บทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้ง : สละอวัยวะรักษาชีวิต

โดยส่วนตัวแล้วผมชอบวิกฤติต้มยำกุ้งนะ ถึงจะทำให้ชีวิตช่วงนั้นลำบากแสนสาหัส แต่ก็ได้ข้อคิดได้บทเรียนสอนใจอะไรหลายอย่างที่ติดตัวมาจนถึงวันนี้ เข้าตำราที่ฝรั่งว่าไว้ don’t waste a crisis

ก่อนหน้านี้เคยเขียนบล็อกพูดถึงข้อดีของวิกฤติต้มยำกุ้งไว้บ้างแล้ว วันนี้ขอเล่าเรื่องอื่นบ้างแล้วกัน

วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท (ซึ่งในทางปฏิบัติคือ การลดค่าเงินนั่นแหละ แต่เรียกให้สวย ๆ เหมือน ประชารัฐ ไม่ใช่ ประชานิยม อ่ะนะ) นับเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติต้มยำกุ้งอย่างเป็นทางการ

ผลที่ตามมาก็คือ ธุรกิจไทยหลายร้อยหลายพันแห่งที่ไปกู้เงินจากต่างประเทศเข้ามา (เพราะดอกเบี้ยถูก ตอนนั้นดอกเบี้ยแบงก์ไทยแพง ก็กู้นอกสิเธอ ใครไม่กู้นี่มีโดนหยามว่าโง่ เอ๊ย ฉลาดน้อยนะฮะ) อ้วกแตกทันที เพราะค่าเงินบาทจากที่แข็งโป๊ก ๒๕ บาทต่อดอลลาร์ กลับเหลวเป๋วเป็นขี้เด็ก ไหลไปทำสถิติที่ ๕๕ บาทต่อดอลลาร์กันเลย เรียกง่าย ๆ ว่า หนี้ที่มีอยู่เพิ่มพรวดเป็นสองเท่าโดยที่ไม่ต้องทำอะไร รัฐจัดให้สวย ๆ

ทุกบริษัทไม่ว่ารายเล็กรายใหญ่ต่างต้องวิ่งกันขาขวิดเพื่อหาทางเอาตัวรอดสุดชีวิต มีบริษัทในตลาดหุ้นจำนวนไม่น้อยที่ไม่รอดต้องเลิกกิจการไป ทั้งที่เมื่อตอนก่อนวิกฤติยังเป็นพยัคฆ์คำรามในแวดวงธุรกิจบ้านเรากันอยู่เลย

การหาทางรอดของแต่ละคนแต่ละรายก็แตกต่างกันไป มีทั้งขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของตัวเองให้คนอื่นไป หาเงินทุนใหม่เข้ามา เจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ฯลฯ โฮ้ยยยย สารพัด

อย่างซีพียักษ์ใหญ่บิ๊กบึ้มยังต้องยอมตัดใจขายโลตัสให้ Tesco ไป พี่ยังจำที่คุณก่อศักดิ์ ณ เซเว่น ให้สัมภาษณ์ตอนนั้นได้เลยว่า รู้ทั้งรู้ว่าธุรกิจนี้ดีแน่ ๆ กำไรแน่ ๆ แต่ในเวลานั้นต้องใช้เงินลงทุนอีกนับพันล้านหมื่นล้าน ในขณะที่ธุรกิจอื่นของเครือก็กำลังแย่ การตัดสินใจขายตอนนั้นนอกจากจะปลดเปลื้องภาระที่ต้องหาเงินมาลงทุนเป็นพันล้านหมื่นล้านอย่างที่ว่าแล้ว ยังทำให้ได้เงินกลับมาช่วยธุรกิจอื่นได้เป็นพันล้านหมื่นล้านด้วย อันนี้ต้องยอมกลืนเลือด ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น (ประโยคหลังนี่พี่ว่าเองนะฮะ)

หรือดีแทคของค่ายยูคอมที่เคยเป็นหนึ่งในจตุรยักษ์วงการเทเลคอมเมืองไทยก็ตุปัดตุเป๋หาทางไปไม่เป็นเหมือนกัน ตอนนั้นมีทั้งหนี้สถาบันการเงินที่ไปกู้เขามา แล้วก็ยังมีหนี้การค้าที่ไปซื้ออุปกรณ์ระบบเครือข่ายมาอีก ทำท่าจะไปไม่รอดจนสุดท้ายตระกูลเบญจรงคกุล ผู้ถือหุ้นใหญ่ นำโดยคุณบุญชัย สามีตั๊ก บงกช ต้องยอมตัดใจดึงเทเลนอร์มาถือหุ้นใหญ่ ก็รอดมาได้

บรรดาเจ้าสัวธนาคารตอนนั้นก็ต้องวิ่งเจรจาหาเงินเข้ามาเพิ่มทุนกันเหนื่อย ต้องยอมลดสัดส่วนหุ้นตัวเองหรือครอบครัวตัวเองลง เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดต่อไปได้

ที่เล่าเรื่องไร้สาระมายืดยาวนี่เพื่อจะบอกว่า เมื่อถึงคราวคับขันมันก็ต้องยอมสละอวัยวะรักษาชีวิตกันไว้ก่อน หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ

การเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในธุรกิจที่เติบโต ย่อมดีกว่าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจที่ตกต่ำนะฮะ…