค่ะ รวมถึงพวก Free Copy ต่างๆ ที่เจอแล้วเก็บมาด้วย

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
อยากบอกว่าเป็นคนอ่านหนังสือตามอารมณ์มากกกกก หัวเตียงจึงเต็มไปด้วยหนังสือหลายเล่มที่อ่านค้างไว้ คือบางทีเราอารมณ์ชิลล์ๆ ก็อยากอ่านอะไรเบาสมอง วันไหนเครียดก็อยากอ่านอะไรเหงาๆ วันไหนจริงจังก็อยากอ่านหนังสือจริงจังเสียดสีสังคมการเมืองตอนนี้มีอ่านค้างอยู่ ๓ เล่ม คือ อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง โดย อภิชาติ เพชรลีลา เราไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่คนเดียว โดย jirabell และ 1984 โดย George Orwell (พูดว่ากำลังอ่านเล่มนี้จะโดนเรียกไปปรับทัศนคติมั้ยเนี่ย แฮ่…) เล่มแรกได้รู้จักจากเพื่อนที่เรียนจบจาก ม.ช. คนนึง ช่วงก่อนหน้านี้ในเฟซบุคฮิตแท็คเพื่อนเพื่อแนะนำ ๑๐ หนังสือในดวงใจของแต่ละคน เราอ่านคำแนะนำที่เพื่อนเขียนไว้ว่าชอบเล่มนี้เพราะอะไรก็ประทับใจ เลยไปซื้อมาอ่านบ้าง

winter

เป็นเรื่องราวชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่กลุ่มนึงผ่านมุมมองการเล่าเรื่องของตัวเอกที่ชื่อ ธันวา อ่านมาได้เกือบๆ ครึ่งเล่มแล้ว ช่วงเวลาในเรื่องน่าจะเป็นยุคเดียวกับที่เราเองเรียนอยู่มหาวิทยาลัยศิลปากรทับแก้วเหมือนกัน จึงค่อนข้างประทับใจเพราะวิถีชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยต่างๆ ใกล้เคียงกันมาก  ทั้งเรื่องการเรียน การรับน้อง ชีวิตเด็กหอ ความรักวัยใส แล้วก็เมืองเชียงใหม่ในสมัยนั้น ส่วนตัวหลงเสน่ห์เชียงใหม่อยู่เป็นทุนเดิม ไปเที่ยวเกือบทุกปี ก็เลยจะพอนึกออกว่าย่านไหนอยู่ตรงไหน ก็เลยทำให้ยิ่งสนุกกับเล่มนี้ไปใหญ่ อีกอย่างที่ชอบคือ มีรูปวาดสีน้ำมันสวยๆ ประกอบแต่ละบทให้เห็นภาพอยู่ตลอดเรื่องด้วย ช่วงนี้เลยมุ่งมั่นอ่านเล่มนี้เป็นพิเศษ พยายามอ่านให้จบอยู่

สำหรับเล่มนี้เป็นความเรียงสั้นๆ ๕๐ เรื่อง พูดถึงเรื่องทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวันธรรมดาๆ นี่ล่ะ ความเหงา ความสูญเสีย ความทรงจำวัยเด็ก อ่านไปก็จะรู้สึกเหมือนนั่งคุยกับเพื่อนถึงเรื่องคนนู้นคนนี้ที่เคยรู้จัก อะไรทำนองนั้น

wearenotalone

จริงๆ ที่ซื้อเล่มนี้มาอ่านเพราะตามทวิตเตอร์ของคนเขียนมาก่อน @jirabell คือรู้สึกว่าเป็นผู้ชายที่มีประเด็นความคิดที่มีเสน่ห์ดี และหลายๆ เรื่องในเล่มนี้ก็แตกประเด็นมาจากทวีตที่เราเคยเห็นผ่านตามาแล้วนี่ล่ะ เหมือนเป็นการขยายความทวีตอีกที แต่เหตุที่อ่านได้ไม่จบซักที เพราะบางทีฟิลในความเรียงมันเหงาๆ อ่านรวดเดียวหลายๆ เรื่องมันก็จะทำให้จิตใจห่อเหี่ยวไปด้วย ก็เลยเอาไว้อ่านเวลาเบื่อๆ เรื่องสองเรื่องก่อนนอนมากกว่า

สุดท้าย หนังสือต้องห้ามแห่งยุคสมัย จริงๆ อ่านมาตั้งแต่ก่อนจะเกิดการรัฐประหารแล้วนะ แต่ยังอ่านไม่จบซักที อ่านๆ หยุดๆ เพราะเนื้อหาค่อนข้างเครียด อ่านแล้วต้องคิดตามเยอะ และหนังสือค่อนข้างหนา เลือกอ่านฉบับแปลไทยเพราะอยากดูสำนวนการแปลด้วยว่าดีงามมั้ย เพราะเล่มนี้ถือว่าเป็นงานขึ้นหิ้งเลยเรื่องการใช้คำที่สื่อความหมายหลายนัย ซึ่งเท่าที่อ่านสำนวนแปลฉบับนี้ทำได้ดีมากทีเดียว แปลได้เป็นธรรมมชาติและสื่อนัยยะได้ดี

1984

เนื้อหาของหนังสือเกี่ยวกับยุคสมัยหนึ่งที่ผู้ปกครองหรือ Big Brother (พี่เบิ้ม) มีอำนาจสูงสุดต่อทุกชีวิตในสังคม สามารถส่องกล้องดูความประพฤติของทุกคนได้ตลอดเวลา ห้ามทุกคนแสดงออกทางความคิด ต้องทำตามตารางชีวิตที่ทางการขีดเส้นและเขียนบทบาทมาแล้ว ห้ามแม้กระทั่งการมีความรักหรือการมีอารมณ์สุนทรีต่างๆ เรื่องราวเล่าผ่านมุมมองของ วินสตัน ผู้ชายที่คิดจะกบฎเพราะไม่อยากตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพี่เบิ้มอีกต่อไป เขาพยายามจดบันทึก และยังได้ทำผิดกฎอย่างมหันต์ด้วยการลักลอบมีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่หญิงของพรรคแรงงานที่มีความคิดหัวกบฏเช่นเดียวกัน

สำหรับเล่มนี้คิดไว้ว่าถ้าอ่านเล่มแรกจบแล้ว จะมาอ่านต่อให้จบเป็นเล่มต่อไป

หนังสือที่คุณอ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
จริงๆ หนังสือที่อ่านจบเป็นเล่มล่าสุดเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นตาหวานเพ้อฝัน เพราะชอบอ่านเวลาเครียดๆ ทำให้เราเหมือนหลุดไปจากโลกความเป็นจริงได้ชั่วคราว แต่ถ้าเป็นหนังสือจริงจัง เรื่องล่าสุดที่อ่านจบคือ ความไม่เรียบของความรัก โดย ฮิโรมิ คาวาคามิ

lovebump

เป็นเรื่องสั้นโดยนักเขียนญี่ปุ่น เนื้อหาเป็นเรื่องความรักที่ผิดหวังในรูปแบบต่างๆ (ดูจากชื่อก็น่าจะเดาได้ไม่ยาก) อารมณ์เวลาอ่านมันก็เลยจะ เหงา เศร้า ซึม ซะมาก แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของเล่มนี้ รวมถึงเรื่องสั้นญี่ปุ่นหลายๆ เรื่องที่เคยอ่าน คือ ถึงจะเศร้าแต่ก็แฝงด้วยความสุข อ่านจบแล้วมันเลยรู้สึกเต็มตื้น รู้สึกว่า เออ เจอเรื่องแบบนี้มันก็เศร้าแหละ แต่มันก็เป็นความทรงจำที่ดี ใครชอบอ่านเรื่องสั้นแนะนำเลย

หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร?
อย่างที่บอกไปแล้วว่าอ่าน 1984 ค้างไว้ ก็ตั้งใจจะกลับมาอ่านเล่มนี้ให้จบเป็นลำดับถัดไป ยิ่งสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ก็ยิ่งอยากกลับมาอ่าน ไม่ได้อ่านเพื่อนจะลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลหรืออะไร แต่อ่านเพื่อสะท้อนมุมมองทางการเมืองต่างๆ วิเคราะห์เปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน และดูสำนวนการแปลไปพร้อมๆ กันด้วย

หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
เป็นคำถามที่ตอบยากมาก เพราะแต่ละคนก็คงชอบหนังสือคนละแนว แต่ถ้าจะให้แนะนำหนังสือที่น่าจะมีประโยชน์กับทุกคนก็ขอเลือก Tuesdays with Morrie โดย Mitch Albom

tuesdaywithmorrie

จะสังเกตว่าเล่มที่มีเป็นแบบที่ซีรอกซ์มาจากหนังสือจริง เพราะนี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่ใช้เรียนสมัยมหา’ลัย ทุกวันนี้ยังรู้สึกขอบคุณอาจารย์ที่เลือกเล่มนี้มาให้นักศึกษาที่กำลังอยู่ในวัยคะนองอ่าน

เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนและครูมอร์รี่ ผู้ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (โรคที่ช่วงปีที่แล้วทุกคนลุกขึ้นมาทำ Ice Bucket Challenge เพื่อรณรงค์กันนั่นล่ะ) เนื้อหาของหนังสือเป็นสิ่งที่เขาและครูมอร์รี่ได้เรียนรู้จากช่วงสุดท้ายของชีวิตของครูก่อนที่ครูจะเสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าว

การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้เราค้นพบว่า การเรียนรู้ที่จะตายคือแนวทางในการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด  นั่นก็คือ เมื่อเราตระหนักถึงความจริงที่ว่าคนเราเนี่ยมันสามารถตายไปได้ทุกเมื่อ เราก็จะรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต อะไรคือสิ่งที่เราควรใส่ใจ อะไรคือสิ่งที่เราควรเลือกทำ จะได้ไม่มัวแต่ยึดติดกับอะไรโง่ๆ แล้วต้องมาเสียดายหรือเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

จริงๆ เนื้อหาและแนวคิดต่างๆ ในเล่มนี้เป็นแนวคิดแบบพุทธมากๆ แต่อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อเหมือนอ่านหนังสือธรรมะ และก็ไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดหลักการการทำดีมากมายด้วย อ่านแล้วจะมีความคิดขึ้นมาได้เองว่าเราควรใช้ชีวิตให้มีสติ

เล่มนี้แนะนำสำหรับคนที่อยากฝึกอ่านภาษาอังกฤษด้วยนะ เพราะผู้เขียนเลือกเล่าเรื่องด้วยภาษาง่ายๆ เข้าใจง่าย มีศัพท์เกี่ยวกับโรคที่ยากนิดหน่อย แต่รูปประโยคอื่นๆ เหมาะกับคนเริ่มอ่านภาษาอังกฤษทีเดียว

What We Read: เอกวสา สุขส่ง

Eakwasa

ซีรี่ย์ What We Read (ซึ่งเป็นไอเดียที่เป็นที่มาของบลอก What We Read นี้) ต้องการจะนำเสนอการอ่านของผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้นักอ่านได้รู้จักหนังสือที่น่าสนใจมากขึ้น โดยมีตอนนี้เป็นตอนแรกครับ

ชื่อ-นามสกุล :  เอกวสา สุขส่ง (ดาว)

อาชีพ : นักข่าวนิตยสารธุรกิจการตลาดรายเดือน

คุณจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านอย่างไร?
เมื่อว่างจากการปิดเล่ม ประมาณช่วง ๒ อาทิตย์แรกของเดือน ตอนนั้นจะมีเวลาชิลๆ ให้หยิบหนังสือมาอ่านได้สบายๆ ส่วนใหญ่จะอ่านตอนเย็นหลังจากกลับบ้านกับวันเสาร์ อาทิตย์ ถ้าไม่ได้ออกไปทำธุระที่ไหนก็ใช้เวลาอ่านได้ทั้งวัน ถ้าเล่มไหนสนุกอ่านเพลินๆ ใช้เวลาไม่กี่วันก็อ่านจบ แต่ถ้าเป็นช่วงปิดเล่มอยู่จะขอเว้นการอ่านหนังสือไปสักพักใหญ่ๆ เคลียร์งานจบค่อยเจอกัน

ตอนนี้คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
กำลังอ่าน Love a Lot is Not Enough มากกว่าแค่คำว่า “รัก” อยู่ เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คของเพื่อนสมัยเรียนปริญญาโทเขียนขึ้นมา ชื่อ “หนึ่ง” และ “เดียว” ทั้งสองคนเป็นคู่รักที่รู้จักกันมานานกว่า ๑๖ ปี ทำธุรกิจด้านความรักด้วยกันมา ๙ ปี แต่งงานกันมาแล้ว ๗ ปี และปัจจุบันมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนอายุ ๖ เดือน ชื่อว่า “คนนี้” โดยทั้งคู่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ความรักและการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันออกมาเป็นข้อๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่ามีอีกหลายคำและหลายข้อสำคัญ ที่สามารถนำมาใช้กับชีวิตคู่ของทุกคนได้ เพื่อความรักและความเข้าใจที่ยืนยาว

loveisnotenough

ไม่ว่าจะเป็น… ๑. เวลาทะเลาะกันให้รีบคิดว่าพรุ่งนี้ก็ลืมแล้วว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ให้รีบคืนดีกัน ๒. อย่าเบื่อที่จะรับสาย เพราะมันดีกว่าไม่มีใครโทรเข้ามา ๓. ไม่มองบ้างไม่พูดบ้างทำให้ความรักยืนยาวขึ้น ๔. ความรักไม่ใช่เกมส์กีฬาอย่ามัวแต่หาคนชนะหรือแพ้ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะเป็นผู้แพ้ทั้งคู่ ๕. เมื่อคนหนึ่งพูดอีกคนต้องฟัง

และยังมีอีกหลายข้อที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากสำหรับตัวเอง เพราะปกติแล้วจะชอบอ่านแต่หนังสือแปลแนวสืบสวน สอบสวน กับแฟนตาซีเป็นส่วนใหญ่ พออ่านเล่มนี้แล้วรู้สึกว่านำมาใช้ในชีวิตจริงได้ และเหมาะกับทุกคน

หนังสือที่คุณอ่านจบเล่มล่าสุดคือเล่มไหน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
เล่มที่อ่านจบไปล่าสุดคือ สนิท ชิด เชือด (Sharp Objects) ของ Gillian Flynn ผู้แต่งคนเดียวกับเรื่อง Gone Girl อันโด่งดังทั้งในรูปแบบหนังสือและภาพยนตร์ เป็นแนวลึกลับ สอบสวน โดยมีคามิลล์ พริกเกอร์ นักข่าวสาวจากชิคาโกเป็นตัวเดินเรื่อง เธอถูกส่งไปทำข่าวฆาตกรรมเด็กนักเรียนที่เมืองเล็กๆ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอที่จากมานานกว่า ๑๐ ปี ภายในเมืองเล็กๆ ที่ดูน่าจะปลอดภัยกลับแฝงเรื่องราวและเบื้องหลังบางอย่างที่น่าสะพรึงไว้มากมาย

sharpobjects

ที่น่าสนใจคือตัวละครทุกตัวดูเหมือนคนมีปมและช่างน่าสงสัยไปหมดว่าใครคือฆาตกรตัวจริง ตอนแรกเดาไว้แล้วว่ามีคนสำคัญของคามิลล์คนนึงเป็นฆาตรกรแน่ๆ แต่สุดท้ายก็หักมุม และมีหลายอย่างที่ซับซ้อนกว่าที่คาดเดาไว้มาก ผู้เขียนวางพล็อตไว้ได้น่าติดตามและหักมุมสุดๆ แม้ว่าเมื่อเทียบกับ Gone Girl แล้ว ระดับความซับซ้อนของเรื่องนี้ยังถือว่าเบากว่าเยอะมากกกกกกกก แต่ก็ไม่น่าผิดหวังสำหรับคอนิยายแนวนี้

หนังสือที่คุณตั้งใจจะอ่านเป็นเล่มต่อไป? เพราะอะไร?
มีหนังสือเล่มนึงที่ซื้อไว้เพื่อเตรียมอ่านตอนว่างๆ แล้ว ชื่อ Six Years สาปสูญ เขียนโดย ฮาร์ลาน โคเบน ซึ่งมีผลงานออกมาหลายเล่มแล้ว และแน่นอนว่ายังเป็นแนวลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนปม เช่นเคย เพราะเป็นแนวที่ชอบมาก อีกเรื่องที่สนใจคือ Fifty Shades of Grey อันโด่งดัง บอกเลยว่าอ่านตามกระแส ยังไม่ได้ดูหนังว่าเป็นไง แต่ได้ยินจากคนที่เคยมาหลายคนบอกว่าหนังสือแซ่บกว่าเยอะ งานนี้ต้องลอง อิอิ

sixyears

หนังสือเล่มไหนที่คุณอ่านจบแล้วและอยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน พร้อมเหตุผล
ถ้าเป็นแนวที่สามารถนำกลับมาใช้ในชีวิตจริงได้คงแนะนำ Love a Lot is Not Enough มากกว่าแค่คำว่า “รัก” แม้จะยังอ่านไม่จบดีแต่ก็ได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตคู่มาเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของแฟนหรือคนรักก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ ส่วนคนที่โสดก็ใช่ว่าจะอ่านไม่ได้ เพราะมีบางข้อที่เหมาะกับคนโสดเหมือนกัน หรือจะอ่านไว้เพื่อเตรียมรับมือกับความรักใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคตก็ยังได้

ส่วนใครที่ชอบแนวแฟนตาซีขอแนะนำ The Hunger Games ทั้ง ๓ เล่ม ถึงจะเป็นนิยายแฟนตาซีแต่ก็มีทั้งแอกชั่น ดราม่า และการเมืองแทรกอยู่ด้วย จึงออกโทนดาร์กๆ หน่อย ไม่ใช่แนวแฟนตาซีเพ้อฝัน บางคนดูในโรงอาจจะไม่อิน แต่ถ้าอ่านหนังสือแล้วบอกเลยว่าสนุกกว่ามาก เปิดโลกจินตนาการได้กว้างไกลสุดๆ ส่วนตัวแล้วไปดูในโรงก่อนในภาคแรกจากนั้นก็ติดใจเลยซื้อมาอ่านทีเดียว ๓ เล่มรวดจบแบบมาราธอน ฟินๆ กันไป