รีวิวหนังสือ : ตามล่านาซี (The Odessa File)

ตามล่านาซี (The Odessa File)

ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ว่าปีนี้จะอ่านหนังสือ (ตามที่เขียนเอาไว้ในโพสต์นี้นะครับ) แล้วกะเอาคร่าวๆ ว่าน่าจะอ่านได้เฉลี่ยเดือนละเล่ม ๑๒ เดือนก็ ๑๒ เล่ม ก็ทยอยเก็บมาเรื่อยๆ บางช่วงก็เร็ว บางช่วงก็ช้าหน่อย แล้วแต่หน้าที่การงาน (และความขี้เกียจ) เมื่อเล่มที่แล้วผมก็บรรลุจุดหมาย ๑๒ เล่มเป็นที่เรียบร้อย และคราวนี้ถือว่าทำได้เกินเป้า เป็นเล่มที่ ๑๓ ซึ่งก็คือ…

ตามล่านาซี ซึ่งแปลมาจาก The Odessa File ของ Frederick Forsyth นักเขียนชาวอังกฤษผู้ผันตัวมาจากอาชีพนักข่าว

เรื่องราวของเล่มนี้เข้าใจว่าเป็นการเอาเรื่องจริงมาแต่งเติมเพิ่มเนื้อหาและความบันเทิงเข้าไป เพราะตัวละครหลายคนมีอยู่จริง เนื้อเรื่องโดยย่อก็คือ ในวันเดียวกับที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบสังหารจนเสียชีวิต ชายชราเชื้อสายยิวคนหนึ่งที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี ฆ่าตัวตายและทิ้งสมุดบันทึกเอาไว้ ซึ่งได้ตกมาอยู่ในมือของนักข่าวหนุ่มผู้เป็นตัวเอกในเรื่อง

เนื้อหาในสมุดบันทึกที่นักข่าวหนุ่มได้อ่านทำให้เขาอยู่ไม่สุข เพราะมันบอกเล่าถึงความโหดร้ายและความทุกข์ยากของการใช้ชีวิตอยู่ในค่ายนรกนาซี เป็นเรื่องราวที่ทำใจเชื่อได้ยากว่าเหตุการณ์เหล่านั้นมันเกิดขึ้นจริง ถ้าไม่ได้ฟังจากคนที่ผ่านชีวิตตรงนั้นมาจริงๆ

ในช่วงท้ายของบันทึก ชายชราเล่าว่า นาซีที่เป็นหัวหน้าค่ายนรกแห่งนั้นยังมีชีวิตอยู่แถมยังสุขสบายดี เมื่อพบว่าตนเองไม่สามารถกระชากหน้ากากนาซีและนำตัวมาลงโทษได้ ด้วยความคับแค้นใจจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย

หลังจากได้อ่านสมุดบันทึกแล้ว นักข่าวหนุ่มตัดสินใจที่จะตามล่าหาตัวนาซีอดีตหัวหน้าค่ายนรกผู้นี้เพื่อนำตัวมารับโทษในฐานะอาชญากรสงคราม ซึ่งทำให้เขาต้องทำอะไรหลายอย่างที่เขาไม่เคยทำ แถมยังต้องทำผิดกฎหมายและเสี่ยงต่อการถูกตามฆ่า นอกจากนี้เรื่องราวยังขยายวงออกไปเกินกว่าที่นักข่าวหนุ่มคาดคิดไว้ในตอนแรก เพราะมีมอสสาด ซึ่งเป็นหน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล กับโอเดสซา ที่เป็นหน่วยงานของนาซีโดดเข้ามาร่วมด้วย

ผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการตามล่าครั้งนี้ล้วนแล้วแต่มีแรงจูงใจของตัวเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับของคนอื่น ไม่เว้นแม้แต่ตัวเอกเองที่เวลาเราอ่านไปก็จะสงสัยตงิดๆ ว่ามันจะทำไปทำไม (วะ?) จนกระทั่งมาเฉลยในตอนท้ายเรื่อง

Forsyth เขียน The Odessa File เป็นเล่มที่สอง (ออกมาในปี ๑๙๗๒ ต่อจากความสำเร็จถล่มทลายของ The Day of the Jackal ผลงานเล่มแรกที่ออกมาในปี ๑๙๗๑) โดยนอกจากจะดำเนินเรื่องตามพลอตที่ตั้งไว้ยังสอดแทรกเรื่องราวของนาซีและหน่วยงาน SS ของนาซีในยุคนั้นเอาไว้ด้วย

สนุก ลุ้นตลอดทั้งเรื่องว่าพระเอกจะตามเจอมั้ยและจะโดนตามเก็บซะก่อนมั้ย แต่ไม่ได้มาแนวแอ๊กชั่นล้างผลาญ บู๊ระห่ำแบบเจสัน บอร์น อะไรแบบนั้นนะครับ

หมายเหตุ : ผมอ่าน ตามล่านาซี ที่เป็นสำนวนแปลของคุณธนิต ธรรมสุคติ ได้ประมาณซัก ๕๐ หน้า ยอมรับว่าไม่ชินกับสำนวนที่คุณธนิตใช้ในเล่มนี้ ก็เลยไปค้นฉบับภาษาอังกฤษที่เคยซื้อเล่มมือสองเอาไว้มาอ่านต่อ อ่านติดตรงไหนค่อยหยิบของคุณธนิตมาดู ที่บอกว่าไม่ชินสำนวนที่คุณธนิตใช้นี่ก็แปลกอยู่ เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่าน The Godfather ที่คุณธนิตแปลก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะคุณธนิตแปล ตามล่านาซี เป็นเล่มแรก (หรือเล่มแรกๆ) สำนวนที่ใช้อาจจะยังไม่เข้าที่นัก ลองหยิบ The Godfather ที่คุณธนิตแปลมาเปิดดูเห็นว่าพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๒๒ ส่วนตามล่านาซีนี่พิมพ์ครั้งแรกปี ๒๕๑๘ ก็เลยคิดว่าน่าจะใช่

The Odessa File

The Odessa File เล่มภาษาอังกฤษที่ซื้อมือสองมา เคยเป็นหนังสือในห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมาก่อน

ตามล่านาซี
ผู้เขียน : Frederick Forsyth
ผู้แปล : ธนิต ธรรมสุคติ
สำนักพิมพ์ : มติชน (พิมพ์ครั้งที่ ๔ เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๔๐)
ราคา : ๑๘๐ บาท

ตามล่านาซี (The Odessa File)

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป… 

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘ : Gone Girl

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘ : ระวังหลัง

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘ : Offscreen

หนังสือเล่มที่สี่ของปี ๒๕๕๘ : กับดักฆาตกร

หนังสือเล่มที่ห้าของปี ๒๕๕๘ : แกล้ง

หนังสือเล่มที่หกของปี ๒๕๕๘ : ลวง

หนังสือเล่มที่เจ็ดของปี ๒๕๕๘ : สารวัตรเถื่อน

หนังสือเล่มที่แปด & เก้าของปี ๒๕๕๘ : แม่ลาวเลือด

หนังสือเล่มที่สิบของปี ๒๕๕๘ : สาบสูญ

หนังสือเล่มที่ ๑๑ ของปี ๒๕๕๘ : ผู้ยิ่งใหญ่

หนังสือเล่มที่ ๑๒ ของปี ๒๕๕๘ : ห้องสมควรตาย

หนังสือเล่มที่ ๑๓ ของปี ๒๕๕๘ : ตามล่านาซี

ตามล่านาซี (The Odessa File)

ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ว่าปีนี้จะอ่านหนังสือ (ตามที่เขียนเอาไว้ในโพสต์นี้นะครับ) แล้วกะเอาคร่าวๆ ว่าน่าจะอ่านได้เฉลี่ยเดือนละเล่ม ๑๒ เดือนก็ ๑๒ เล่ม ก็ทยอยเก็บมาเรื่อยๆ บางช่วงก็เร็ว บางช่วงก็ช้าหน่อย แล้วแต่หน้าที่การงาน (และความขี้เกียจ) เมื่อเล่มที่แล้วผมก็บรรลุจุดหมาย ๑๒ เล่มเป็นที่เรียบร้อย และคราวนี้ถือว่าทำได้เกินเป้า เป็นเล่มที่ ๑๓ ซึ่งก็คือ…

ตามล่านาซี ซึ่งแปลมาจาก The Odessa File ของ Frederick Forsyth นักเขียนชาวอังกฤษผู้ผันตัวมาจากอาชีพนักข่าว

เรื่องราวของเล่มนี้เข้าใจว่าเป็นการเอาเรื่องจริงมาแต่งเติมเพิ่มเนื้อหาและความบันเทิงเข้าไป เพราะตัวละครหลายคนมีอยู่จริง เนื้อเรื่องโดยย่อก็คือ ในวันเดียวกับที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบสังหารจนเสียชีวิต ชายชราเชื้อสายยิวคนหนึ่งที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี ฆ่าตัวตายและทิ้งสมุดบันทึกเอาไว้ ซึ่งได้ตกมาอยู่ในมือของนักข่าวหนุ่มผู้เป็นตัวเอกในเรื่อง

เนื้อหาในสมุดบันทึกที่นักข่าวหนุ่มได้อ่านทำให้เขาอยู่ไม่สุข เพราะมันบอกเล่าถึงความโหดร้ายและความทุกข์ยากของการใช้ชีวิตอยู่ในค่ายนรกนาซี เป็นเรื่องราวที่ทำใจเชื่อได้ยากว่าเหตุการณ์เหล่านั้นมันเกิดขึ้นจริง ถ้าไม่ได้ฟังจากคนที่ผ่านชีวิตตรงนั้นมาจริงๆ

ในช่วงท้ายของบันทึก ชายชราเล่าว่า นาซีที่เป็นหัวหน้าค่ายนรกแห่งนั้นยังมีชีวิตอยู่แถมยังสุขสบายดี เมื่อพบว่าตนเองไม่สามารถกระชากหน้ากากนาซีและนำตัวมาลงโทษได้ ด้วยความคับแค้นใจจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย

หลังจากได้อ่านสมุดบันทึกแล้ว นักข่าวหนุ่มตัดสินใจที่จะตามล่าหาตัวนาซีอดีตหัวหน้าค่ายนรกผู้นี้เพื่อนำตัวมารับโทษในฐานะอาชญากรสงคราม ซึ่งทำให้เขาต้องทำอะไรหลายอย่างที่เขาไม่เคยทำ แถมยังต้องทำผิดกฎหมายและเสี่ยงต่อการถูกตามฆ่า นอกจากนี้เรื่องราวยังขยายวงออกไปเกินกว่าที่นักข่าวหนุ่มคาดคิดไว้ในตอนแรก เพราะมีมอสสาด ซึ่งเป็นหน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล กับโอเดสซา ที่เป็นหน่วยงานของนาซีโดดเข้ามาร่วมด้วย

ผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการตามล่าครั้งนี้ล้วนแล้วแต่มีแรงจูงใจของตัวเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับของคนอื่น ไม่เว้นแม้แต่ตัวเอกเองที่เวลาเราอ่านไปก็จะสงสัยตงิดๆ ว่ามันจะทำไปทำไม (วะ?) จนกระทั่งมาเฉลยในตอนท้ายเรื่อง

Forsyth เขียน The Odessa File เป็นเล่มที่สอง (ออกมาในปี ๑๙๗๒ ต่อจากความสำเร็จถล่มทลายของ The Day of the Jackal ผลงานเล่มแรกที่ออกมาในปี ๑๙๗๑) โดยนอกจากจะดำเนินเรื่องตามพลอตที่ตั้งไว้ยังสอดแทรกเรื่องราวของนาซีและหน่วยงาน SS ของนาซีในยุคนั้นเอาไว้ด้วย

สนุก ลุ้นตลอดทั้งเรื่องว่าพระเอกจะตามเจอมั้ยและจะโดนตามเก็บซะก่อนมั้ย แต่ไม่ได้มาแนวแอ๊กชั่นล้างผลาญ บู๊ระห่ำแบบเจสัน บอร์น อะไรแบบนั้นนะครับ

หมายเหตุ : ผมอ่าน ตามล่านาซี ที่เป็นสำนวนแปลของคุณธนิต ธรรมสุคติ ได้ประมาณซัก ๕๐ หน้า ยอมรับว่าไม่ชินกับสำนวนที่คุณธนิตใช้ในเล่มนี้ ก็เลยไปค้นฉบับภาษาอังกฤษที่เคยซื้อเล่มมือสองเอาไว้มาอ่านต่อ อ่านติดตรงไหนค่อยหยิบของคุณธนิตมาดู ที่บอกว่าไม่ชินสำนวนที่คุณธนิตใช้นี่ก็แปลกอยู่ เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่าน The Godfather ที่คุณธนิตแปลก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะคุณธนิตแปล ตามล่านาซี เป็นเล่มแรก (หรือเล่มแรกๆ) สำนวนที่ใช้อาจจะยังไม่เข้าที่นัก ลองหยิบ The Godfather ที่คุณธนิตแปลมาเปิดดูเห็นว่าพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๒๒ ส่วนตามล่านาซีนี่พิมพ์ครั้งแรกปี ๒๕๑๘ ก็เลยคิดว่าน่าจะใช่

The Odessa File

The Odessa File เล่มภาษาอังกฤษที่ซื้อมือสองมา เคยเป็นหนังสือในห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมาก่อน

ตามล่านาซี
ผู้เขียน : Frederick Forsyth
ผู้แปล : ธนิต ธรรมสุคติ
สำนักพิมพ์ : มติชน (พิมพ์ครั้งที่ ๔ เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๔๐)
ราคา : ๑๘๐ บาท

ตามล่านาซี (The Odessa File)

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป… 

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘ : Gone Girl

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘ : ระวังหลัง

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘ : Offscreen

หนังสือเล่มที่สี่ของปี ๒๕๕๘ : กับดักฆาตกร

หนังสือเล่มที่ห้าของปี ๒๕๕๘ : แกล้ง

หนังสือเล่มที่หกของปี ๒๕๕๘ : ลวง

หนังสือเล่มที่เจ็ดของปี ๒๕๕๘ : สารวัตรเถื่อน

หนังสือเล่มที่แปด & เก้าของปี ๒๕๕๘ : แม่ลาวเลือด

หนังสือเล่มที่สิบของปี ๒๕๕๘ : สาบสูญ

หนังสือเล่มที่ ๑๑ ของปี ๒๕๕๘ : ผู้ยิ่งใหญ่

หนังสือเล่มที่ ๑๒ ของปี ๒๕๕๘ : ห้องสมควรตาย

โตโยต้า ขับเคลื่อนความสุข

โตโยต้า ขับเคลื่อนความสุข

เหมือนเป็นธรรมเนียมของ Toyota ไปแล้วว่าในช่วงปลายปีจะมีหนังสือท่องเที่ยวออกมาแจกให้กับบรรดาลูกค้าผู้ใช้รถของโตโยต้า และในปีนี้ก็ยังคงมีเช่นกัน ใช้ชื่อว่า โตโยต้า ขับเคลื่อนความสุข และมีหน้าตาตามรูปด้านบน

เนื้อหาของเล่มนี้แบ่งออกเป็นห้าบทใหญ่ แต่ละบทก็จะอิงตามกิจกรรมยอดฮิตของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมเวลานี้ ได้แก่ การอัพเดตชีวิตผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก การส่องกล้องดูนก การปั่นจักรยาน การช็อปปิ้ง และการกินอาหารเพื่อสุขภาพ โดยในแต่ละบทก็จะพาไปเที่ยวในจังหวัดต่างๆ ที่เข้ากับกิจกรรมของบทนั้นๆ พร้อมด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่จะช่วยให้ผู้อ่านทำกิจกรรมได้ดีขึ้น เช่น ในบทแรกที่เป็นเรื่องของการอัพเดตชีวิตผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กก็จะมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการใช้สมาร์ตโฟนถ่ายรูปยังไงให้ออกมาสวย หรือในเรื่องของการกินอาหารเพื่อสุขภาพจะมีเกร็ดเกี่ยวกับการกินผักให้ถูกวิธี เพราะผักแต่ละประเภทอาจจะเหมาะกับการปรุงอาหารที่ต่างกัน

นอกจากเนื้อหาจะอ่านง่ายแล้ว ยังมีภาพประกอบทั้งที่เป็นภาพถ่ายและภาพกราฟฟิก แถมขนาดรูปเล่มก็เหมาะมือ ที่สำคัญคือ ไม่ได้ขายแต่ แจกฟรี

ใครที่สนใจก็ลองสอบถามไปที่ศูนย์โตโยต้าที่เป็นลูกค้าหรือใช้บริการอยู่นะครับ

โตโยต้า ขับเคลื่อนความสุข

นิตยสารผู้จัดการ เมษายน ๒๕๔๙ : กานต์ ตระกูลฮุน

นิตยสารผู้จัดการ ฉบับเมษายน ๒๕๔๙

สิ้นปีนี้คุณกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี จะเกษียณอายุและส่งต่อตำแหน่งให้กับคนต่อไป หากนับจากวันที่เข้ารับตำแหน่งต่อจากคุณชุมพล ณ ลำเลียง เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๙ เท่ากับว่าคุณกานต์อยู่ในตำแหน่งนี้มาสิบปีเต็ม

นิตยสารผู้จัดการ ฉบับเดือนเมษายน ๒๕๔๙ ขึ้นปกด้วยเรื่อง กานต์ ตระกูลฮุน SCG Culture Change นับเป็นสื่อแรกที่ได้สัมภาษณ์พิเศษคุณกานต์ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยทีมงานได้ติดต่อขอสัมภาษณ์คุณกานต์ตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายปี ๒๕๔๘ และวางแผนจะให้เรื่องนี้ลงในฉบับมกราคมเพื่อรับกับการเข้ารับตำแหน่งพอดี แต่คุณกานต์ปฏิเสธด้วยเหตุว่า การให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ยังไม่ได้รับตำแหน่งดูจะเป็นการไม่เหมาะสม กำหนดการดังกล่าวจึงต้องเลื่อนมาเป็นฉบับเมษายนแทน

การเข้ารับตำแหน่งของคุณกานต์ได้รับการจับจ้องมากพอดู สาเหตุสำคัญเป็นเพราะคุณกานต์เข้ามารับช่วงต่อจากคุณชุมพล ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างมากในแวดวงธุรกิจบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นผู้นำการพลิกฟื้นฐานะของเอสซีจีจากที่เรียกได้ว่า เจ๊งไปแล้ว เมื่อครั้งเจอวิกฤติต้มยำกุ้งจนกลับมามีฐานะมั่นคงได้อีกครั้ง

ประการที่สอง การเปลี่ยนผู้บริหารของเอสซีจีครั้งนี้ไม่ได้เพียงคนเดียว แต่เป็นการเปลี่ยน ยกชุด เพราะคณะจัดการชุดคุณชุมพลพร้อมใจกันเกษียณอายุก่อนกำหนดพร้อมกันทั้งคณะ เท่ากับว่าคุณกานต์ต้องเลือกขุนพลคู่กายขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่ก็ไม่ถือว่าโดดเดี่ยวจนเกินไปนัก เพราะพี่ๆ ที่เกษียณไปก็ยังทำหน้าที่ที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำอยู่

ในเล่มนี้ นอกจากคุณกานต์จะให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดและนโยบายการทำธุรกิจแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่ให้สัมภาษณ์สื่อเรื่องครอบครัวอีกด้วย

สำหรับภาพปก ถ่ายกันที่อาคารสำนักงานใหญ่เอสซีจี ที่บางซื่อ เป็นผลงานของคุณจันทร์กลาง กันทอง ซึ่งวันนี้ก็ยังทำงานอยู่ที่เอเอสทีวี ผู้จัดการ แต่ก็มีผลงานไปปรากฎตามที่ต่างๆ รวมทั้งมีผลงานที่ชนะการประกวดด้วย

นิตยสารผู้จัดการ เมษายน ๒๕๔๙ : กานต์ ตระกูลฮุน

นิตยสารผู้จัดการ ฉบับเมษายน ๒๕๔๙

สิ้นปีนี้คุณกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี จะเกษียณอายุและส่งต่อตำแหน่งให้กับคนต่อไป หากนับจากวันที่เข้ารับตำแหน่งต่อจากคุณชุมพล ณ ลำเลียง เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๙ เท่ากับว่าคุณกานต์อยู่ในตำแหน่งนี้มาสิบปีเต็ม

นิตยสารผู้จัดการ ฉบับเดือนเมษายน ๒๕๔๙ ขึ้นปกด้วยเรื่อง กานต์ ตระกูลฮุน SCG Culture Change นับเป็นสื่อแรกที่ได้สัมภาษณ์พิเศษคุณกานต์ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยทีมงานได้ติดต่อขอสัมภาษณ์คุณกานต์ตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายปี ๒๕๔๘ และวางแผนจะให้เรื่องนี้ลงในฉบับมกราคมเพื่อรับกับการเข้ารับตำแหน่งพอดี แต่คุณกานต์ปฏิเสธด้วยเหตุว่า การให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ยังไม่ได้รับตำแหน่งดูจะเป็นการไม่เหมาะสม กำหนดการดังกล่าวจึงต้องเลื่อนมาเป็นฉบับเมษายนแทน

การเข้ารับตำแหน่งของคุณกานต์ได้รับการจับจ้องมากพอดู สาเหตุสำคัญเป็นเพราะคุณกานต์เข้ามารับช่วงต่อจากคุณชุมพล ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างมากในแวดวงธุรกิจบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นผู้นำการพลิกฟื้นฐานะของเอสซีจีจากที่เรียกได้ว่า เจ๊งไปแล้ว เมื่อครั้งเจอวิกฤติต้มยำกุ้งจนกลับมามีฐานะมั่นคงได้อีกครั้ง

ประการที่สอง การเปลี่ยนผู้บริหารของเอสซีจีครั้งนี้ไม่ได้เพียงคนเดียว แต่เป็นการเปลี่ยน ยกชุด เพราะคณะจัดการชุดคุณชุมพลพร้อมใจกันเกษียณอายุก่อนกำหนดพร้อมกันทั้งคณะ เท่ากับว่าคุณกานต์ต้องเลือกขุนพลคู่กายขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่ก็ไม่ถือว่าโดดเดี่ยวจนเกินไปนัก เพราะพี่ๆ ที่เกษียณไปก็ยังทำหน้าที่ที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำอยู่

ในเล่มนี้ นอกจากคุณกานต์จะให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดและนโยบายการทำธุรกิจแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่ให้สัมภาษณ์สื่อเรื่องครอบครัวอีกด้วย

สำหรับภาพปก ถ่ายกันที่อาคารสำนักงานใหญ่เอสซีจี ที่บางซื่อ เป็นผลงานของคุณจันทร์กลาง กันทอง ซึ่งวันนี้ก็ยังทำงานอยู่ที่เอเอสทีวี ผู้จัดการ แต่ก็มีผลงานไปปรากฎตามที่ต่างๆ รวมทั้งมีผลงานที่ชนะการประกวดด้วย

นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม ๒๕๔๘ : New era of Banking Industry

นิตยสารผู้จัดการ ฉบับกรกฎาคม ๒๕๔๘ : New era of Banking Industry

เมื่อสิบปีที่แล้ว นิตยสารผู้จัดการ ฉบับกรกฎาคม ๒๕๔๘ ทำเรื่องการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของธนาคารกสิกรไทยเป็นเรื่องจากปก

ในการทำงานต้องสัมภาษณ์กรรมการผู้จัดการและประธานของหกธุรกิจสำคัญ เพื่อนำเสนอเรื่องราวให้ครบถ้วนสมบูรณ์

สำหรับภาพปกก็เป็นภาพของกรรมการผู้จัดการและประธานของทั้งหกธุรกิจสำคัญด้วยเข่นกัน

ภาพนี้ถ่ายที่อาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารกสิกรไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่างภาพต้องเซ็ตตำแหน่งและท่ายืนของผู้บริหารทุกคนเตรียมไว้ เมื่อพร้อมแล้วจึงตามคุณปั้นมาเข้าฉากและถ่ายภาพ

สิบปีผ่านไปคนในภาพนี้หลายคนไม่ได้อยู่ที่ KBANK อีกแล้ว อาทิ

ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ลาออกไปเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย และปัจจุบันเป็นประธานคณะกรรมการ ปตท.
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ลาออกไปเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปัจจุบันเป็นประธานอนุกรรมการเตรียมความพร้อมการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ
คุณรพี สุจริตกุล ปัจจุบันเป็นเลขาธิการ สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ส่วนนิตยสารผู้จัดการ ปัจจุบันไม่ได้พิมพ์ออกมาเป็นเล่มอีกแล้ว แต่แปลงสภาพเป็นสื่อดิจิทัลตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแวดวงสื่อสารมวลชน แฟนๆ รุ่นเก่าอาจไม่ชินก็เลยไม่ได้ตามไปอ่านต่อ ในขณะที่คนรุ่นใหม่ก็อาจจะไม่รู้จัก ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับนิตยสารธุรกิจฉบับนี้ครับ

นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม ๒๕๔๘ : New era of Banking Industry

นิตยสารผู้จัดการ ฉบับกรกฎาคม ๒๕๔๘ : New era of Banking Industry

เมื่อสิบปีที่แล้ว นิตยสารผู้จัดการ ฉบับกรกฎาคม ๒๕๔๘ ทำเรื่องการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของธนาคารกสิกรไทยเป็นเรื่องจากปก

ในการทำงานต้องสัมภาษณ์กรรมการผู้จัดการและประธานของหกธุรกิจสำคัญ เพื่อนำเสนอเรื่องราวให้ครบถ้วนสมบูรณ์

สำหรับภาพปกก็เป็นภาพของกรรมการผู้จัดการและประธานของทั้งหกธุรกิจสำคัญด้วยเข่นกัน

ภาพนี้ถ่ายที่อาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารกสิกรไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่างภาพต้องเซ็ตตำแหน่งและท่ายืนของผู้บริหารทุกคนเตรียมไว้ เมื่อพร้อมแล้วจึงตามคุณปั้นมาเข้าฉากและถ่ายภาพ

สิบปีผ่านไปคนในภาพนี้หลายคนไม่ได้อยู่ที่ KBANK อีกแล้ว อาทิ

ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ลาออกไปเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย และปัจจุบันเป็นประธานคณะกรรมการ ปตท.
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ลาออกไปเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปัจจุบันเป็นประธานอนุกรรมการเตรียมความพร้อมการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ
คุณรพี สุจริตกุล ปัจจุบันเป็นเลขาธิการ สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ส่วนนิตยสารผู้จัดการ ปัจจุบันไม่ได้พิมพ์ออกมาเป็นเล่มอีกแล้ว แต่แปลงสภาพเป็นสื่อดิจิทัลตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแวดวงสื่อสารมวลชน แฟนๆ รุ่นเก่าอาจไม่ชินก็เลยไม่ได้ตามไปอ่านต่อ ในขณะที่คนรุ่นใหม่ก็อาจจะไม่รู้จัก ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับนิตยสารธุรกิจฉบับนี้ครับ

รีวิวหนังสือ : ห้องสมควรตาย (The Incite Mill)

ห้องสมควรตาย (The Incite Mill)

เล่มนี้ผมลองเปลี่ยนบรรยากาศ จากที่อ่านหนังสือนิยายฝรั่งไปแล้ว นิยายแปล (ฝรั่ง) ไปแล้ว นิยายไทยก็อ่านแล้ว มาลองนิยายแปลจากญี่ปุ่นดูบ้าง ต้องบอกก่อนว่านิยายญี่ปุ่นนี่ถือเป็นของแปลกใหม่สำหรับผมมาก อ่านมาไม่น่าจะถึงห้าเล่มนะครับ (แต่ถ้าการ์ตูนญี่ปุ่นนี่ถึงไหนถึงกัน) แต่ที่ลองหยิบเล่มนี้มาอ่านเพราะดูเรื่องย่อแล้วน่าสนใจมากถึงมากที่สุด

คน ๑๒ คนไปอยู่ด้วยกันในสถานที่ปิดตายเจ็ดวัน ได้อาวุธไปคนละอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าใครมีอาวุธอะไร (ยกเว้นจะแอบบอกกันเอง) ถ้าใครอยู่รอดจนครบกำหนดได้เงินคนละเกือบ ๑๙ ล้านเยน แต่ถ้าฆ่าคนตายโดยไม่ถูกจับได้จะได้เงินเพิ่ม และถ้ามีคนตายแล้วบอกได้ว่าใครฆ่าก็จะได้เงินเพิ่ม จะหวังซ่อนตัวอยู่ในห้องให้ครบกำหนดเวลาก็ไม่ได้เพราะประตูไม่มีล็อก แถมห้ามมานอนรวมกันด้วย

โอ้โฮ เรื่องย่อมาแบบนี้เดาได้เลยว่ามันต้องระทึกสุดๆ คงจะหลอนหวาดระแวงกันมั่วไปหมด แล้วก็น่าจะฆ่ากันมันหยดสะใจกันไปข้างนึง แต่กลับผิดคาดแฮะ เรื่องมันกลับอึนๆ มึนๆ ไปไม่สุด ไม่สนุกสำหรับผม อ่านไปก็อึดอัดไป เมื่อไหร่มึงจะฆ่ากันซะที แถมตัวละครก็มีพฤติกรรมขัดใจจริงๆ ประมาณนี้ สารภาพว่าวางไปหลายทีตัดใจว่าไม่เอาแล้ว แต่ก็อดทนอ่านจนจบเพราะอยากรู้ว่าตอนท้ายเรื่องมันจะหายอึนหายมึนมั้ย

ที่เล่ามานี้ผมสรุปว่าเป็นที่ตัวผมเองนะครับที่ไม่ชินกับเรื่องแนวนี้ของทางฝั่งญี่ปุ่น หากใครที่เป็นคอหนังสือแนวนี้อยู่แล้วอาจจะถูกใจและชอบมากก็ได้ครับ

 

ห้องสมควรตาย
ผู้เขียน : โยเนซาวะ โฮโนบุ
ผู้แปล : มโนภาพ
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
ราคา : ๒๖๕ บาท

ห้องสมควรตาย (The Incite Mill)

ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป… 

หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘ : Gone Girl

หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘ : ระวังหลัง

หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘ : Offscreen

หนังสือเล่มที่สี่ของปี ๒๕๕๘ : กับดักฆาตกร

หนังสือเล่มที่ห้าของปี ๒๕๕๘ : แกล้ง

หนังสือเล่มที่หกของปี ๒๕๕๘ : ลวง

หนังสือเล่มที่เจ็ดของปี ๒๕๕๘ : สารวัตรเถื่อน

หนังสือเล่มที่แปด & เก้าของปี ๒๕๕๘ : แม่ลาวเลือด

หนังสือเล่มที่สิบของปี ๒๕๕๘ : สาบสูญ

หนังสือเล่มที่ ๑๑ ของปี ๒๕๕๘ : ผู้ยิ่งใหญ่