อ่านหนังสือ จิบกาแฟ

ตึ๊ด ตึด ตึ๊ด ตึด เราชอบอ่านหนังสือ

ตึ๊ด ตึด ตึ๊ด ตึด เราชอบกินกาแฟ

อ๋าาาาาาาาาาาา

แอปเปิล เพ๋นนนนนนน (จะมีคนเก็ตมั้ยวะ 555555)

หมายเหตุ ถ้าใครทนดูถึงช่วงท้ายที่พี่ลุกไปนี่ไม่มีอะไรนะฮะ

หมอตะโกนมา หมดเวลาพัก มากินยา!!! 😆🤣

A Nonthaburian Guy Lazy Day

รีวิวหนังสือ The Girl on the Train

The Girl on the Train
The Girl on the Train

นิยายเรื่องนี้โด่งดังไล่หลังความสำเร็จของ Gone Girl มาไม่นาน และมีหลายอย่างที่คล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นนิยายที่เขียนโดยนักเขียนหญิงเหมือนกัน เป็นหนังสือเล่มแรกของผู้เขียนทั้งสองคนเหมือนกัน มีตัวเอกเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แถมชื่อเรื่องยังมี Girl เหมือนกันอีกสิน่า

หนังสือเล่มนี้ออกมานานหลายปีแล้ว แถมยังเอาไปสร้างเป็นหนังแล้วด้วย แต่โชคดีที่ไม่เคยอ่านรีวิว ไม่เคยอ่านสรุปเรื่องย่อ หรือวิจารณ์อะไรใด ๆ ของเรื่องนี้มาก่อนเลย ข้อความบนปกก็ไม่ได้บอกอะไรมาก มีแค่ว่า you don’t know her. but she knows you. ซึ่งจากข้อความนี้เรื่องราวจะออกมาได้หลายหน้ามาก เดาไม่ถูก

สรุปแล้วเปิดอ่านหนังสือเล่มนี้โดยไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรเลยว่าเป็นแนวตื่นเต้น ฆาตกรรม สืบสวนสอบสวน หรือสยองขวัญ ที่สำคัญ มีผีมั้ยวะ 5555 รู้แค่ว่าเป็นหนังสือขายดี แค่นี้เลย

พอเริ่มอ่านความรู้สึกจะประมาณนั่งดูหนัง Memento ผสมกับ Dunkirk (ซึ่งบังเอิญมากที่ทั้งสองเรื่องนี้้เป็นหนังของโนแลนทั้งคู่) ที่ว่าเหมือนก็คือ เรื่องเล่าผ่านตัวละครหลักที่เป็นผู้หญิงสองคน แต่คนละ timeline สองคนนี่ไม่รู้จักกัน ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่สักพักเราจะเริ่มเดาทางว่าเดี๋ยวแม่งจะต้องมาเกี่ยวกันยังไงซักทาง เพียงแต่ timeline มันไม่เจอกัน แล้วมันจะมาไขว้เจอกันยังไงวะ?

ระหว่างที่อ่านไปมันก็จะมีคำถามนี้ลอยอยู่ตลอดเวลา

นั่นเป็นส่วนที่ว่าให้ความรู้สึกเหมือน Dunkirk ส่วนที่ว่าเหมือน Memento ก็ตรงที่ตัวละครเอกที่เป็นคนเล่าเรื่องหลักแม่งดันเป็นแอลกอฮอลิก ตอนที่เมาจัด ๆ ก็จะจำเรื่องราวอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นอะไรที่ตัวละครตัวนี้เล่ามามันก็จะเอาแน่เอานอนไม่ได้ ประมาณว่า มันใช่มั้ยวะ คิดไปเองหรือเปล่าวะ หรือกุมโนเอาวะ มันจะมีอารมณ์นี้อยู่ตลอด

และระหว่างที่เหตุการณ์เดินหน้าไปก็จะมีช่วงเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต เพื่อปูพื้นสถานการณ์และความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวเป็นระยะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าออกมาจากตัวละครหลักก็ยังเป็นข้อมูลที่คลุมเครืออีกเหมือนกัน ด้วยความที่ตัวละครมันก็จำไม่ได้อย่างที่บอก แต่อาศัยคำบอกเล่าของตัวละครอื่นบอกให้เจ้าตัวรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

มันก็เลยเหมือน Memento ที่คนอ่านอ่านไปแล้วจะเริ่มไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เกิดจริง ๆ มันยังไงวะ

เรื่องเดินหน้าไปด้วยสอง timeline และความคลุมเครืออย่างนี้ตลอด แม้กระทั่งบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนเขียนก็จงใจลดทอนรายละเอียดบางอย่างเพื่อจะทำให้คนอ่านไขว้เขว

เอาจริง ๆ พี่จะไม่แปลกใจเลยถ้าอ่านมาถึงตอนจบแล้วเฉลยออกมาว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องที่ตัวละครมโนไปเองทั้งหมดในหัว โดยที่ไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจริง (เหมือนหนึ่งในตอนจบของโดราเอมอนที่มีคนแชร์กันมาว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องที่โนบิตะที่นอนป่วยติดเตียงอยู่ในโรงพยาบาลคิดฝันไปเอง ยังดีที่มีข้อมูลตามหลังออกมาว่านี่ไม่ใช่ตอนจบจริง ๆ ของโดราเอมอน ไม่งั้นก็โคตรเศร้าเลย)

จนกระทั่งเข้ามาสู่ช่วงสถานการณ์ที่ค่อย ๆ คลี่คลายให้คนอ่านเริ่มเดาทางได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และที่ต้องลุ้นก็คือ ช่วงท้ายหลังจากที่เฉลยเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วยังเหลืออีกหลายสิบหน้า ชวนให้สงสัยว่าคนเขียนจะพาไปสู่ตอนจบยังไง

อันนี้ต้องไปอ่านเองนะฮะ… ❤

รีวิวหนังสือ สัญญาณเตือนตาย

หนังสือสัญญาณเตือนตาย
เอาหนังสือมาวางเรียงกันจะได้เป็นภาพนี้นะ

หลายสัปดาห์มานี้นอนดึกติด ๆ กันหลายวัน

ไม่ใช่ว่าเหลวไหลหรืออะไร แต่เป็นเพราะหนังสือ สัญญาณเตือนตาย ชุดนี้เลย (ตามรูปด้านบน)

สรุปสั้น ๆ กันก่อน เผื่อมีใครรีบ จะได้ไถฟีดไปอ่านโพสต์อื่นต่อ

หนังสือชุดนี้เป็นนิยายฆาตกรรมสืบสวนสอบสวน วางแผนหักเหลี่ยมเชือดเฉือนชิงไหวชิงพริบที่อ่านสนุกที่สุดในรอบสิบปีนี้ (นี่พูดจริง ๆ ไม่ได้อวย แต่นับเฉพาะเล่มที่พี่อ่านนะ เพราะฉะนั้นถ้าใครมีเล่มที่สนุกกว่านี้ แต่พี่ไม่ได้อ่านก็ถือว่าพี่ไม่ผิด เอาตามนี้นะ)

สนุกถึงขนาดที่ว่าระหว่างที่อ่านไปก็คิดอยากให้มีใครเอาไปสร้างหนังและถ้าจะให้ดีก็ควรจะเป็นหนังฮ่องกง เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่เป็นวัฒนธรรมตะวันออก โดยเฉพาะของจีนที่ฮอลลีวูดคงจะไม่ค่อยเก็ตเท่าไหร่นัก

ถ้าสร้างหนังจริง ๆ ก็น่าจะได้ซักสี่ภาค แล้วก็คงจะสนุกลุ้นระทึกทำเงินถล่มทลายได้อย่าง Infernal Affairs ของเฮียเหลียงกับพี่หลิวยังไงยังงั้น อ่านไปนี่ก็ลุ้นมาตลอดจนมาเห็นที่ปกหลังเล่มห้ามีข้อความบอกไว้ว่าเคยสร้างเป็นซีรี่ย์มาแล้วสามภาค เออ จบกัน

หนังสือสัญญาณเตือนตาย
ถ้าเอาหนังสือมาวางตั้งซ้อนกัน ที่สันหนังสือจะได้รูปนี้

เนื้อหาของหนังสือเล่าแบบง่าย ๆ ไม่สปอยล์ได้ประมาณว่ามีตัวเอกฝ่ายชาย (คนที่หนึ่ง) เป็นฆาตกร คอยไล่ฆ่าคนทำความผิดที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้

แล้วความเปรี้ยวก็คือ ก่อนจะฆ่าใครจะส่งโน้ตบอกเจ้าตัวก่อนทุกครั้ง บอกถึงขนาดว่ากุจะฆ่ามึงวันไหน แม่งมั่นใจขนาดนั้นเลยแล้วแม่งก็เก่งอิ๊บอ๋ายจริง ๆ

ก็เลยเป็นที่มาของตัวเอกฝ่ายชาย (คนที่สอง) ที่เป็นตำรวจคอยไล่จับอิฆาตกรคนนี้ โดยมีตัวเอกฝ่ายหญิงที่เป็นนักจิตวิทยามาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมงาน คนอ่านก็เลยได้แนวการไขคดีผ่านทางมุมมองของตำรวจที่โคตรเก่งไม่แพ้ฆาตกรและได้การวิเคราะห์ด้านจิตวิทยาตัวละครไปพร้อม ๆ กัน

ความเจ๋งของเรื่องนี้อยู่ที่การสร้างตัวละคร ตัวหลัก ๆ ส่วนใหญ่จะมีความสัมพันธ์ถักทอประสานกันทางใดทางหนึ่ง และหลายเคสมีปมสาเหตุที่มาที่ย้อนไปตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตสิบกว่าปีก่อนเหมือนงานของ Harlan Coben

เอาจริง ๆ อ่านไปคิดว่าส่วนใหญ่ก็จะลุ้นให้แม่งฆ่าได้ทุกเคสนะ เพราะแต่ละคนนี่ก็มีเหตุให้สมควรจะโดนกันทั้งนั้น มีใครบ้างก็ลองไปดูกัน

การเล่าเรื่องก็ชวนให้ลุ้นให้ต้องติดตามว่าแม่งจะฆ่าได้มั้ย ตำรวจจะป้องกันได้มั้ยวะ ตำรวจวางแผนไว้ขนาดนี้มึงจะทำได้เหรอวะ แล้วแม่งจะฆ่ายังไงวะ

เนื้อเรื่องก็พลิกไปพลิกมาด้วยนะ บางจังหวะก็หลอกคนอ่านพาเรื่องไปทางนึงแล้วจังหวะสุดท้ายก็หันหัวกลับไปอีกทาง เล่นเอาคนอ่านต้องดริฟต์กันยางไหม้เลย

สุดท้ายล่ะ (นี่พยายามไม่สปอยล์) อยากบอกว่าใครชอบเรื่องแนวนี้ หามาอ่านเถอะ ไม่ผิดหวังแน่นอน.เลิฟ เลิฟ… 😊

หนังสือสัญญาณเตือนตาย
นี่หน้าปกเล่มหนึ่ง เผื่อใครจะไปหาซื้อจะได้ไม่พลาดครับ

——-

อัปเดตนิดนึงเพิ่งนึกออก ตอนที่อ่านอยู่ก็นึกไปถึงการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนึงที่เคยอ่านสมัยนานนนนนนนนนมาแล้ว เรื่อง Black Angel

พระเอกเป็นคนหงิม ๆ ปั่นจักรยานเสือหมอบ แต่พอตกกลางคืนมีหัวกับไส้ เฮ้ย ไม่ใช่ ตกกลางคืนแม่งออกไปฆ่าพวกคนเลว โดยใช้ซี่ล้อจักรยานเป็นอาวุธ เสียบเข้าไปที่ขมับ เสร็จทุกราย

เรื่องนี้ใครทันนี่บอกวัยนะฮะ… 😆🤣

TAI-PAN ตำนานแห่งฮ่องกง

TAI-PAN

ฮ่องกงเป็นข่าวทุกวันแบบนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการไปขุดนิยายคลาสสิกขายดีระดับโลกมาอ่านซ้ำอีกครั้ง

TAI-PAN เป็นเรื่องราวว่าด้วยการต่อสู้ทั้งในระดับปัจเจกไปจนถึงระดับประเทศ การต่อสู้ระหว่างความดีงามและความโลภ ที่มีความมั่งคั่งเป็นรางวัล มีฉากหลังเป็นการก่อร่างสร้างตัวของฮ่องกง จากเกาะที่ดูไม่มีความหมายอะไรไปสู่ประตูเปิดสู่จีนจนเป็นศูนย์กลางการค้าระดับโลก

เล่มนี้อ่านไทยมาก่อนตั้งแต่ตอนเรียนมหา’ลัย ชอบมาก จนจบมาทำงานมีโอกาสมาเจอฉบับภาษาอังกฤษมือสองที่ร้านหนังสือแถวถนนข้าวสารก็สอยมาอีก

ใครยังไม่เคยอ่านแนะนำเลยครับ… 😊

พฤติกรรมการซื้อหนังสือที่เปลี่ยนไป

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเคยคิดว่าการซื้อหนังสือนี่มันต้องผ่านกระบวนการหยิบ ๆ จับ ๆ พลิกไปพลิกมา อ่านตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย ดูปกไม่ยับ ดูกาวที่สันไม่เลอะ เลือกจนพอใจถึงจะซื้อ จะมียกเว้นบ้างก็บางเล่มที่หาในไทยไม่ได้ต้องสั่งจาก amazon แต่ก็ทดลองอ่านจากฟีเจอร์ look inside มาแล้ว

ตอนนี้เหรอ เปิดเว็บดูร้านออนไลน์ อ่านสรุปเนื้อหา ถ้าพอใจก็กดเลย บางทีเปิดเจอจากใน fb สำนักพิมพ์บ้าง นักเขียนบ้าง ถ้าน่าสนใจก็กดเลย แถมบางทีหนังสือยังไม่ออก เป็นแค่พรีออเดอร์ ถ้าสนใจก็โอนเงินแล้ว inbox ไปเลย สภาพหนังสือไม่ต้องเลือก

สรุปว่า การซื้อหนังสือออนไลน์ล้างความเชื่อและพฤติกรรมเดิม (ของตัวเอง) ไปหมด แถมยังช็อปวายป่วงกว่าการเดินร้านหนังสือแบบเดิมเยอะมากกกกกกก… 😂

หนังสือ Creative Selection สรุปสั้น ๆ ก่อนรีวิว

Creative Selection by Ken Kocienda

อ่านใกล้จบล่ะ แต่เอามาเล่าก่อนเพื่อใครสนใจจะได้ไปหามาอ่านมั่ง สรุปสั้น ๆ Creative Selection เล่มนี้ดีมาก คนเขียนทำงานที่ apple ในยุค Jobs มาเล่าถึงกระบวนการคิดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ apple ที่ผู้เขียนเข้าไปมีส่วนร่วม (ขออุบไว้ยังไม่บอกว่าตัวนึงเป็น iPhone 5555 😆)

ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาสินค้า และ/หรือบริการอื่น ๆ ได้สบาย

ใครเป็นติ่งอ่านได้ ไม่ใช่ติ่งก็อ่านได้ อับดุล!!

สำหรับเพื่อนฝูงที่ทำสำนักพิมพ์ แนะนำเลยว่าให้รีบไปซื้อลิขสิทธิ์มาแปลไทย ถ้าขายไม่ได้ก็ตัวใครตัวมัน แต่ถ้าขายได้ขายดีก็อย่าลืมกันนะ

สวัสดี

หมายเหตุ รีวิวยาว ๆ เดี๋ยวตามมาอีกทีนะครับ โปรดอดใจรอ แต่อย่ากลั้นใจรอ เดี๋ยวจะตายไปซะก่อน… 5555

หนังสือที่ CEO แจกให้อ่าน (๒๕๖๒)

จงเป็นคนฉลาดที่บริษัทขาดไม่ได้

วันนี้มาฟังนโยบายประจำปี ๒๕๖๒ ลงชื่อแล้วทีมงานแจกหนังสือก่อนเข้าห้องคือเล่มตามภาพด้านบน

นั่นแหละ จงเป็นคนฉลาดที่บริษัทขาดไม่ได้ นะจ๊ะ… ❤

สั่งพรีออร์เดอร์หนังสือ “แสงแห่งแผ่นดิน”

แสงแห่งแผ่นดินได้รับมอบหมายจากหัวหน้าให้ทดลองสั่งพรีออร์เดอร์หนังสือในหลวงร.๙ “แสงแห่งแผ่นดิน” ของอมรินทร์พริ้นติ้งฯ จากเว็บ แสงแห่งแผ่นดิน.com เพื่อทดสอบความเรียบร้อยของระบบ

ก็ลองสั่งพร้อมถ่ายคลิปส่งเป็นที่เรียบร้อยวันนั้นเลย แล้วก็ลืมไปเลย ไม่ได้สนใจว่าหนังสือจะส่งมาวันไหน

จนเมื่อเช้าวันเสาร์มีโทรศัพท์มา เบอร์ไม่รู้จัก ทีแรกจะไม่รับเพราะคิดว่าเป็นพวกขายประกัน แต่ก็ลองรับดูก็ได้วะ ปรากฎว่าโทรมาจาก SCG Express จะมาส่งของ เราก็นึก เอาแล้วไง ไอ้พวกต้มตุ๋น จะมาส่งของแล้วเก็บเงินปลายทางกูล่ะสิ กูไม่ได้สั่งอะไรไปเลย

พอพนักงานบอกว่า จะมาส่งของจากอมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์นั่นแหละถึงนึกได้ ก็บอกทางไป

รับของเรียบร้อยแล้วนี่เซอร์ไพรส์สองอย่าง อย่างแรก ใช้ SCG Express ส่งของนะ อันนี้ประทับใจ เพราะชื่อของ SCG น่าจะมืออาชีพอยู่ อย่างที่สอง แพ็กกล่องมาดูแน่นหนาเรียบร้อยดี

ยังไม่ได้แกะกล่องดูว่าสภาพข้างในเป็นยังไง หวังว่าคงจะไม่เซอร์ไพรส์ด้วยการหนังสือยับย่น หรือกล่องหลวมนะ ฮ่า…

ทีนี้พอได้หนังสือมาก็ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแล้วก็เอาวางไว้บนโต๊ะทำงาน แล้วลืมไปเลย ไม่ได้แกะกล่องออกดูสภาพอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น

เมื่อเช้านึกขึ้นได้ เลยแกะกล่องออกมาดูหน่อยซิ สภาพเป็นยังไงบ้าง

นี่ประทับใจมากนะ เพราะห่อมาหลายชั้นแล้วก็แน่นหนาดี ตามภาพ (พร้อมคำบรรยาย) นะฮะ

แสงแห่งแผ่นดินแกะกล่องกระดาษ ชั้นแรกเจอแบบนี้ก่อน ห่อมาด้วยแผ่นโฟมกันกระแทก (เขาเรียกอย่างนี้มั้ย) ความหนาใช้ได้อยู่

แสงแห่งแผ่นดินแกะแผ่นโฟมออกมาเจอบับเบิ้ลกันกระแทกอีกชั้น ถึงขั้นร้องเหยดดดดดดกันเลย

แสงแห่งแผ่นดินแกะบับเบิ้ลออก เสียเวลาไปอีกครึ่งชั่วโมง ไม่ใช่อะไร แกะจริง ๆ แป๊บเดียว แต่นั่งบีบบับเบิ้ลเล่นต่อ แป๊ะ แป๊ะ แป๊ะ เพลินดี แกะออกแล้วก็มาถึงตัวกล่องเสียที ยังมีพลาสติกบาง ๆ ซีลมาอีกชั้น กะว่าต่อให้ส่งช่วงสงกรานต์หนังสือก็ไม่เปียกอ่ะ

แสงแห่งแผ่นดินแกะพลาสติกออก จะได้เห็นตัวเล่มแล้วเว้ยยยยยย ดึงหนังสือออกมา เหยดดดดดดดมีโฟมกันกระแทกใส่มาอีกชั้นนึง โอย อะไรจะขนาดนี้

แสงแห่งแผ่นดินนี่จ้ะ ในที่สุด ตัวเล่มหนังสือ แสงแห่งแผ่นดิน ปกสีทองมีฟอยล์ทองแวววาวปิ๊ง ๆ เพื่อตรวจสภาพความเรียบร้อยของตัวเล่ม เราก็หยิบพลิกดูให้ละเอียด บน บน ล่าง ล่าง ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา บี เอ ซีเล็ก สตาร์ต เฮ้ย ไม่ใช่ นั่นมันสูตร Contra ดูแล้วก็เห็นว่าเรียบร้อยดี ตัวเล่มไม่มีรอยแม้จะน้อยนิดเท่าแมวข่วน (เพราะที่บ้านไม่ได้เลี้ยงแมว)

แสงแห่งแผ่นดินส่วนนี่เป็นปกหลัง มีข้อความบอกไว้ว่า รายได้ส่วนหนึ่งสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนานะครับ

แสงแห่งแผ่นดินหลายคนคงสงสัย ทำไมถ่ายไม่ให้เห็นอย่างอื่นบ้าง นี่คือเหตุผลครับ ถ้าถ่ายมุมกว้างแล้วมันจะรก ๆ หน่อย แฮ่…

หนังสือแนะนำสำหรับคน (เริ่ม) เล่นหุ้น ตอนที่ ๒

กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ

ตอนที่แล้วแนะนำหนังสือจากผู้เขียนที่เป็นอดีตผู้จัดการกองทุนต่างชาติไปแล้ว (อ่านได้ที่นี่ครับ หนังสือแนะนำสำหรับคน (เริ่ม) เล่นหุ้น) คราวนี้จะแนะนำหนังสือของผู้เขียนชาวไทยกันบ้าง เล่มนี้ชื่อว่า กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ เขียนโดย เทพ รุ่งธนาภิรมย์

หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกออกมาในเดือนมีนาคม ๒๕๔๖ ด้วยยอดพิมพ์ ๑๐,๐๐๐ เล่ม ประสบความสำเร็จขายดีจนต้องพิมพ์ครั้งที่สองตามมาในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันอีก ๑๐,๐๐๐ เล่ม ที่ขายดีขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ และถ้าใครได้ลองหยิบมาพลิกอ่านก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไมถึงขายดี

คุณเทพเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร Corporate Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม ๒๕๔๗ (ภาพปกตามรูปด้านล่าง)  ว่า แนวทางการลงทุนของเขาจะเน้นไปที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลในแต่ละปี โดยอย่างน้อยควรจะได้ในอัตราสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (เพราะถ้าได้น้อยกว่าจะไปเสี่ยงทำไม ฝากเงินเอาก็ได้ ใช่มั้ย?)

ที่เป็นอย่างนี้เพราะเดิมคุณเทพก็เป็นนักลงทุนขาลุยสไตล์รายย่อย (แปลว่า แมงเม่า) ทั่วไปนั่นแหละ แต่หลังจากที่รับประทาน “ต้มยำกุ้ง” หม้อใหญ่เข้าไปในช่วงปี ๒๕๔๐ ทำให้ต้องตัดใจขายขาดทุนไปก้อนโต แกเล่าว่ายังโชคดีที่มีเงินเหลืออยู่บ้าง ก็เลยปรับตัวปรับใจ เอาใหม่ ต้องหาความรู้มากขึ้น

นิตยสาร Corporate Thailand ฉบับสิงหาคม ๒๕๔๗

ประกอบกับคุณเทพตั้งใจว่า หากเกษียณจากการทำงานก็หวังรายได้จากเงินปันผลที่จะเอามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่ต้องไปควักเนื้อเงินก้อนเงินเก็บที่มีอยู่ นี่ก็เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไมแกถึงลงทุนโดยตั้งเป้าไปที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลในแต่ละปี

ในการหาความรู้ของคุณเทพ แกอ่านหนังสือหลายเล่มด้วยกัน และสองเล่มในนั้นคือหนังสือที่เขียนโดยคุณพี่ Peter Lynch คือ One Up On Wall Street (ที่เขียนแนะนำไปครั้งที่แล้ว อ่านได้ที่นี่) และ Beating the Street ซึ่งเป็นเล่มที่แอดวานซ์ขึ้นมาอีกหน่อย เล่มนี้รอเวลาเหมาะ ๆ จะมาแนะนำกันอีกที ใครที่อดใจไม่ไหวจะอ่านก่อนเลยก็ยิ่งดีนะฮะ (บอกแล้วว่า พี่ Lynch แกของแท้ ไม่มีโม้ ไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อสร้างโพรไฟล์มาขายคอร์สฝึกอบรม)

หลังจากที่แกเอาวิชาความรู้ที่ได้มาไปปรับใช้เป็นแนวทางตัวเองและพิสูจน์มาแล้วว่า เออ เฮ้ย ทำได้จริงเว้ย เงินปันผลก็ได้ ราคาหุ้นก็ไม่ขาดทุน แกก็สกัดเป็นเคล็ดวิชามาเขียนเป็นหนังสือเล่มนี้นี่แหละ

จุดเด่นที่สำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ ใช้ภาษาที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย อันนี้สำคัญ บางเล่มอ่านง่ายก็จริง แต่โคตรเข้าใจยากนะ แล้วก็เน้นตามหลักการลงทุนด้านปัจจัยพื้นฐาน ไล่เรียงเรื่องที่สำคัญไปทีละหัวข้อ โดยที่บทท้าย ๆ มีตัวอย่างการพิจารณาจริง หุ้นจริง ตัวเลขกำไรและปันผลจริง (แต่เปลี่ยนชื่อหุ้นซะนิดนึง เพื่อไม่ให้เข้าข่ายชี้นำ) เพื่อให้คนอ่านเห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น

สรุปสั้น ๆ ว่า ใครที่อยากเล่นหุ้น ใครที่เล่นหุ้นแล้วขาดทุน หรือกำไรมั่งขาดทุนมั่งแล้วแต่ดวง หาหนังสือสองเล่มที่แนะนำมาอ่านได้เลยเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเล่นหุ้นอย่างยั่งยืนนะฮะ ขนาดนั้น

และถ้าอ่านเล่มนี้จบแล้วชอบใจ อยากอ่านเล่มสองที่แอดวานซ์ขึ้น ขอเชิญเล่มนี้ครับ วิถีแห่งเซียน หุ้นห่านทองคำ จากผู้เขียนคนเดียวกัน

ขอให้โชคดีครับ ❤

กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำติดตาม What We Read Blog อีกหนึ่งช่องทางได้ที่ https://www.facebook.com/whatwereadblog/ ครับ